พบผลลัพธ์ทั้งหมด 12 รายการ
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 12154/2558
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การบวกโทษคดีอาญาที่รอการลงโทษ: ศาลไม่อาจบวกโทษซ้ำหากเคยถูกบังคับโทษในคดีอื่นแล้ว
เมื่อศาลชั้นต้นนำโทษจำคุกของจำเลยที่รอการลงโทษไว้ในคดีอาญาหมายเลขแดงที่ 484/2555 บวกเข้ากับโทษในคดีอาญา หมายเลขแดงที่ 1959/2555 แล้ว จึงเป็นกรณีที่ศาลที่พิพากษาคดีหลังบวกโทษที่รอการลงโทษไว้ในคดีก่อนเข้ากับโทษในคดีหลังแล้วตาม ป.อ. มาตรา 58 วรรคแรก โทษจำคุกของจำเลยที่รอการลงโทษได้ถูกบังคับโทษไว้ในคดีอาญาหมายเลขแดงที่ 1959/2555 ของศาลชั้นต้นแล้ว จึงไม่อาจนำโทษจำคุกในคดีหมายเลขแดงที่ 484/2555 มาบวกโทษซ้ำในคดีนี้ได้อีก
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3535/2552
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การบวกโทษจำคุกที่รอการลงโทษ: ความผิดต้องเกิดขึ้นภายในระยะเวลาที่ศาลรอการลงโทษ
คดีก่อนศาลชั้นต้นพิพากษาเมื่อวันที่ 2 เมษายน 2542 ให้จำคุก 1 ปี 6 เดือน และปรับ 19,000 บาท โทษจำคุกให้รอการลงโทษมีกำหนด 2 ปี แต่คดีนี้โจทก์บรรยายฟ้องว่าจำเลยกระทำความผิดกรรมเดียวระหว่างปลายปี 2541 ถึงวันที่ 15 กุมภาพันธ์ 2543 การกระทำความผิดของจำเลยตามฟ้อง จึงกระทำลงทั้งก่อนและภายในเวลาที่ศาลรอการลงโทษ กรณีจึงมิต้องตามมาตรา 58 วรรคแรก ไม่อาจนำโทษจำคุกที่รอการลงโทษไว้ในคดีก่อนมาบวกเข้ากับโทษจำคุกของจำเลยในคดีนี้ได้
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3576/2550
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การลงโทษคดีประมาท และการบวกโทษคดีที่รอการลงโทษ: ศาลฎีกาแก้ไขโทษที่ศาลอุทธรณ์บวกโทษคดีก่อน
แม้คดีนี้ศาลจะลงโทษจำคุกจำเลย แต่เป็นความผิดที่จำเลยกระทำโดยประมาท จึงไม่ต้องด้วยหลักเกณฑ์ตาม ป.อ. มาตรา 58 วรรคแรก ที่จะนำโทษจำคุกของจำเลยที่รอการลงโทษไว้ในคดีก่อนมาบวกเข้ากับโทษจำคุกของจำเลยในคดีนี้ได้ ที่ศาลอุทธรณ์ภาค 4 นำโทษจำคุกของจำเลยที่รอการลงโทษไว้ในคดีก่อนมาบวกเข้ากับโทษของจำเลยในคดีนี้ จึงเป็นการไม่ชอบ ปัญหาดังกล่าวเป็นข้อกฎหมายที่เกี่ยวกับความสงบเรียบร้อย แม้คู่ความไม่ฎีกา ศาลฎีกาก็มีอำนาจยกขึ้นวินิจฉัยและแก้ไขให้ถูกต้องได้ตาม ป.วิ.อ. มาตรา 195 วรรคสอง ประกอบ มาตรา 225
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 5054/2549 เวอร์ชัน 3 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การบวกโทษจำคุกที่รอการลงโทษซ้ำซ้อน ศาลฎีกาตัดสินว่าไม่ชอบด้วยกฎหมาย
ตามบทบัญญัติ ป.อ. มาตรา 58 วรรคแรก กำหนดว่า โทษที่รอไว้ในคดีก่อนอันจะนำมาบวกกับโทษในคดีหลังนั้น จะต้องไม่เคยนำโทษที่รอไว้ในคดีก่อนมาบวกกับโทษในคดีอื่นมาก่อน ปรากฏว่าศาลชั้นต้นในคดีอาญาหมายเลขแดงที่ 775/2546 พิพากษาเมื่อวันที่ 28 พฤศจิกายน 2546 ให้นำโทษจำคุก 6 เดือนที่รอการลงโทษไว้ในคดีอาญาหมายเลขแดงที่ 1162/2545 ของศาลชั้นต้นบวกเข้ากับโทษในคดีอาญาหมายเลขแดงที่ 7755/2546 ของศาลชั้นต้นก่อนศาลอุทธรณ์มีคำพิพากษา ดังนั้นเมื่อศาลชั้นต้นได้นำโทษจำคุกของจำเลยที่ 2 ที่รอการลงโทษไว้บวกเข้ากับโทษในคดีอาญาหมายเลขแดงที่ 7755/2546 แล้ว จึงเป็นกรณีที่ศาลที่พิพากษาในคดีหลังบวกโทษที่รอการลงโทษไว้ในคดีก่อนเข้ากับโทษในคดีหลังตามมาตรา 58 วรรคแรก แล้ว โทษจำคุกของจำเลยที่ 2 ที่รอการลงโทษไว้ได้ถูกบังคับโทษไว้ในคดีอาญาหมายเลขแดงที่ 7755/2546 ของศาลชั้นต้น จึงไม่อาจนำโทษจำคุกที่รอการลงโทษมาบวกโทษซ้ำในคดีนี้ได้อีก
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3732/2548
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ฎีกาต้องห้ามเนื่องจากจำเลยไม่โต้แย้งคำพิพากษาศาลอุทธรณ์เรื่องการรอการลงโทษ และการแก้ไขโทษบวกโทษจำคุกที่รอการลงโทษ
ศาลชั้นต้นพิพากษาลงโทษจำคุกจำเลยโดยไม่รอการลงโทษ จำเลยมิได้อุทธรณ์ คงมีโจทก์ฝ่ายเดียวอุทธรณ์ ขอให้ลงโทษจำเลยตามฟ้อง ถือว่าจำเลยพอใจในผลของคำพิพากษาศาลชั้นต้น ที่ไม่รอการลงโทษจำคุกให้ แก่จำเลยแล้ว ปัญหาว่าควรรอการลงโทษจำคุกให้แก่จำเลยหรือไม่จึงไม่เคยเข้าสู่การวินิจฉัยของศาลอุทธรณ์ภาค 8 จำเลยจะฎีกาขอให้รอการลงโทษจำคุกมิได้ ถือว่ามิใช่ข้อที่ได้ยกขึ้นว่ากันมาแล้วโดยชอบในศาลอุทธรณ์ภาค 8 ต้องห้ามฎีกาตาม ป.วิ.พ. มาตรา 249 วรรคหนึ่ง ประกอบ ป.วิ.อ. มาตรา 15 ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัย
ตามรายงานการสืบเสาะและพินิจของพนักงานคุมประพฤติซึ่งจำเลยมิได้โต้แย้งคัดค้านปรากฏว่า ก่อนคดีนี้จำเลยเคยต้องคำพิพากษาของศาลชั้นต้น ให้จำคุก 1 เดือน และปรับ 1,000 บาท โทษจำคุกให้รอการลงโทษไว้มีกำหนด 2 ปี ภายในเวลาที่รอการลงโทษไว้ในคดีดังกล่าว จำเลยกระทำความผิดในคดีนี้อีก แม้โจทก์จะมิได้บรรยายฟ้องและ ขอให้บวกโทษในคดีก่อนเข้ากับโทษคดีนี้ก็ตาม แต่เมื่อความปรากฏแก่ศาลเอง ศาลฎีกาย่อมมีอำนาจนำโทษจำคุก ที่รอการลงโทษไว้ในคดีก่อนดังกล่าว มาบวกเข้ากับโทษของจำเลยในคดีนี้ได้ ตาม ป.อ. มาตรา 58 วรรคแรก ที่ศาลล่างทั้งสองมิได้พิพากษาให้บวกโทษจำคุกจำเลยด้วยนั้น เป็นการมิชอบ
ตามรายงานการสืบเสาะและพินิจของพนักงานคุมประพฤติซึ่งจำเลยมิได้โต้แย้งคัดค้านปรากฏว่า ก่อนคดีนี้จำเลยเคยต้องคำพิพากษาของศาลชั้นต้น ให้จำคุก 1 เดือน และปรับ 1,000 บาท โทษจำคุกให้รอการลงโทษไว้มีกำหนด 2 ปี ภายในเวลาที่รอการลงโทษไว้ในคดีดังกล่าว จำเลยกระทำความผิดในคดีนี้อีก แม้โจทก์จะมิได้บรรยายฟ้องและ ขอให้บวกโทษในคดีก่อนเข้ากับโทษคดีนี้ก็ตาม แต่เมื่อความปรากฏแก่ศาลเอง ศาลฎีกาย่อมมีอำนาจนำโทษจำคุก ที่รอการลงโทษไว้ในคดีก่อนดังกล่าว มาบวกเข้ากับโทษของจำเลยในคดีนี้ได้ ตาม ป.อ. มาตรา 58 วรรคแรก ที่ศาลล่างทั้งสองมิได้พิพากษาให้บวกโทษจำคุกจำเลยด้วยนั้น เป็นการมิชอบ
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2115/2548
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การรอการลงโทษและผลกระทบต่อการรวมโทษ: ความผิดต้องเกิดขึ้นภายในระยะเวลาที่รอการลงโทษเท่านั้น
ป.อ. มาตรา 58 วรรคแรก บัญญัติว่า เมื่อความปรากฏแก่ศาลเองหรือความปรากฏตามคำแถลงของโจทก์หรือเจ้าพนักงานว่า ภายในเวลาที่ศาลกำหนดตาม มาตรา 56 ผู้ที่ถูกศาลพิพากษาได้กระทำความผิดอันมิใช่ความผิดที่ได้กระทำโดยประมาทหรือความผิดลหุโทษ และศาลพิพากษาให้ลงโทษจำคุกสำหรับความผิดนั้น ให้ศาลที่พิพากษาคดีหลังกำหนดโทษที่รอการกำหนดไว้ในคดีก่อนบวกเข้ากับโทษในคดีหลัง หรือบวกโทษที่รอการลงโทษไว้ในคดีก่อนเข้ากับโทษในคดีหลังแล้วแต่กรณี ตามบทบัญญัติดังกล่าวจะเห็นได้ว่าโทษที่รอไว้ในคดีก่อนอันจะนำมาบวกกับโทษในคดีหลังนั้น ความผิดในคดีหลังจะต้องกระทำภายในระยะเวลาระหว่างรอการลงโทษตามที่คดีก่อนกำหนดไว้ คดีก่อนคือคดีอาญาหมายเลขแดงที่ 117/2547 ของศาลชั้นต้นนั้น ศาลชั้นต้นพิพากษาเมื่อวันที่ 29 มกราคม 2547 แต่คดีนี้จำเลยกระทำผิดเมื่อวันที่ 24 ธันวาคม 2546 ก่อนที่ศาลชั้นต้นจะพิพากษาคดีอาญาหมายเลขแดงที่ 117/2547 ของศาลชั้นต้น การกระทำความผิดของจำเลยคดีหลังนี้ จึงมิใช่กระทำภายในเวลาที่ศาลรอการลงโทษตามความใน ป.อ. มาตรา 58 วรรคแรก จะนำโทษในคดีก่อนที่รอการลงโทษไว้มาบวกเข้ากับคดีนี้ไม่ได้ แม้จำเลยจะมิได้ฎีกา แต่เป็นปัญหาข้อกฎหมายที่เกี่ยวกับความสงบเรียบร้อย ศาลฎีกามีอำนาจยกขึ้นวินิจฉัยได้
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2115/2548 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การบวกโทษคดีก่อนเข้าคดีหลังต้องกระทำภายในระยะเวลาที่ศาลรอการลงโทษ การกระทำผิดก่อนศาลพิพากษายังไม่เข้าข่าย
ตามบทบัญญัติ ป.อ. มาตรา 58 วรรคแรก กำหนดว่า โทษที่รอไว้ในคดีก่อนอันจะนำมาบวกกับโทษในคดีหลังนั้น ความผิดในคดีหลังจะต้องกระทำภายในระยะเวลาระหว่างรอการลงโทษตามที่คดีก่อนกำหนดไว้ ปรากฏว่าคดีก่อนศาลชั้นต้นพิพากษาเมื่อวันที่ 29 มกราคม 2547 ให้จำคุกจำเลย 3 เดือนและปรับ 2,500 บาท โทษจำคุกให้รอการลงโทษไว้ 2 ปี ช่วงระยะเวลารอการลงโทษคือ นับแต่วันที่ 29 มกราคม 2547 ซึ่งเป็นวันพิพากษาเป็นต้นไปมีกำหนด 2 ปี แต่คดีนี้จำเลยกระทำผิดเมื่อวันที่ 24 ธันวาคม 2546 ก่อนที่ศาลชั้นต้นจะพิพากษาคดีก่อน การกระทำความผิดของจำเลยคดีหลังนี้จึงมิใช่กระทำภายในเวลาที่ศาลรอการลงโทษตามความใน ป.อ. มาตรา 58 วรรคแรก จะนำโทษในคดีก่อนที่รอการลงโทษไว้มาบวกเข้ากับคดีนี้ไม่ได้ การที่ศาลอุทธรณ์ภาค 3 นำโทษจำคุกของจำเลยที่รอการลงโทษไว้ในคดีก่อนมาบวกเข้ากับโทษของจำเลยในคดีนี้จึงเป็นการไม่ชอบ แม้จำเลยจะมิได้ฎีกาในปัญหาข้อนี้ แต่เป็นปัญหาข้อกฎหมายที่เกี่ยวกับความสงบเรียบร้อย ศาลฎีกามีอำนาจยกขึ้นวินิจฉัยและแก้ไขให้ถูกต้องได้
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 6465/2547
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การใช้กฎหมายที่เป็นคุณต่อจำเลยในคดีเกี่ยวกับยาเสพติด และการริบของกลางตามกฎหมาย
ความผิดฐานมี 3,4- เมทิลลีนไดออกซีเมทแอมเฟตามีนไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่าย มาตรา 15 วรรคสอง (2) ที่แก้ไขใหม่ แตกต่างจากกฎหมายเดิมในมาตรา 15 วรรคสอง เงื่อนไขที่เป็นองค์ประกอบความผิดดังกล่าวตามกฎหมายเดิมเป็นคุณมากกว่ากฎหมายที่แก้ไขใหม่ สำหรับความผิดฐานจำหน่าย 3,4- เมทิลลีนไดออกซีเมทแอมเฟตามีน ทั้งตามกฎหมายเดิมและกฎหมายที่แก้ไขใหม่ในมาตรา 15 วรรคหนึ่ง คงใช้ข้อความทำนองเดียวกัน บทความผิดสำหรับความผิดทั้งสองฐานจึงต้องใช้กฎหมายเดิมซึ่งเป็นกฎหมายที่ใช้ในขณะกระทำความผิดบังคับ ที่ศาลชั้นต้นปรับบทลงโทษจำเลยตามมาตรา 15 วรรคหนึ่ง และวรรคสาม ตามกฎหมายที่แก้ไขใหม่และศาลอุทธรณ์มิได้พิพากษาแก้ในส่วนนี้เป็นการมิชอบ คดีนี้ 3,4- เมทิลลีนไดออกซีเมทแอมเฟตามีนที่จำเลยมีไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่ายและจำหน่ายไปมีปริมาณคำนวณเป็นสารบริสุทธิ์ไม่เกิน 20 กรัม ความผิดทั้งสองฐานต้องด้วยบทกำหนดโทษในมาตรา 66 วรรคสอง ตามกฎหมายที่แก้ไขใหม่ ซึ่งกรณีโทษจำคุกเป็นคุณแก่จำเลยมากกว่ากฎหมายเดิมตามมาตรา 66 วรรคหนึ่ง ส่วนโทษปรับตามกฎหมายเดิมมาตรา 66 วรรคหนึ่ง เป็นคุณแก่จำเลยมากกว่ากฎหมายที่แก้ไขใหม่ จึงต้องใช้กฎหมายในส่วนที่เป็นคุณบังคับแก่จำเลยไม่ว่าในทางใดตาม ป.อ. มาตรา 3
ความผิดทั้งสองฐานดังกล่าว มาตรา 100/1 วรรคหนึ่ง ตามกฎหมายที่แก้ไขใหม่ บัญญัติให้ศาลลงโทษจำคุกและปรับด้วยเสมอสำหรับความผิดที่มีโทษจำคุกและปรับ ไม่เป็นคุณแก่จำเลยเช่นกัน เพราะในขณะจำเลยกระทำ ความผิดแม้มาตรา 66 วรรคหนึ่ง จะมีโทษจำคุกและปรับด้วย เมื่อศาลฎีกาเห็นสมควรจะลงแต่โทษจำคุกโดยไม่ลงโทษปรับก็ได้ ตาม ป.อ. มาตรา 20 ซึ่งเป็นคุณแก่จำเลยมากกว่า เมื่อไม่ลงโทษปรับย่อมไม่จำต้องปรับบทลงโทษจำเลยตามมาตรา 66 วรรคหนึ่ง ตามกฎหมายเดิม อันเป็นการใช้กฎหมายในส่วนที่เป็นคุณบังคับแก่จำเลยตาม ป.อ. มาตรา 3
คีตามีนของกลางซึ่งเป็นวัตถุออกฤทธิ์ พ.ร.บ. วัตถุที่ออกฤทธิ์ต่อจิตและประสาท พ.ศ. 2518 มาตรา 116 บัญญัติว่า "?ให้ริบเสียทั้งสิ้น" และ ป.อ. มาตรา 32 บัญญัติว่า "ทรัพย์สินใดที่กฎหมายบัญญัติไว้ว่า ผู้ใดทำหรือมีไว้เป็นความผิด ให้ริบเสียทั้งสิ้น?" บทบัญญัติของกฎหมายดังกล่าวมุ่งประสงค์ให้ศาลสั่งริบวัตถุออกฤทธิ์ เป็นบทบังคับเด็ดขาด แม้โจทก์มิได้ขอให้ริบคีตามีนของกลาง แต่เมื่อโจทก์กล่าวอ้างในฟ้องแล้วว่า เจ้าพนักงานได้ยึดคีตามีนของกลางไว้ จึงเป็นกรณีที่โจทก์กล่าวไว้ในฟ้องแล้ว ศาลย่อมมีอำนาจสั่งริบคีตามีนของกลางได้
คดีอาญาของศาลชั้นต้นที่โจทก์ขอให้บวกโทษจำคุกที่ศาลรอการลงโทษแก่จำเลยไว้นั้น ศาลชั้นต้นพิพากษาเมื่อวันที่ 30 กันยายน 2545 ระยะเวลารอการลงโทษคือนับแต่วันที่พิพากษาเป็นต้นไป แต่คดีนี้จำเลยกระทำความผิดเมื่อวันที่ 11 กันยายน 2545 ก่อนที่ศาลชั้นต้นจะพิพากษาคดีดังกล่าว การกระทำความผิดของจำเลยคดีนี้ จึงมิใช่กระทำภายในเวลาที่ศาลรอการลงโทษตามความใน ป.อ. มาตรา 58 วรรคแรก จะนำโทษในคดีที่รอการลงโทษมาบวกเข้ากับโทษคดีนี้ไม่ได้
ความผิดทั้งสองฐานดังกล่าว มาตรา 100/1 วรรคหนึ่ง ตามกฎหมายที่แก้ไขใหม่ บัญญัติให้ศาลลงโทษจำคุกและปรับด้วยเสมอสำหรับความผิดที่มีโทษจำคุกและปรับ ไม่เป็นคุณแก่จำเลยเช่นกัน เพราะในขณะจำเลยกระทำ ความผิดแม้มาตรา 66 วรรคหนึ่ง จะมีโทษจำคุกและปรับด้วย เมื่อศาลฎีกาเห็นสมควรจะลงแต่โทษจำคุกโดยไม่ลงโทษปรับก็ได้ ตาม ป.อ. มาตรา 20 ซึ่งเป็นคุณแก่จำเลยมากกว่า เมื่อไม่ลงโทษปรับย่อมไม่จำต้องปรับบทลงโทษจำเลยตามมาตรา 66 วรรคหนึ่ง ตามกฎหมายเดิม อันเป็นการใช้กฎหมายในส่วนที่เป็นคุณบังคับแก่จำเลยตาม ป.อ. มาตรา 3
คีตามีนของกลางซึ่งเป็นวัตถุออกฤทธิ์ พ.ร.บ. วัตถุที่ออกฤทธิ์ต่อจิตและประสาท พ.ศ. 2518 มาตรา 116 บัญญัติว่า "?ให้ริบเสียทั้งสิ้น" และ ป.อ. มาตรา 32 บัญญัติว่า "ทรัพย์สินใดที่กฎหมายบัญญัติไว้ว่า ผู้ใดทำหรือมีไว้เป็นความผิด ให้ริบเสียทั้งสิ้น?" บทบัญญัติของกฎหมายดังกล่าวมุ่งประสงค์ให้ศาลสั่งริบวัตถุออกฤทธิ์ เป็นบทบังคับเด็ดขาด แม้โจทก์มิได้ขอให้ริบคีตามีนของกลาง แต่เมื่อโจทก์กล่าวอ้างในฟ้องแล้วว่า เจ้าพนักงานได้ยึดคีตามีนของกลางไว้ จึงเป็นกรณีที่โจทก์กล่าวไว้ในฟ้องแล้ว ศาลย่อมมีอำนาจสั่งริบคีตามีนของกลางได้
คดีอาญาของศาลชั้นต้นที่โจทก์ขอให้บวกโทษจำคุกที่ศาลรอการลงโทษแก่จำเลยไว้นั้น ศาลชั้นต้นพิพากษาเมื่อวันที่ 30 กันยายน 2545 ระยะเวลารอการลงโทษคือนับแต่วันที่พิพากษาเป็นต้นไป แต่คดีนี้จำเลยกระทำความผิดเมื่อวันที่ 11 กันยายน 2545 ก่อนที่ศาลชั้นต้นจะพิพากษาคดีดังกล่าว การกระทำความผิดของจำเลยคดีนี้ จึงมิใช่กระทำภายในเวลาที่ศาลรอการลงโทษตามความใน ป.อ. มาตรา 58 วรรคแรก จะนำโทษในคดีที่รอการลงโทษมาบวกเข้ากับโทษคดีนี้ไม่ได้
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2115/2547
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การบวกโทษจำคุกที่รอการลงโทษกับคดีใหม่ และการลดโทษจำเลยอายุไม่เกิน 17 ปี ตามกฎหมายยาเสพติด
เมื่อความปรากฏแก่ศาลอุทธรณ์ภาค 6 ว่าภายในเวลาที่รอการลงโทษไว้จำเลยได้กระทำความผิดคดีนี้อีก การที่ศาลอุทธรณ์ภาค 6 นำโทษจำคุก 6 เดือน ที่รอการลงโทษไว้ในคดีก่อนมาบวกเข้ากับโทษของจำเลยในคดีนี้ จึงเป็นไปตามบทบัญญัติของ ป.อ. มาตรา 58 วรรคแรก และกรณีนี้มิใช่เป็นการเพิ่มเติมโทษจำเลย เพราะกฎหมายบัญญัติให้ศาลที่พิพากษาคดีหลังบวกโทษที่รอไว้ในคดีก่อนเข้ากับโทษในคดีหลังด้วย และเป็นปัญหาข้อกฎหมายเกี่ยวกับความสงบเรียบร้อย ศาลอุทธรณ์ภาค 6 มีอำนาจหยิบยกขึ้นวินิจฉัยแม้ไม่มีคู่ความฝ่ายใดอุทธรณ์
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 883/2545
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การบวกโทษจำคุกที่รอการลงโทษในคดีก่อนเข้ากับโทษในคดีหลัง ศาลฎีกามีอำนาจพิจารณาได้เอง
โจทก์บรรยายฟ้องและมีคำขอให้นำโทษจำคุกของจำเลยที่ 1 ที่รอการลงโทษไว้ในคดีก่อนมาบวกเข้ากับโทษของจำเลยที่ 1 ในคดีนี้ และจำเลยที่ 1 ให้การรับว่าเป็นบุคคลคนเดียวกับจำเลยในคดีที่โจทก์ขอให้บวกโทษ เมื่อในระหว่างที่รอการลงโทษไว้ในคดีก่อน จำเลยที่ 1 ได้มากระทำความผิดในคดีนี้อีก ศาลที่พิพากษาในคดีหลังจึงต้องนำโทษจำคุกที่รอการลงโทษไว้ในคดีก่อนมาบวกเข้ากับโทษในคดีนี้ แม้ศาลล่างทั้งสองไม่นำโทษจำคุกของจำเลยที่ 1 ที่รอการลงโทษไว้ในคดีก่อนมาบวกเข้ากับโทษจำคุกในคดีนี้ และจำเลยที่ 1 มิได้ฎีกา เมื่อความปรากฏแก่ศาลฎีกา ศาลฎีกาย่อมมีอำนาจนำโทษจำคุกของจำเลยที่ 1 ที่รอการลงโทษไว้ในคดีก่อนมาบวกเข้ากับโทษในคดีนี้ได้ตาม ป.อ. มาตรา 58 วรรคแรก กรณีมิใช่เป็นการเพิ่มเติมโทษจำเลยที่ 1 เพราะกฎหมายบังคับให้ศาลที่พิพากษาในคดีหลังบวกโทษที่รอการลงโทษไว้ในคดีก่อนเข้ากับโทษในคดีหลังด้วย ทั้งเป็นข้อกฎหมายที่เกี่ยวกับความสงบเรียบร้อย ศาลฎีกามีอำนาจยกขึ้นวินิจฉัยได้เองแม้ไม่มีคู่ความฝ่ายใดฎีกา