พบผลลัพธ์ทั้งหมด 6,044 รายการ
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 6041/2545
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
สิทธิในการโต้แย้งการหักเงินจากบัญชีโดยไม่ชอบด้วยกฎหมาย และการฟ้องร้องเป็นคดีใหม่
ธนาคารโจทก์ฟ้องเรียกเงินคืนจากจำเลยโดยอ้างว่า จำเลยเบิกเงินเกินไปจากบัญชีระหว่างการพิจารณาของศาลอุทธรณ์โจทก์ใช้สิทธิหักเงินจากบัญชีเงินฝากของจำเลยที่โจทก์ได้อายัดไว้ก่อนฟ้อง แม้เป็นการกระทำที่ไม่มีบทบัญญัติแห่งกฎหมายให้อำนาจไว้อันเป็นการโต้แย้งสิทธิของจำเลยก็ตาม จำเลยชอบที่จะไปยื่นฟ้องโจทก์ เป็นคดีใหม่เพราะมิใช่เรื่องการกำหนดวิธีการคุ้มครองประโยชน์ของจำเลยระหว่างพิจารณาที่จำเลยจะยื่นเข้ามาในคดีเดิมได้
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 5987/2545
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การโต้แย้งสิทธิจากสัญญาเช่าซื้อและการมีอำนาจฟ้องคดีของเจ้าหนี้ที่ไม่ยื่นคำขอรับชำระหนี้
จำเลยในฐานะผู้ให้เช่าซื้อรถยนต์มีหน้าที่ต้องจัดการให้รถยนต์ที่เช่าซื้อตกเป็นสิทธิแก่โจทก์ผู้เช่าซื้อเมื่อโจทก์ชำระค่าเช่าซื้อครบถ้วนแล้ว การที่โจทก์ชำระค่าเช่าซื้อครบถ้วนแล้วจำเลยไม่จัดการจดทะเบียนโอนสิทธิให้แก่โจทก์ จึงเป็นการโต้แย้งสิทธิของโจทก์ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 55 โจทก์มีอำนาจฟ้องจำเลยได้ ทั้งตามประกาศคณะกรรมการองค์การเพื่อการปฏิรูประบบสถาบันการเงินเรื่องการขอรับชำระหนี้สำหรับเจ้าหนี้และการจัดสรรเงินจากการขายทรัพย์สินให้แก่เจ้าหนี้ได้ความว่า เฉพาะเจ้าหนี้ที่ยื่นคำขอรับชำระหนี้ตามประกาศนี้จะต้องตกลงให้ความยินยอมเป็นลายลักษณ์อักษรที่จะไม่ฟ้องสถาบันการเงินเป็นจำเลยในคดีแพ่งอันแสดงว่าข้อกำหนดดังกล่าวใช้บังคับเฉพาะเจ้าหนี้ที่ยื่นคำขอรับชำระหนี้เท่านั้นหาตัดสิทธิเจ้าหนี้ของสถาบันการเงินเช่นโจทก์ที่มิได้ยื่นคำขอรับชำระหนี้ตามประกาศดังกล่าวที่จะฟ้องคดีแพ่งด้วยไม่ อีกทั้งประกาศดังกล่าวก็หาได้กำหนดให้เจ้าหนี้ทุกคนต้องยื่นคำขอรับชำระหนี้ไม่ ดังนั้น โจทก์ซึ่งเป็นเจ้าหนี้ที่มิได้ยื่นคำขอรับชำระหนี้และมิได้ตกลงให้ความยินยอมเป็นลายลักษณ์อักษรที่จะไม่ฟ้องจำเลยเป็นคดีแพ่ง จึงย่อมมีอำนาจฟ้องจำเลยลูกหนี้ซึ่งเป็นสถาบันการเงินที่ถูกระงับการดำเนินกิจการโดยคณะกรรมการองค์การเพื่อปฏิรูประบบสถาบันการเงินเป็นคดีแพ่งได้
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 5719/2545
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
อำนาจฟ้องคดี เมื่อมีข้อตกลงอนุญาโตตุลาการยังไม่สิ้นสุด
การตั้งอนุญาโตตุลาการเป็นวิธีการระงับข้อพิพาทโดยคู่สัญญาไม่จำต้องนำคดีมาสู่ศาลก่อน ซึ่งตาม พ.ร.บ.อนุญาโตตุลาการ พ.ศ.2530 มาตรา 23 และ 30 บัญญัติให้คู่ความนำคดีมาร้องขอต่อศาลในกรณีที่คู่กรณีฝ่ายใดไม่ยอมปฏิบัติตามคำชี้ขาดของอนุญาโตตุลาการ เมื่อมีข้อตกลงให้ระงับข้อพิพาทระหว่างโจทก์กับจำเลยที่ 3 โดยอนุญาโตตุลาการ หลังจากมีข้อพิพาทแล้วจำเลยที่ 3 เสนอข้อพิพาทให้จำเลยที่ 1 ซึ่งเป็นอนุญาโตตุลาการ และจำเลยที่ 1 ตั้งจำเลยที่ 4 เป็นอนุญาโตตุลาการ แม้โจทก์จะมีข้อโต้แย้งว่าสัญญาอนุญาโตตุลาการสมบูรณ์หรือไม่ หรืออนุญาโตตุลาการมีอำนาจวินิจฉัยหรือไม่ก็เป็นเรื่องที่โจทก์จะไปว่ากล่าวเป็นข้อต่อสู้ในชั้นพิจารณาของอนุญาโตตุลาการ เมื่อไม่ปรากฎว่าได้มีการดำเนินกระบวนพิจารณาในชั้นอนุญาโตตุลาการและอนุญาโตตุลาการได้มีคำวินิจฉัยแล้ว กรณีจึงยังไม่มีข้อโต้แย้งสิทธิต่อโจทก์ โจทก์ไม่มีอำนาจฟ้อง
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 5712/2545 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การแบ่งมรดกโดยพินัยกรรมและสัญญาประนีประนอมยอมความ ทำให้โจทก์หมดอำนาจฟ้องคดีเกี่ยวกับที่ดินที่แบ่งไป
โจทก์และ ส. ตกลงแบ่งมรดกเจ้ามรดกทั้งที่มีพินัยกรรมและไม่มีพินัยกรรมตามสัญญาประนีประนอมยอมความ ข้อ 1.3 ว่า โจทก์ยอมสละที่ดินตามฟ้องทั้งสามแปลงพร้อมสิ่งปลูกสร้าง กรณีต้องด้วย ป.พ.พ. มาตรา 1750 วรรคสอง เมื่อโจทก์และ ส. ลงลายมือชื่อไว้จึงต้องผูกพันตามสัญญาประนีประนอมยอมความ ดังนี้ถือได้ว่าที่ดินตามฟ้องทั้งสามแปลงพร้อมสิ่งปลูกสร้างได้แบ่งปันไปเสร็จสิ้นแล้ว โจทก์จึงไม่มีส่วนได้เสียในที่ดินทั้งสามแปลงดังกล่าวพร้อมสิ่งปลูกสร้าง โจทก์ไม่ว่าในฐานะส่วนตัวหรือในฐานะผู้จัดการมรดกที่จะใช้สิทธิขอแบ่งหรือมีอำนาจจัดการอีกต่อไป ดังนั้นหากจำเลยซึ่งเป็นผู้เช่าจะก่อให้เกิดความเสียหายหรือไม่ประการใดก็เป็นเรื่องเจ้าของที่ดินจะไปว่ากล่าวแก่จำเลยต่างหากหาเกี่ยวข้องกับโจทก์ไม่ โจทก์จึงไม่มีอำนาจฟ้องจำเลย
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 5712/2545
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การแบ่งมรดกโดยพินัยกรรมและสัญญาประนีประนอมยอมความ การสิ้นสุดสิทธิในทรัพย์สินที่ได้แบ่งแล้ว
โจทก์และ ส. ได้ตกลงแบ่งมรดกของเจ้ามรดกทั้งที่มีพินัยกรรมและไม่มีพินัยกรรมตามสัญญาประนีประนอมยอมความซึ่งระบุว่าโจทก์ยอมสละที่ดินโฉนดเลขที่ 2893,68903,184852 และที่ 184853 พร้อมสิ่งปลูกสร้างบนที่ดินโฉนดเลขที่ 2893 แก่ ส. จึงต้องด้วยบทบัญญัติแห่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1750 วรรคสองเมื่อโจทก์และ ส. ลงลายมือชื่อไว้จึงต้องผูกพันตามสัญญาประนีประนอมยอมความย่อมถือได้ว่าที่ดินดังกล่าวพร้อมสิ่งปลูกสร้างตามที่โจทก์ฟ้องได้แบ่งปันไปเสร็จสิ้นแล้วโจทก์จึงไม่มีส่วนได้เสียในที่ดินพร้อมสิ่งปลูกสร้างอีกไม่ว่าในฐานะส่วนตัวหรือในฐานะผู้จัดการมรดกที่จะใช้สิทธิขอแบ่งหรือมีอำนาจจัดการอีกต่อไปไม่ ดังนั้น หากจำเลยซึ่งเป็นผู้เช่าที่ดินโฉนดเลขที่ 2893 ก่อให้เกิดความเสียหายหรือไม่ประการใด ก็เป็นเรื่องของเจ้าของที่ดินจะไปว่ากล่าวแก่จำเลยต่างหาก หาเกี่ยวข้องกับโจทก์ไม่ จึงถือไม่ได้ว่าจำเลยได้โต้แย้งสิทธิหรือหน้าที่ของโจทก์ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 55 โจทก์จึงไม่มีอำนาจฟ้องจำเลย
โจทก์ฟ้องว่าจำเลยไม่ปฏิบัติตามสัญญาเช่าและสัญญาแบ่งผลประโยชน์ส่วนจำเลยฟ้องแย้งว่าโจทก์แกล้งฟ้องจำเลย เพื่อให้จำเลยต้องเสียค่าใช้จ่ายในการเดินทางแก่ อ. ภริยาของ ส. จากประเทศเบลเยี่ยมเพื่อมาต่อสู้คดีในฐานะผู้มีอำนาจกระทำการแทนจำเลย และโจทก์รบกวนผู้เช่าจนผู้เช่ายกเลิกการเช่าและไม่เช่าพื้นที่เพิ่ม ทำให้จำเลยขาดประโยชน์อันเป็นการฟ้องแย้งในมูลละเมิดฟ้องแย้งของจำเลยจึงเป็นเรื่องอื่นไม่เกี่ยวกับคำฟ้องเดิม ไม่อาจรวมพิจารณาไปกับคำฟ้องเดิมได้ จำเลยชอบที่จะไปฟ้องเป็นคดีต่างหาก
โจทก์ฟ้องว่าจำเลยไม่ปฏิบัติตามสัญญาเช่าและสัญญาแบ่งผลประโยชน์ส่วนจำเลยฟ้องแย้งว่าโจทก์แกล้งฟ้องจำเลย เพื่อให้จำเลยต้องเสียค่าใช้จ่ายในการเดินทางแก่ อ. ภริยาของ ส. จากประเทศเบลเยี่ยมเพื่อมาต่อสู้คดีในฐานะผู้มีอำนาจกระทำการแทนจำเลย และโจทก์รบกวนผู้เช่าจนผู้เช่ายกเลิกการเช่าและไม่เช่าพื้นที่เพิ่ม ทำให้จำเลยขาดประโยชน์อันเป็นการฟ้องแย้งในมูลละเมิดฟ้องแย้งของจำเลยจึงเป็นเรื่องอื่นไม่เกี่ยวกับคำฟ้องเดิม ไม่อาจรวมพิจารณาไปกับคำฟ้องเดิมได้ จำเลยชอบที่จะไปฟ้องเป็นคดีต่างหาก
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 5510/2545
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การอนุญาตก่อสร้างอาคารเมื่อกฎกระทรวงควบคุมการใช้ประโยชน์ที่ดินหมดอายุ และประเด็นการลงลายมือชื่อของผู้ถือกรรมสิทธิ์
ตามหนังสือที่กรมการผังเมืองมีถึงโจทก์ระบุว่ากฎกระทรวง ฉบับที่ 63(พ.ศ. 2532) มีผลใช้บังคับตั้งแต่วันที่ 5 มิถุนายน 2532 ถึงวันที่ 4 มิถุนายน 2537 และมีการประกาศใช้กฎกระทรวง ฉบับที่ 169(พ.ศ. 2537) และฉบับที่ 211 (พ.ศ. 2538) ขยายอายุการใช้บังคับกฎกระทรวง ฉบับที่ 63ฯ ออกไปอีกฉบับละ 1 ปี รวม 2 ปี ซึ่งมีผลใช้กฎกระทรวง ฉบับที่ 63ฯ มีผลใช้บังคับถึงวันที่ 4 มิถุนายน 2539 โจทก์ยื่นคำขออนุญาตก่อสร้างอาคารบนที่ดินโฉนดเลขที่ 20585 เมื่อวันที่ 18 กุมภาพันธ์ 2540 การยื่นคำขอของโจทก์จึงเป็นการยื่นภายหลังจากที่กฎกระทรวง ฉบับที่ 63ฯ สิ้นผลบังคับใช้ไปแล้ว พื้นที่บริเวณที่ดินของโจทก์ที่ขออนุญาตก่อสร้างอาคารจึงไม่มีกฎหมายใด ๆ กำหนดว่าที่ดินของโจทก์อยู่ในเขตพื้นที่สีเขียวอ่อน ซึ่งห้ามเจ้าของที่ดินก่อสร้างอาคาร โจทก์ในฐานะเจ้าของกรรมสิทธิ์ในที่ดินย่อมมีสิทธิที่จะใช้สอยที่ดินของโจทก์ได้ จำเลยซึ่งเป็นเจ้าพนักงานท้องถิ่นชอบที่จะอนุญาตให้โจทก์ก่อสร้างอาคารบนที่ดินของโจทก์ หากโจทก์ได้ยื่นคำขออนุญาตก่อสร้างอาคารโดยถูกต้อง
ตามโฉนดเลขที่ 20585 มีชื่อผู้ถือกรรมสิทธิ์รวม 2 คน คือ โจทก์กับ บ. ซึ่งเป็นมารดาโจทก์ แต่ บ. ได้ถึงแก่กรรมแล้ว และโจทก์เป็นผู้จัดการมรดกของ บ. แม้โจทก์จะลงลายมือชื่อในฐานะผู้ขออนุญาตก่อสร้างอาคาร โดยไม่ได้ระบุว่าลงชื่อในฐานะผู้จัดการมรดกของ บ. ผู้ถือกรรมสิทธิ์รวมด้วย แต่จำเลยรับคำขอของโจทก์ไว้พิจารณาพร้อมทั้งสั่งให้โจทก์แก้ไขแบบและส่งหลักฐานเพิ่มเติม โดยมิได้โต้แย้งว่าผู้ขออนุญาตลงลายมือชื่อไม่ครบ แสดงว่าจำเลยมิได้ถือเรื่องเจ้าของที่ดินลงลายมือชื่อไม่ครบทุกคนเป็นสาระสำคัญทั้งเป็นเรื่องที่จำเลยสามารถสั่งให้โจทก์จัดการแก้ไขให้ถูกต้อง จำเลยจะอาศัยเหตุนี้ออกคำสั่งไม่อนุญาตตามคำขอของโจทก์โดยไม่ให้โอกาสโจทก์แก้ไขข้อบกพร่องไม่ได้
ตามโฉนดเลขที่ 20585 มีชื่อผู้ถือกรรมสิทธิ์รวม 2 คน คือ โจทก์กับ บ. ซึ่งเป็นมารดาโจทก์ แต่ บ. ได้ถึงแก่กรรมแล้ว และโจทก์เป็นผู้จัดการมรดกของ บ. แม้โจทก์จะลงลายมือชื่อในฐานะผู้ขออนุญาตก่อสร้างอาคาร โดยไม่ได้ระบุว่าลงชื่อในฐานะผู้จัดการมรดกของ บ. ผู้ถือกรรมสิทธิ์รวมด้วย แต่จำเลยรับคำขอของโจทก์ไว้พิจารณาพร้อมทั้งสั่งให้โจทก์แก้ไขแบบและส่งหลักฐานเพิ่มเติม โดยมิได้โต้แย้งว่าผู้ขออนุญาตลงลายมือชื่อไม่ครบ แสดงว่าจำเลยมิได้ถือเรื่องเจ้าของที่ดินลงลายมือชื่อไม่ครบทุกคนเป็นสาระสำคัญทั้งเป็นเรื่องที่จำเลยสามารถสั่งให้โจทก์จัดการแก้ไขให้ถูกต้อง จำเลยจะอาศัยเหตุนี้ออกคำสั่งไม่อนุญาตตามคำขอของโจทก์โดยไม่ให้โอกาสโจทก์แก้ไขข้อบกพร่องไม่ได้
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 5447/2545 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
อำนาจศาล: มูลคดีเกิดขึ้นที่ใด ฟ้องได้ที่นั่น แม้ไม่ได้ระบุในคำฟ้อง
ตามบทบัญญัติมาตรา 4(1) แห่งประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง กำหนดให้การเสนอคำฟ้องสามารถกระทำได้ต่อศาลที่จำเลยมีภูมิลำเนาหรือศาลที่มูลคดีเกิดขึ้น เมื่อโจทก์บรรยายฟ้องว่าโจทก์อยู่ที่ตำบลเสม็ด จังหวัดชลบุรี ประกอบอาชีพค้าขายส่งไรให้แก่ลูกค้าทั่วไปจำเลยเป็นลูกค้าสั่งซื้อไรจากโจทก์ ตามคำฟ้องจึงพอฟังได้ว่ามูลคดีเกิดขึ้นในเขตศาลจังหวัดชลบุรี ซึ่งในคำให้การจำเลยอ้างเพียงประการเดียวว่าจำเลยมีภูมิลำเนาอยู่จังหวัดฉะเชิงเทราเท่านั้น มิได้ให้การว่ามูลคดีมิได้เกิดขึ้นในเขตศาลจังหวัดชลบุรี ดังนั้น เมื่อมูลคดีเกิดขึ้นในเขตศาลจังหวัดชลบุรีโจทก์จึงมีอำนาจฟ้องที่ศาลจังหวัดชลบุรีได้ ทั้งการฟ้องคดีต่อศาลที่มูลคดีเกิดขึ้นก็ไม่มีบทบัญญัติบังคับว่าจะต้องบรรยายมาในฟ้องว่ามูลคดีเกิดขึ้นที่ใด เป็นเรื่องที่ศาลสามารถพิจารณาได้จากสภาพแห่งข้อหาที่ปรากฏตามคำฟ้องได้ การที่ศาลจังหวัดชลบุรีรับฟ้องโจทก์ไว้พิจารณาจึงชอบแล้ว
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 5447/2545
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
อำนาจฟ้องศาล: มูลคดีเกิดขึ้นที่ใด ศาลมีอำนาจพิจารณาคดีได้ แม้จำเลยมีภูมิลำเนาต่างจังหวัด
ตามบทบัญญัติมาตรา 4(1) แห่งประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง กำหนดให้การเสนอคำฟ้องสามารถกระทำได้ต่อศาลที่จำเลยมีภูมิลำเนาหรือศาลที่มูลคดีเกิดขึ้น เมื่อโจทก์บรรยายฟ้องว่าโจทก์อยู่ที่ตำบลเสม็ด จังหวัดชลบุรี ประกอบอาชีพค้าขายส่งไรให้แก่ลูกค้าทั่วไปจำเลยเป็นลูกค้าสั่งซื้อไรจากโจทก์ ตามคำฟ้องจึงพอฟังได้ว่ามูลคดีเกิดขึ้นในเขตศาลจังหวัดชลบุรี ซึ่งในคำให้การจำเลยอ้างเพียงประการเดียวว่าจำเลยมีภูมิลำเนาอยู่จังหวัดฉะเชิงเทราเท่านั้น มิได้ให้การว่ามูลคดีมิได้เกิดขึ้นในเขตศาลจังหวัดชลบุรี ดังนั้น เมื่อมูลคดีเกิดขึ้นในเขตศาลจังหวัดชลบุรีโจทก์จึงมีอำนาจฟ้องที่ศาลจังหวัดชลบุรีได้ ทั้งการฟ้องคดีต่อศาลที่มูลคดีเกิดขึ้นก็ไม่มีบทบัญญัติบังคับว่าจะต้องบรรยายมาในฟ้องว่ามูลคดีเกิดขึ้นที่ใด เป็นเรื่องที่ศาลสามารถพิจารณาได้จากสภาพแห่งข้อหาที่ปรากฏตามคำฟ้องได้ การที่ศาลจังหวัดชลบุรีรับฟ้องโจทก์ไว้พิจารณาจึงชอบแล้ว
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 5394-5395/2545 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การฟ้องคดีใหม่เมื่อกระบวนพิจารณาเดิมไม่ชอบด้วยกฎหมาย ต้องยกฟ้อง เพราะเป็นการฟ้องซ้ำในคดีเดิม
โจทก์อ้างว่าในขณะที่ทำสัญญาประนีประนอมยอมความและศาลชั้นต้นพิพากษาไปตามยอมนั้น โจทก์ไม่ได้มีส่วนรู้เห็นด้วยเพราะในช่วงนั้นโจทก์ไม่ได้อยู่ที่ศาล จำเลยทั้งสามร่วมกันนำบุคคลอื่นไปแสดงตัวเป็นโจทก์ต่อศาลและนำความเท็จแถลงต่อศาล เป็นเหตุให้ศาลหลงเชื่อและพิพากษาตามสัญญาประนีประนอมยอมความให้ หากเป็นจริงต้องถือว่ากระบวนพิจารณาที่มีการทำสัญญาประนีประนอมยอมความและคำพิพากษาตามยอมของศาลชั้นต้นย่อมเป็นการไม่ชอบ จึงเป็นกรณีที่โจทก์อ้างว่าศาลชั้นต้นดำเนินกระบวนพิจารณาไม่ชอบด้วยกฎหมายมิได้ปฏิบัติตาม ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 138 ที่มุ่งหมายจะยังให้การเป็นไปด้วยความยุติธรรมและเกี่ยวด้วยความสงบเรียบร้อยของประชาชน และคำพิพากษาตามยอมไม่มีผลผูกพันโจทก์ อันเป็นเรื่องการพิจารณาที่ผิดระเบียบตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 27 ซึ่งศาลชั้นต้นในคดีดังกล่าวมีอำนาจที่จะสั่งเพิกถอนการพิจารณาที่ผิดระเบียบนั้นเสียได้ตามมาตราดังกล่าว โจทก์ชอบที่จะยกขึ้นว่ากล่าวกันในคดีเดิมที่อ้างว่ามีการผิดระเบียบนั้น โจทก์จะมายื่นฟ้องเป็นคดีใหม่ต่างหากหาได้ไม่ โจทก์จึงไม่มีอำนาจฟ้องคดีนี้
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 5394-5395/2545
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การฟ้องคดีใหม่เมื่อกระบวนพิจารณาเดิมไม่ชอบด้วยกฎหมาย: โจทก์ต้องยกข้อกล่าวหาในคดีเดิมเท่านั้น
โจทก์อ้างว่าในขณะที่ทำสัญญาประนีประนอมยอมความและศาลชั้นต้นพิพากษาไปตามยอมนั้น โจทก์ไม่ได้มีส่วนรู้เห็นด้วยเพราะในช่วงนั้นโจทก์ไม่ได้อยู่ที่ศาล จำเลยทั้งสามร่วมกันนำบุคคลอื่นไปแสดงตัวเป็นโจทก์ต่อศาลและนำความเท็จแถลงต่อศาล เป็นเหตุให้ศาลหลงเชื่อและพิพากษาตามสัญญาประนีประนอมยอมความให้ หากเป็นจริงต้องถือว่ากระบวนพิจารณาที่มีการทำสัญญาประนีประนอมยอมความและคำพิพากษาตามยอมของศาลชั้นต้นย่อมเป็นการไม่ชอบ จึงเป็นกรณีที่โจทก์อ้างว่าศาลชั้นต้นดำเนินกระบวนพิจารณาไม่ชอบด้วยกฎหมายมิได้ปฏิบัติตาม ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 138 ที่มุ่งหมายจะยังให้การเป็นไปด้วยความยุติธรรมและเกี่ยวด้วยความสงบเรียบร้อยของประชาชน และคำพิพากษาตามยอมไม่มีผลผูกพันโจทก์ อันเป็นเรื่องการพิจารณาที่ผิดระเบียบตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 27 ซึ่งศาลชั้นต้นในคดีดังกล่าวมีอำนาจที่จะสั่งเพิกถอนการพิจารณาที่ผิดระเบียบนั้นเสียได้ตามมาตราดังกล่าว โจทก์ชอบที่จะยกขึ้นว่ากล่าวกันในคดีเดิมที่อ้างว่ามีการผิดระเบียบนั้น โจทก์จะมายื่นฟ้องเป็นคดีใหม่ต่างหากหาได้ไม่ โจทก์จึงไม่มีอำนาจฟ้องคดีนี้