พบผลลัพธ์ทั้งหมด 605 รายการ
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2805/2525 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
อำนาจฟ้องคดีข้ามแดนและการรับผิดในสัญญาประกันภัย: ภูมิลำเนาของนิติบุคคลและลายมือชื่อในกรมธรรม์
การรวมกันประกอบกิจการนั้น ผู้เข้าร่วมประกอบกิจการอาจเป็นหุ้นส่วนกันได้ แต่การประกอบกิจการแทนกันนั้นเป็นเรื่องตัวการตัวแทนบุคคลสองฝ่ายจึงไม่อาจทั้งร่วมกัน และแทนกันในการประกอบกิจการอย่างใดอย่างหนึ่งได้
จำเลยทั้งสี่ต่างมีสภาพเป็นนิติบุคคล ภูมิลำเนาของจำเลยแต่ละคนจึงต้องเป็นไปตามที่ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 71 บัญญัติไว้เมื่อจำเลยที่ 1 ที่ 3 จดทะเบียนและตั้งสำนักงานใหญ่อยู่ต่างประเทศไม่มีสำนักงานสาขาอยู่ในประเทศไทยโจทก์จึงไม่มีอำนาจฟ้องจำเลยที่ 1 ที่ 3 แม้จำเลยที่ 3 จะยื่นคำให้การเข้ามา แต่เมื่อฟ้องโจทก์ต้องห้ามมิให้เสนอต่อศาลตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 2 แล้วก็ไม่ทำให้ศาลมีอำนาจพิจารณาคดีถึงจำเลยที่ 3 ได้
ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 867 สัญญาประกันภัยต้องมีหลักฐานเป็นหนังสือลงลายมือชื่อฝ่ายที่ต้องรับผิดและกรมธรรม์ประกันภัยที่ผู้รับประกันภัยออกให้ต้องลงลายมือชื่อของผู้รับประกัน ดังนั้นเมื่อสาขาของบริษัทจำเลยที่ 3 ที่สิงคโปร์เป็นผู้รับประกันภัยสินค้า และเป็นผู้ออกกรมธรรม์ประกันภัยจำเลยที่ 4 ไม่ได้ลงชื่อในกรมธรรม์ประกันภัย จำเลยที่ 4 จึงไม่ต้องรับผิด
จำเลยทั้งสี่ต่างมีสภาพเป็นนิติบุคคล ภูมิลำเนาของจำเลยแต่ละคนจึงต้องเป็นไปตามที่ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 71 บัญญัติไว้เมื่อจำเลยที่ 1 ที่ 3 จดทะเบียนและตั้งสำนักงานใหญ่อยู่ต่างประเทศไม่มีสำนักงานสาขาอยู่ในประเทศไทยโจทก์จึงไม่มีอำนาจฟ้องจำเลยที่ 1 ที่ 3 แม้จำเลยที่ 3 จะยื่นคำให้การเข้ามา แต่เมื่อฟ้องโจทก์ต้องห้ามมิให้เสนอต่อศาลตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 2 แล้วก็ไม่ทำให้ศาลมีอำนาจพิจารณาคดีถึงจำเลยที่ 3 ได้
ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 867 สัญญาประกันภัยต้องมีหลักฐานเป็นหนังสือลงลายมือชื่อฝ่ายที่ต้องรับผิดและกรมธรรม์ประกันภัยที่ผู้รับประกันภัยออกให้ต้องลงลายมือชื่อของผู้รับประกัน ดังนั้นเมื่อสาขาของบริษัทจำเลยที่ 3 ที่สิงคโปร์เป็นผู้รับประกันภัยสินค้า และเป็นผู้ออกกรมธรรม์ประกันภัยจำเลยที่ 4 ไม่ได้ลงชื่อในกรมธรรม์ประกันภัย จำเลยที่ 4 จึงไม่ต้องรับผิด
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2805/2525
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
อำนาจฟ้องคดีจำเลยต่างชาติ และความรับผิดในสัญญาประกันภัยที่ไม่มีลายมือชื่อ
การรวมกันประกอบกิจการนั้น ผู้เข้าร่วมประกอบกิจการอาจเป็นหุ้นส่วนกันได้แต่การประกอบกิจการแทนกันนั้นเป็นเรื่องตัวการตัวแทนบุคคลสองฝ่ายจึงไม่อาจทั้งร่วมกันและและแทนกันในการประกอบกิจการอย่างใดอย่างหนึ่งได้
จำเลยทั้งสี่ต่างมีสภาพเป็นนิติบุคคล ภูมิลำเนาของจำเลยแต่ละคนจึงต้องเป็นไปตามที่ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 71 บัญญัติไว้เมื่อจำเลยที่ 1 ที่ 3 จดทะเบียนและตั้งสำนักงานใหญ่อยู่ต่างประเทศไม่มีสำนักงานสาขาอยู่ในประเทศไทยโจทก์จึงไม่มีอำนาจฟ้องจำเลยที่ 1 ที่ 3 แม้จำเลยที่ 3 จะยื่นคำให้การเข้ามา แต่เมื่อฟ้องโจทก์ต้องห้ามมิให้เสนอต่อศาลตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 2 แล้วก็ไม่ทำให้ศาลมีอำนาจพิจารณาคดีถึงจำเลยที่ 3 ได้
ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 867สัญญาประกันภัยต้องมีหลักฐานเป็นหนังสือลงลายมือชื่อฝ่ายที่ต้องรับผิดและกรมธรรม์ประกันภัยที่ผู้รับประกันภัยออกให้ต้องลงลายมือชื่อของผู้รับประกัน ดังนั้นเมื่อสาขาของบริษัทจำเลยที่ 3 ที่สิงคโปร์เป็นผู้รับประกันภัยสินค้า และเป็นผู้ออกกรมธรรม์ประกันภัย จำเลยที่ 4 ไม่ได้ลงชื่อในกรมธรรม์ประกันภัย จำเลยที่ 4 จึงไม่ต้องรับผิด
จำเลยทั้งสี่ต่างมีสภาพเป็นนิติบุคคล ภูมิลำเนาของจำเลยแต่ละคนจึงต้องเป็นไปตามที่ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 71 บัญญัติไว้เมื่อจำเลยที่ 1 ที่ 3 จดทะเบียนและตั้งสำนักงานใหญ่อยู่ต่างประเทศไม่มีสำนักงานสาขาอยู่ในประเทศไทยโจทก์จึงไม่มีอำนาจฟ้องจำเลยที่ 1 ที่ 3 แม้จำเลยที่ 3 จะยื่นคำให้การเข้ามา แต่เมื่อฟ้องโจทก์ต้องห้ามมิให้เสนอต่อศาลตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 2 แล้วก็ไม่ทำให้ศาลมีอำนาจพิจารณาคดีถึงจำเลยที่ 3 ได้
ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 867สัญญาประกันภัยต้องมีหลักฐานเป็นหนังสือลงลายมือชื่อฝ่ายที่ต้องรับผิดและกรมธรรม์ประกันภัยที่ผู้รับประกันภัยออกให้ต้องลงลายมือชื่อของผู้รับประกัน ดังนั้นเมื่อสาขาของบริษัทจำเลยที่ 3 ที่สิงคโปร์เป็นผู้รับประกันภัยสินค้า และเป็นผู้ออกกรมธรรม์ประกันภัย จำเลยที่ 4 ไม่ได้ลงชื่อในกรมธรรม์ประกันภัย จำเลยที่ 4 จึงไม่ต้องรับผิด
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2797/2525 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ฎีกาไม่รับวินิจฉัยเนื่องจากฎีกาโจทก์ไม่คัดค้านคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ และฟ้องจำเลยที่ 3 ไม่สมบูรณ์
โจทก์ฟ้องจำเลยที่ 1 ข้อหาร่วมกันกรอกข้อความอันเป็นเท็จลงในเอกสารราชการ อันเป็นความผิดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 162 และข้อหาร่วมกันปลอมเอกสารราชการโดยอาศัยโอกาสที่ตนมีหน้าที่ อันเป็นความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา161 ศาลชั้นต้นวินิจฉัยเฉพาะข้อหามาตรา 161 แต่พิพากษาว่าจำเลยที่ 1 มีความผิดทั้งสองมาตรา ลงโทษตามมาตรา 161 ซึ่งเป็นบทหนักชั้นอุทธรณ์ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยว่า ศาลชั้นต้นมิได้วินิจฉัยข้อหามาตรา 162 จำเลยที่ 1 จึงไม่มีความผิดสำหรับข้อหานี้โจทก์ฎีกาโดยบรรยายเพียงว่าพยานหลักฐานโจทก์ฟังได้ว่าจำเลยที่ 1 กระทำผิดข้อหามาตรา 162 จึงเป็นฎีกาที่มิได้คัดค้านคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ว่าไม่ถูกต้องหรือคลาดเคลื่อนอย่างไร เป็นฎีกาที่ไม่ชอบตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 216
โจทก์บรรยายฟ้องเกี่ยวกับจำเลยที่ 3 เพียงว่า จำเลยที่ 3 ได้ร่วมกันกระทำด้วยประการใดๆ อันเป็นการช่วยเหลือให้ความสะดวกในการที่จำเลยที่ 1 ที่ 2 กระทำความผิดโดยมิได้บรรยายให้ปรากฏว่าจำเลยที่ 3 กระทำอย่างไร จึงเป็นฟ้องที่ไม่สมบูรณ์ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 158
โจทก์บรรยายฟ้องเกี่ยวกับจำเลยที่ 3 เพียงว่า จำเลยที่ 3 ได้ร่วมกันกระทำด้วยประการใดๆ อันเป็นการช่วยเหลือให้ความสะดวกในการที่จำเลยที่ 1 ที่ 2 กระทำความผิดโดยมิได้บรรยายให้ปรากฏว่าจำเลยที่ 3 กระทำอย่างไร จึงเป็นฟ้องที่ไม่สมบูรณ์ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 158
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2797/2525
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ฎีกาที่ไม่ชอบตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญามาตรา 216 และฟ้องไม่สมบูรณ์ตามมาตรา 158
โจทก์ฟ้องจำเลยที่ 1 ข้อหาร่วมกันกรอกข้อความอันเป็นเท็จลงในเอกสารราชการ อันเป็นความผิดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 162 และข้อหาร่วมกันปลอมเอกสารราชการโดยอาศัยโอกาสที่ตนมีหน้าที่ อันเป็นความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา161ศาลชั้นต้นวินิจฉัยเฉพาะข้อหามาตรา 161 แต่พิพากษาว่าจำเลยที่ 1 มีความผิดทั้งสองมาตรา ลงโทษตามมาตรา 161ซึ่งเป็นบทหนักชั้นอุทธรณ์ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยว่า ศาลชั้นต้นมิได้วินิจฉัยข้อหามาตรา 162 จำเลยที่ 1 จึงไม่มีความผิดสำหรับข้อหานี้โจทก์ฎีกาโดยบรรยายเพียงว่าพยานหลักฐานโจทก์ฟังได้ว่าจำเลยที่ 1 กระทำผิดข้อหามาตรา162 จึงเป็นฎีกาที่มิได้คัดค้านคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ว่าไม่ถูกต้องหรือคลาดเคลื่อนอย่างไรเป็นฎีกาที่ไม่ชอบตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 216
โจทก์บรรยายฟ้องเกี่ยวกับจำเลยที่ 3 เพียงว่า จำเลยที่3 ได้ร่วมกันกระทำด้วยประการใดๆ อันเป็นการช่วยเหลือให้ความสะดวกในการที่จำเลยที่ 1 ที่ 2 กระทำความผิดโดยมิได้บรรยายให้ปรากฏว่าจำเลยที่ 3 กระทำอย่างไร จึงเป็นฟ้องที่ไม่สมบูรณ์ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 158
โจทก์บรรยายฟ้องเกี่ยวกับจำเลยที่ 3 เพียงว่า จำเลยที่3 ได้ร่วมกันกระทำด้วยประการใดๆ อันเป็นการช่วยเหลือให้ความสะดวกในการที่จำเลยที่ 1 ที่ 2 กระทำความผิดโดยมิได้บรรยายให้ปรากฏว่าจำเลยที่ 3 กระทำอย่างไร จึงเป็นฟ้องที่ไม่สมบูรณ์ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 158
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2783/2525
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ข้อจำกัดการยกข้ออ้างใหม่ในฎีกา: สาธารณสมบัติของแผ่นดินต้องระบุในฟ้อง
ฎีกาโจทก์ที่ว่าที่พิพาทเป็นสาธารณสมบัติของแผ่นดิน จึงต้องห้ามมิให้จำเลยต่อสู้กับแผ่นดินนั้น โจทก์มิได้บรรยายฟ้องว่าที่พิพาทเป็นสาธารณสมบัติของแผ่นดิน โจทก์เพิ่งยกปัญหาข้อนี้ขึ้นกล่าวอ้างในฎีกาจึงต้องห้ามมิให้ฎีกาตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 249
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2783/2525 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การยกเหตุสาธารณสมบัติของแผ่นดินขึ้นในชั้นฎีกาที่ไม่เคยกล่าวอ้างในชั้นฟ้อง ถือเป็นการต้องห้ามมิให้ฎีกา
ฎีกาโจทก์ที่ว่าที่พิพาทเป็นสาธารณสมบัติของแผ่นดิน จึงต้องห้ามมิให้จำเลยต่อสู้กับแผ่นดินนั้น โจทก์มิได้บรรยายฟ้องว่าที่พิพาทเป็นสาธารณสมบัติของแผ่นดิน โจทก์เพิ่งยกปัญหาข้อนี้ขึ้นกล่าวอ้างในฎีกาจึงต้องห้ามมิให้ฎีกาตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 249
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2748/2525
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ขอบเขตความรับผิดของนายประกัน: เมื่อผู้ต้องหาหลบหนีหลังส่งตัวให้โจทก์แล้ว นายประกันไม่ต้องรับผิด
อัยการโจทก์นำผู้ต้องหาไปฟ้องแล้ว แต่ศาลไม่ประทับฟ้องเนื่องจากโจทก์ไม่ลงชื่อในคำฟ้อง ในช่วงนี้ผู้ต้องหาหลบหนีไปดังนี้ จำเลยได้ปฏิบัติการชำระหนี้ถูกต้องตามสัญญาประกัน โดยส่งตัวผู้ต้องหาตามกำหนดนัดแล้ว ย่อมหลุดพ้นจากหนี้อันพึงจะต้องชำระ จำเลยไม่ต้องรับผิดต่อโจทก์
ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 113 เป็น บทบัญญัติถึงขั้นตอนเกี่ยวกับอำนาจหน้าที่ในการทำสัญญาประกัน แต่ละฝ่ายเพื่อมิให้ก้าวก่ายหรือซ้ำซ้อนกันเท่านั้น มิใช่เป็นบทบัญญัติเกี่ยวกับความรับผิดของนายประกันซึ่งจะต้องพิจารณาตามกฎหมายแพ่ง
ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 113 เป็น บทบัญญัติถึงขั้นตอนเกี่ยวกับอำนาจหน้าที่ในการทำสัญญาประกัน แต่ละฝ่ายเพื่อมิให้ก้าวก่ายหรือซ้ำซ้อนกันเท่านั้น มิใช่เป็นบทบัญญัติเกี่ยวกับความรับผิดของนายประกันซึ่งจะต้องพิจารณาตามกฎหมายแพ่ง
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2719/2525 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
เจตนาออกเช็คที่ไม่สามารถใช้ได้ ถือเป็นความผิดตาม พ.ร.บ. เช็ค
เช็คพิพาทนอกจากมีข้อความตามที่บัญญัติไว้ในประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 988 (1) (2) (3) (5) (6) และ (7) แล้วยังมีข้อความตามแบบพิมพ์ว่า "จ่าย....หรือผู้ถือ" จึงเป็นเช็คที่มีรายการตามที่บัญญัติไว้ในประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา 988 (4) อีกด้วย เช็คพิพาทจึงเป็นเช็คที่สมบูรณ์
การที่จำเลยได้ขีดฆ่าคำว่า "ผู้ถือ" ออกและเขียนข้อความว่าจ่ายเงินสดลงไป จำเลยย่อมทราบแล้วว่าธนาคารจะปฏิเสธการจ่ายเงินตามเช็คนั้น เห็นได้ชัดว่าจำเลยมีเจตนาที่จะไม่ให้ธนาคารจ่ายเงินตามเช็คที่ตนสั่งจ่ายเป็นการออกเช็คโดยเจตนาที่จะไม่ให้มีการใช้เงินตามเช็ค ซึ่งเป็นความผิดตามพระราชบัญญัติว่าด้วยความผิดอันเกิดจากการใช้เช็ค พ.ศ. 2497 มาตรา 3(1)
การที่จำเลยได้ขีดฆ่าคำว่า "ผู้ถือ" ออกและเขียนข้อความว่าจ่ายเงินสดลงไป จำเลยย่อมทราบแล้วว่าธนาคารจะปฏิเสธการจ่ายเงินตามเช็คนั้น เห็นได้ชัดว่าจำเลยมีเจตนาที่จะไม่ให้ธนาคารจ่ายเงินตามเช็คที่ตนสั่งจ่ายเป็นการออกเช็คโดยเจตนาที่จะไม่ให้มีการใช้เงินตามเช็ค ซึ่งเป็นความผิดตามพระราชบัญญัติว่าด้วยความผิดอันเกิดจากการใช้เช็ค พ.ศ. 2497 มาตรา 3(1)
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2719/2525
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
เจตนาออกเช็คเพื่อไม่ให้ใช้เงินได้ ถือเป็นความผิดตาม พ.ร.บ. เช็ค
เช็คพิพาทนอกจากมีข้อความตามที่บัญญัติไว้ในประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 988(1)(2)(3)(5)(6) และ(7) แล้วยังมีข้อความตามแบบพิมพ์ว่า'จ่าย....หรือผู้ถือ' จึงเป็นเช็คที่มีรายการตามที่บัญญัติไว้ในประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 988(4) อีกด้วย เช็คพิพาทจึงเป็นเช็คที่สมบูรณ์
การที่จำเลยได้ขีดฆ่าคำว่า 'ผู้ถือ' ออกและเขียนข้อความว่าจ่ายเงินสดลงไป จำเลยย่อมทราบแล้วว่าธนาคารจะปฏิเสธการจ่ายเงินตามเช็คนั้น เห็นได้ชัดว่าจำเลยมีเจตนาที่จะไม่ให้ธนาคารจ่ายเงินตามเช็คที่ตนสั่งจ่ายเป็นการออกเช็คโดยเจตนาที่จะไม่ให้มีการใช้เงินตามเช็ค ซึ่งเป็นความผิดตามพระราชบัญญัติว่าด้วยความผิดอันเกิดจากการใช้เช็ค พ.ศ. 2497มาตรา 3(1)
การที่จำเลยได้ขีดฆ่าคำว่า 'ผู้ถือ' ออกและเขียนข้อความว่าจ่ายเงินสดลงไป จำเลยย่อมทราบแล้วว่าธนาคารจะปฏิเสธการจ่ายเงินตามเช็คนั้น เห็นได้ชัดว่าจำเลยมีเจตนาที่จะไม่ให้ธนาคารจ่ายเงินตามเช็คที่ตนสั่งจ่ายเป็นการออกเช็คโดยเจตนาที่จะไม่ให้มีการใช้เงินตามเช็ค ซึ่งเป็นความผิดตามพระราชบัญญัติว่าด้วยความผิดอันเกิดจากการใช้เช็ค พ.ศ. 2497มาตรา 3(1)
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2702/2525 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การประพฤติตนไม่เรียบร้อยในศาล: การขัดขืนการจับกุมโดยไม่มีหมายจับและการจ่ายเงินหลังถอนฟ้อง
แม้เมื่อศาลมีคำสั่งอนุญาตให้โจทก์ถอนฟ้องได้แล้วจำเลยจะต้องจ่ายเงินให้โจทก์จำนวนหนึ่ง แต่จำเลยไม่ปฏิบัติตามข้อตกลงกลับจะนำเงินที่นำมาด้วยกลับไปนั้นเป็นเรื่องระหว่างโจทก์จำเลยไม่อาจถือได้ว่าเป็นการประพฤติตนไม่เรียบร้อยในบริเวณศาล
การที่จำเลยขัดขืนไม่ยอมให้เจ้าหน้าที่ตำรวจนำตัวไปที่ห้องจ่าศาลและร้องเอะอะโวยวายให้ผู้อื่นช่วย อันเนื่องมาจากการจับกุมจำเลยโดยไม่มีหมายจับ ซึ่งกรณีไม่เข้าข้อยกเว้นที่จะจับกุมจำเลยได้ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 78 ดังนั้นการนำตัวจำเลยมาศาลจึงต้องใช้กำลังฉุดกระชาก และจำเลยร้องเอะอะโวยวายเมื่อถูกใส่กุญแจมือนั้น ไม่อาจถือได้ว่าจำเลยประพฤติตน ไม่เรียบร้อยในบริเวณศาล
การที่จำเลยขัดขืนไม่ยอมให้เจ้าหน้าที่ตำรวจนำตัวไปที่ห้องจ่าศาลและร้องเอะอะโวยวายให้ผู้อื่นช่วย อันเนื่องมาจากการจับกุมจำเลยโดยไม่มีหมายจับ ซึ่งกรณีไม่เข้าข้อยกเว้นที่จะจับกุมจำเลยได้ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 78 ดังนั้นการนำตัวจำเลยมาศาลจึงต้องใช้กำลังฉุดกระชาก และจำเลยร้องเอะอะโวยวายเมื่อถูกใส่กุญแจมือนั้น ไม่อาจถือได้ว่าจำเลยประพฤติตน ไม่เรียบร้อยในบริเวณศาล