พบผลลัพธ์ทั้งหมด 216 รายการ
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2462/2519
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การขาดนัดพิจารณาคดีและการพิจารณาใหม่: เหตุผลอันสมควร, การยื่นคำขอ, และการนับระยะเวลาตามกฎหมาย
โจทก์ขาดนัดพิจารณา ศาลชั้นต้นมิได้สั่งจำหน่ายคดีจากสารบบความ หากพิพากษายกฟ้องโดยถือว่าโจทก์ไม่มีพยานมาสืบสนับสนุนข้ออ้างของตน อันเป็นการพิพากษาให้โจทก์แพ้คดีในประเด็นที่พิพาท โจทก์มีคำขอให้พิจารณาใหม่ได้ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา207 ไม่ต้องห้ามตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 201
ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 208 กำหนดให้ยื่นคำขอให้พิจารณาใหม่ภายใน 15 วัน นับจากวันที่ส่งคำบังคับตามคำพิพากษาหรือคำสั่งให้แก่จำเลย มิใช่ภายใน 15 วัน นับจากวันที่ทราบคำพิพากษาหรือคำสั่ง โจทก์ยื่นคำขอให้พิจารณาคดีใหม่ก่อนที่จะส่งคำบังคับตามคำพิพากษาให้แก่โจทก์ จึงไม่ต้องห้ามตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 208
แม้โจทก์ทนายโจทก์จะทราบวันเวลาที่ศาลชั้นต้นนัดสืบพยานโจทก์แล้วไม่มาศาล และไม่นำพยานมาศาลตามนัด โดยไม่แจ้งเหตุขัดข้องให้ศาลทราบก็ดี แต่ก่อนวันนัดโจทก์ยื่นคำร้องขอให้ศาลชั้นต้นไปเผชิญสืบที่พิพาท และขอให้เลื่อนนัดสืบพยานโจทก์ไปก่อน ศาลชั้นต้นมิได้มีคำสั่งว่าไม่มีเหตุที่จะไปเผชิญสืบที่พิพาทหรือไม่อนุญาตให้เลื่อนวันนัดสืบพยานโจทก์ไป หากมีคำสั่งแต่ว่า สำเนาให้จำเลยจะสั่งในวันนัด โจทก์และทนายโจทก์อาจเข้าใจว่าในวันนัดสืบพยานโจทก์ ศาลชั้นต้นคงจะเลื่อนวันนัดสืบพยานโจทก์ไปและให้มีการเผชิญสืบที่พิพาทตามที่โจทก์ขอ ในวันนัดสืบพยานโจทก์ โจทก์และทนายโจทก์จึงไม่มาศาล และไม่นำพยานโจทก์มาศาล การขาดนัดพิจารณาของโจทก์มิได้เป็นไปโดยจงใจหรือไม่มีเหตุอันควรสมควรให้พิจารณาคดีใหม่ตามที่โจทก์ขอ
ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 208 กำหนดให้ยื่นคำขอให้พิจารณาใหม่ภายใน 15 วัน นับจากวันที่ส่งคำบังคับตามคำพิพากษาหรือคำสั่งให้แก่จำเลย มิใช่ภายใน 15 วัน นับจากวันที่ทราบคำพิพากษาหรือคำสั่ง โจทก์ยื่นคำขอให้พิจารณาคดีใหม่ก่อนที่จะส่งคำบังคับตามคำพิพากษาให้แก่โจทก์ จึงไม่ต้องห้ามตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 208
แม้โจทก์ทนายโจทก์จะทราบวันเวลาที่ศาลชั้นต้นนัดสืบพยานโจทก์แล้วไม่มาศาล และไม่นำพยานมาศาลตามนัด โดยไม่แจ้งเหตุขัดข้องให้ศาลทราบก็ดี แต่ก่อนวันนัดโจทก์ยื่นคำร้องขอให้ศาลชั้นต้นไปเผชิญสืบที่พิพาท และขอให้เลื่อนนัดสืบพยานโจทก์ไปก่อน ศาลชั้นต้นมิได้มีคำสั่งว่าไม่มีเหตุที่จะไปเผชิญสืบที่พิพาทหรือไม่อนุญาตให้เลื่อนวันนัดสืบพยานโจทก์ไป หากมีคำสั่งแต่ว่า สำเนาให้จำเลยจะสั่งในวันนัด โจทก์และทนายโจทก์อาจเข้าใจว่าในวันนัดสืบพยานโจทก์ ศาลชั้นต้นคงจะเลื่อนวันนัดสืบพยานโจทก์ไปและให้มีการเผชิญสืบที่พิพาทตามที่โจทก์ขอ ในวันนัดสืบพยานโจทก์ โจทก์และทนายโจทก์จึงไม่มาศาล และไม่นำพยานโจทก์มาศาล การขาดนัดพิจารณาของโจทก์มิได้เป็นไปโดยจงใจหรือไม่มีเหตุอันควรสมควรให้พิจารณาคดีใหม่ตามที่โจทก์ขอ
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1469/2519
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
สิทธิการขอพิจารณาคดีใหม่ กรณีโจทก์ขาดนัดพิจารณา และศาลพิพากษาให้แพ้คดีตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง
โจทก์ซึ่งมีหน้าที่นำสืบก่อนไม่มาศาลในวันนัดสืบพยานโจทก์จนศาลชั้นต้นมีคำสั่งว่า โจทก์ขาดนัดพิจารณาและพิพากษาให้โจทก์แพ้คดีไปแล้ว โจทก์ย่อมมีสิทธิขอให้มีการพิจารณาใหม่ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 207 ได้ กรณีไม่ต้องด้วยมาตรา 205(3) ซึ่งเป็นเรื่องคู่ความที่ขาดนัดมาศาลภายหลังที่ได้เริ่มต้นสืบพยานไปบ้างแล้วในระหว่างพิจารณาคดีฝ่ายเดียว และศาลเห็นว่าการขาดนัดเป็นไปโดยจงใจหรือไม่มีเหตุอันควร
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1128/2519
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การขาดนัดพิจารณาคดีและการขอพิจารณาใหม่เนื่องจากความเจ็บป่วย โดยต้องพิสูจน์การได้รับหมายเรียกชอบด้วยกฎหมาย
เมื่อยังฟังไม่ได้ว่าจำเลยได้รับหมายเรียกและสำเนาฟ้องโดยชอบแล้ว จะถือว่าจำเลยจงใจขาดนัดยื่นคำให้การและขาดนัดพิจารณาไม่ได้
จำเลยเจ็บป่วยไม่สามารถยื่นคำของให้พิจารณาใหม่ได้ภายในระยะเวลา 15 วันนับจากวันที่ได้รับคำบังคับนั้น ถือได้ว่าเป็นเพราะพฤติการณ์นอกเหนือไม่อาจบังคับได้ เมื่อจำเลยยื่นคำขอให้พิจารณาใหม่ภายใน 15 วันนับจากจำเลยหายป่วย จึงกระทำได้ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 208
จำเลยเจ็บป่วยไม่สามารถยื่นคำของให้พิจารณาใหม่ได้ภายในระยะเวลา 15 วันนับจากวันที่ได้รับคำบังคับนั้น ถือได้ว่าเป็นเพราะพฤติการณ์นอกเหนือไม่อาจบังคับได้ เมื่อจำเลยยื่นคำขอให้พิจารณาใหม่ภายใน 15 วันนับจากจำเลยหายป่วย จึงกระทำได้ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 208
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2358/2518 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การขอพิจารณาคดีใหม่ต้องเป็นกรณีขาดนัด และการชดใช้ค่าเสียหายจากความสูญเสียความสามารถในการทำมาหากิน
กรณีที่จำเลยจะขอให้พิจาณาคดีใหม่ได้จะต้องเป็นเรื่องที่จำเลยขาดนัดพิจารณาและศาลมีคำสั่งว่าจำเลยขาดนัดพิจารณาเสียก่อน การที่จำเลยไม่มาศาลในวันนัดสืบพยานจำเลย และศาลชั้นต้นเห็นว่าจำเลยประวิงคดีไม่อนุญาตให้จำเลยเลื่อนคดีและถือว่าจำเลยไม่ติดใจนำพยานสืบนั้นมิใช่เรื่องจำเลยขาดนัดพิจารณาจำเลยจะขอให้พิจารณาคดีใหม่หาได้ไม่
แม้จะพิจารณาจากฎีกาของจำเลยที่ขอให้พิจารณาคดีดังกล่าวใหม่ว่าจำเลยมุ่งหมายที่จะให้ยกคำสั่งของศาลชั้นต้นที่สั่งไม่อนุญาตให้จำเลยเลื่อนคดีแล้วให้จำเลยนำพยานเข้าสืบ แต่คำสั่งของศาลชั้นต้นดังกล่าวเป็นคำสั่งระหว่างพิจารณาซึ่งจำเลยจะต้องโต้แย้งเสียก่อนจึงจะมีสิทธิอุทธรณ์คำสั่งนั้นได้ เมื่อมิได้โต้แย้งไว้ก็อุทธรณ์คำสั่งดังกล่าวไม่ได้ แม้ศาลอุทธรณ์จะวินิจฉัยอุทธรณ์ของจำเลยในข้อนี้ให้จำเลยก็หามีสิทธิฎีกาต่อมาไม่ ศาลฎีกาย่อมให้ยกฎีกาของจำเลยดังกล่าว
โจทก์เป็นผู้เยาว์ช่วยมารดาขายขอ นำของไปเร่ขายวันหนึ่งมีกำไร 10 บาท แม้จะเป็นการช่วยมารดาขายของ ก็เป็นการประกอบอาชีพอันเป็นความสามารถในการประกอบการงานและทางทำมาหาได้ของโจทก์นั่นเอง เมื่อโจทก์สามารถขายของมีกำไรวันละ 10 บาท และโจทก์ต้องเสียความสามารถดังกล่าวไปเพราะการละเมิดของจำเลย จำเลยก็ต้องรับผิดชดใช้ค่าสินไหมทดแทนให้ อันเป็นค่าเสียหายเพื่อการที่เสียความสามารถประกอบการงานสิ้นเชิงหรือแต่บางส่วนทั้งในเวลาปัจจุบันและในอนาคตตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 444 และในการคิดค่าเสียหาย ศาลชอบที่จะคิดจากการที่โจทก์เคยมีรายได้วันละ 10 บาทได้ หาใช่ว่าหากก่อนเกิดเหตุโจทก์ไม่ได้ทำงานทุกวัน จะต้องหักวันที่โจทก์ไม่ทำงานออกเสียก่อนไม่
แม้จะพิจารณาจากฎีกาของจำเลยที่ขอให้พิจารณาคดีดังกล่าวใหม่ว่าจำเลยมุ่งหมายที่จะให้ยกคำสั่งของศาลชั้นต้นที่สั่งไม่อนุญาตให้จำเลยเลื่อนคดีแล้วให้จำเลยนำพยานเข้าสืบ แต่คำสั่งของศาลชั้นต้นดังกล่าวเป็นคำสั่งระหว่างพิจารณาซึ่งจำเลยจะต้องโต้แย้งเสียก่อนจึงจะมีสิทธิอุทธรณ์คำสั่งนั้นได้ เมื่อมิได้โต้แย้งไว้ก็อุทธรณ์คำสั่งดังกล่าวไม่ได้ แม้ศาลอุทธรณ์จะวินิจฉัยอุทธรณ์ของจำเลยในข้อนี้ให้จำเลยก็หามีสิทธิฎีกาต่อมาไม่ ศาลฎีกาย่อมให้ยกฎีกาของจำเลยดังกล่าว
โจทก์เป็นผู้เยาว์ช่วยมารดาขายขอ นำของไปเร่ขายวันหนึ่งมีกำไร 10 บาท แม้จะเป็นการช่วยมารดาขายของ ก็เป็นการประกอบอาชีพอันเป็นความสามารถในการประกอบการงานและทางทำมาหาได้ของโจทก์นั่นเอง เมื่อโจทก์สามารถขายของมีกำไรวันละ 10 บาท และโจทก์ต้องเสียความสามารถดังกล่าวไปเพราะการละเมิดของจำเลย จำเลยก็ต้องรับผิดชดใช้ค่าสินไหมทดแทนให้ อันเป็นค่าเสียหายเพื่อการที่เสียความสามารถประกอบการงานสิ้นเชิงหรือแต่บางส่วนทั้งในเวลาปัจจุบันและในอนาคตตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 444 และในการคิดค่าเสียหาย ศาลชอบที่จะคิดจากการที่โจทก์เคยมีรายได้วันละ 10 บาทได้ หาใช่ว่าหากก่อนเกิดเหตุโจทก์ไม่ได้ทำงานทุกวัน จะต้องหักวันที่โจทก์ไม่ทำงานออกเสียก่อนไม่
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2358/2518
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การขอพิจารณาคดีใหม่และการประเมินค่าเสียหายจากความสูญเสียในการประกอบอาชีพ
กรณีที่จำเลยจะขอให้พิจารณาคดีใหม่ได้จะต้องเป็นเรื่องที่จำเลยขาดนัดพิจารณาและศาลมีคำสั่งว่าจำเลยขาดนัดพิจารณาเสียก่อน การที่จำเลยไม่มาศาลในวันนัดสืบพยานจำเลย และศาลชั้นต้นเห็นว่าจำเลยประวิงคดีไม่อนุญาตให้จำเลยเลื่อนคดีและถือว่าจำเลยไม่ติดใจนำพยานเข้าสืบนั้นมิใช่เรื่องจำเลยขาดนัดพิจารณาจำเลยจะขอให้พิจารณาคดีใหม่หาได้ไม่
แม้จะพิจารณาจากฎีกาของจำเลยที่ขอให้พิจารณาคดีดังกล่าวใหม่ว่าจำเลยมุ่งหมายที่จะให้ยกคำสั่งของศาลชั้นต้นที่สั่งไม่อนุญาตให้จำเลยเลื่อนคดีแล้วให้จำเลยนำพยานเข้าสืบ แต่คำสั่งของศาลชั้นต้นดังกล่าวเป็นคำสั่งระหว่างพิจารณาซึ่งจำเลยจะต้องโต้แย้งเสียก่อนจึงจะมีสิทธิอุทธรณ์คำสั่งนั้นได้ เมื่อมิได้โต้แย้งไว้ก็อุทธรณ์คำสั่งดังกล่าวไม่ได้ แม้ศาลอุทธรณ์จะวินิจฉัยอุทธรณ์ของจำเลยในข้อนี้ในข้อนี้ให้จำเลยก็หามีสิทธิฎีกาต่อมาไม่ ศาลฎีกาย่อมให้ยกฎีกาของจำเลยดังกล่าว
โจทก์เป็นผู้เยาว์ช่วยมารดาขายของ นำของไปเร่ขายวันหนึ่งมีกำไร 10 บาทแม้จะเป็นการช่วยมารดาขายของ ก็เป็นการประกอบอาชีพอันเป็นความสามารถในการประกอบการงานและทางทำมาหาได้ของโจทก์นั่นเอง เมื่อโจทก์สามารถขายของมีกำไรวันละ 10 บาท และโจทก์ต้องเสียความสามารถดังกล่าวไปเพราะการละเมิดของจำเลย จำเลยก็ต้องรับผิดชดใช้ค่าสินไหมทดแทนให้ อันเป็นค่าเสียหายเพื่อการที่เสียความสามารถประกอบการงานสิ้นเชิงหรือแต่บางส่วนทั้งในเวลาปัจจุบันและในอนาคตตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 444 และในการคิดค่าเสียหาย ศาลชอบที่จะคิดจากการที่โจทก์เคยมีรายได้วันละ 10 บาทได้ หาใช่ว่าหากก่อนเกิดเหตุโจทก์ไม่ได้ทำงานทุกวัน จะต้องหักวันที่โจทก์ไม่ทำงานออกเสียก่อนไม่
แม้จะพิจารณาจากฎีกาของจำเลยที่ขอให้พิจารณาคดีดังกล่าวใหม่ว่าจำเลยมุ่งหมายที่จะให้ยกคำสั่งของศาลชั้นต้นที่สั่งไม่อนุญาตให้จำเลยเลื่อนคดีแล้วให้จำเลยนำพยานเข้าสืบ แต่คำสั่งของศาลชั้นต้นดังกล่าวเป็นคำสั่งระหว่างพิจารณาซึ่งจำเลยจะต้องโต้แย้งเสียก่อนจึงจะมีสิทธิอุทธรณ์คำสั่งนั้นได้ เมื่อมิได้โต้แย้งไว้ก็อุทธรณ์คำสั่งดังกล่าวไม่ได้ แม้ศาลอุทธรณ์จะวินิจฉัยอุทธรณ์ของจำเลยในข้อนี้ในข้อนี้ให้จำเลยก็หามีสิทธิฎีกาต่อมาไม่ ศาลฎีกาย่อมให้ยกฎีกาของจำเลยดังกล่าว
โจทก์เป็นผู้เยาว์ช่วยมารดาขายของ นำของไปเร่ขายวันหนึ่งมีกำไร 10 บาทแม้จะเป็นการช่วยมารดาขายของ ก็เป็นการประกอบอาชีพอันเป็นความสามารถในการประกอบการงานและทางทำมาหาได้ของโจทก์นั่นเอง เมื่อโจทก์สามารถขายของมีกำไรวันละ 10 บาท และโจทก์ต้องเสียความสามารถดังกล่าวไปเพราะการละเมิดของจำเลย จำเลยก็ต้องรับผิดชดใช้ค่าสินไหมทดแทนให้ อันเป็นค่าเสียหายเพื่อการที่เสียความสามารถประกอบการงานสิ้นเชิงหรือแต่บางส่วนทั้งในเวลาปัจจุบันและในอนาคตตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 444 และในการคิดค่าเสียหาย ศาลชอบที่จะคิดจากการที่โจทก์เคยมีรายได้วันละ 10 บาทได้ หาใช่ว่าหากก่อนเกิดเหตุโจทก์ไม่ได้ทำงานทุกวัน จะต้องหักวันที่โจทก์ไม่ทำงานออกเสียก่อนไม่
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1496/2518
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การขาดนัดพิจารณาคดี: วันนัดสืบพยานจำเลยไม่ใช่การขาดนัดตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง
ศาลชั้นต้นสืบพยานโจทก์เสร็จแล้วนัดสืบพยานจำเลย จำเลยทราบวันนัดแล้วไม่มาศาล ดังนี้ ไม่ใช่การขาดนัดพิจารณาตามความหมายของประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 197 ประกอบด้วยมาตรา 1(10) จำเลยไม่มีสิทธิขอให้พิจารณาใหม่
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 233/2518
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การพิจารณาคำร้องขอพิจารณาคดีใหม่และการแก้ไขข้อผิดพลาดในการส่งคำบังคับตามคำพิพากษา
จำเลยขาดนัดพิจารณาและศาลพิพากษาให้แพ้คดีแล้ว ยื่นคำร้องขอให้พิจารณาคดีใหม่อ้างเหตุว่ามิได้จงใจขาดนัด และได้อ้างเหตุแห่งการยื่นคำร้องล่าช้ามาด้วย ศาลชั้นต้นเห็นว่าคำร้องของจำเลยมิได้กล่าวอ้างเหตุนอกเหนือที่ไม่อาจบังคับได้ที่ทำให้จำเลยยื่นคำร้องขอให้พิจารณาคดีใหม่ล่าช้า สั่งยกคำร้องโดยไม่ทำการไต่สวน จำเลยอุทธรณ์ เมื่อศาลอุทธรณ์เห็นว่า การส่งคำบังคับตามคำพิพากษาเป็นไปโดยไม่ชอบ จึงถือเสมือนยังไม่ได้ส่งคำบังคับให้จำเลย คำร้องขอให้พิจารณาใหม่จึงเป็นคำร้องที่อยู่ในระยะเวลาที่อาจยื่นได้ พิพากษายกคำสั่งของศาลชั้นต้น ให้ศาลชั้นต้นรับคำร้องของจำเลยไว้ทำการไต่สวนแล้วมีคำสั่งต่อไป ดังนี้ แม้จำเลยมิได้ยกปัญหาว่าการส่งคำบังคับเป็นไปโดยชอบหรือไม่ มาแต่ศาลชั้นต้นศาลอุทธรณ์ก็ยกขึ้นวินิจฉัยได้ เพราะกรณีนี้เป็นเรื่องที่เกี่ยวกับการที่มิได้ปฏิบัติตามบทบัญญัติแห่งประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง ในข้อที่มุ่งหมายจะยังให้การเป็นไปด้วยความยุติธรรม เมื่อศาลอุทธรณ์เห็นสมควร ย่อมมีอำนาจที่จะสั่งแก้ไขอย่างใดอย่างหนึ่งได้เอง โดยคู่ความมิต้องยกขึ้นมาว่ากล่าวไว้เลย และคำร้องขอให้พิจารณาคดีใหม่ ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมิได้บัญญัติไว้ว่าอาจทำได้แต่ฝ่ายเดียว การที่ศาลอุทธรณ์สั่งให้ศาลชั้นต้นทำการไต่สวนคำร้องของจำเลยเสียก่อน จึงมีคำสั่งใหม่ ย่อมเป็นการชอบแล้ว
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2287/2517 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การขาดนัดพิจารณาคดีจากความเข้าใจผิดเรื่องวันนัด: เหตุสมควรให้พิจารณาใหม่ได้
โจทก์ไม่มาศาลในวันนัดสืบพยานโจทก์ ศาลจึงสั่งว่าโจทก์ขาดนัดพิจารณา แล้วพิพากษายกฟ้องโจทก์ โจทก์ยื่นคำร้องขอให้ไต่สวนและมีคำสั่งให้พิจารณาใหม่ อ้างว่าโจทก์มิได้จงใจขาดนัดพิจารณาเพราะโจทก์และทนายโจทก์จดวันนัดสืบพยานโจทก์ผิดไป ดังนี้ เป็นการอ้างว่าโจทก์เข้าใจวันนัดสืบพยานผิดไปถ้าข้อเท็จจริงฟังได้ดังโจทก์อ้าง ย่อมถือได้ว่าโจทก์มิได้จงใจขาดนัดพิจารณา กรณีมีเหตุสมควรที่จะให้พิจารณาใหม่
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2287/2517
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การขาดนัดพิจารณาคดีเนื่องจากความเข้าใจผิดในวันนัด: ศาลอนุญาตให้พิจารณาใหม่ได้
โจทก์ไม่มาศาลในวันนัดสืบพยานโจทก์ ศาลจึงสั่งว่าโจทก์ขาดนัดพิจารณา แล้วพิพากษายกฟ้องโจทก์ โจทก์ยื่นคำร้องขอให้ไต่สวนและมีคำสั่งให้พิจารณาใหม่ อ้างว่าโจทก์มิได้จงใจขาดนัดพิจารณาเพราะโจทก์และทนายโจทก์จดวันนัดสืบพยานโจทก์ผิดไป ดังนี้ เป็นการอ้างว่าโจทก์เข้าใจวันนัดสืบพยานผิดไป ถ้าข้อเท็จจริงฟังได้ดังโจทก์อ้าง ย่อมถือได้ว่าโจทก์มิได้จงใจขาดนัดพิจารณา กรณีมีเหตุสมควรที่จะให้พิจารณาใหม่
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1710/2517 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
สิทธิการขอพิจารณาคดีใหม่ แม้ทิ้งคำร้องก่อนหน้า การขาดนัดพิจารณาคดีโดยไม่ได้จงใจ
ในวันนัดสืบพยานโจทก์ จำเลยไม่มาศาล โดยไม่ทราบเหตุขัดข้องศาลชั้นต้นสั่งว่า จำเลยขาดนัดพิจารณา ให้สืบพยานโจทก์ไปฝ่ายเดียวแล้วโจทก์แถลงหมดพยาน ศาลสั่งนัดสืบพยานจำเลยก่อนถึงวันนัดจำเลยยื่นคำร้องขอให้พิจารณาใหม่ คำร้องของจำเลยดังกล่าวจึงเป็นคำร้องที่อ้างว่าการขาดนัดพิจารณานั้น มิได้เป็นไปโดยจงใจ ขอให้ศาลมีคำสั่งให้พิจารณาคดีนั้นใหม่ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 205 แม้เมื่อถึงวันนัดนั้นทนายจำเลยจะแถลงว่ายังไม่ได้ส่งสำเนาคำร้องให้โจทก์ ซึ่งถือว่าจำเลยทิ้งคำร้องก็ตาม ก็ไม่เป็นผลให้ตัดสิทธิจำเลยที่จะยื่นคำขอให้มีการพิจารณาใหม่หลังจากที่ศาลได้สั่งว่าจำเลยขาดนัดพิจารณาและมีคำพิพากษาให้จำเลยแพ้คดีในประเด็นที่พิพาทแล้ว ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 207 และเมื่อจำเลยมีคำร้องขอให้พิจารณาใหม่อีกโดยถูกต้องตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 208 ก็ชอบที่ศาลจะรับคำร้องของจำเลยไว้ดำเนินการต่อไป