พบผลลัพธ์ทั้งหมด 9 รายการ
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4299/2550
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การลดโทษจำเลยตาม ป.อ. มาตรา 55, 76 และการปรับบทลงโทษตามกฎหมายจราจรทางบก ศาลฎีกามีอำนาจแก้ไขได้
ป.อ. มาตรา 55 และ 76 เป็นบทบัญญัติที่ให้อำนาจศาลที่จะใช้ดุลพินิจเป็นเรื่องๆไป แล้วแต่พฤติการณ์แห่งคดี หาได้เป็นบทบังคับให้ศาลต้องลดมาตราส่วนโทษให้จำเลย หรือลงโทษจำคุกจำเลยให้น้อยลงอีก หรือยกโทษจำคุก หรือปรับจำเลยแต่อย่างเดียวทุกกรณีเสมอไปไม่
โจทก์บรรยายฟ้องว่า จำเลยขับรถฝ่าฝืนสัญญาณจราจรไฟสีเหลืองอำพันและเครื่องหมายห้ามเลี้ยวขวา จำเลยให้การรับสารภาพ จำเลยจึงมีความผิดตาม พ.ร.บ. จราจรทางบก พ.ศ.2522 มาตรา 21 วรรคหนึ่ง, 22 (1), 152 ด้วย แม้โจทก์จะขอมาท้ายฟ้องให้ลงโทษตามมาตรา 152 โดยไม่ได้อ้างมาตรา 21, 22 มาด้วยศาลก็มีอำนาจลงโทษจำเลยได้เพราะไม่ใช่เรื่องที่โจทก์ไม่ประสงค์ให้ลงโทษ ศาลล่างทั้งสองยังมิได้ปรับบทลงโทษจำเลยตามบทบัญญัติดังกล่าวมาด้วย จึงเป็นการไม่ชอบ ปัญหาข้อนี้เป็นข้อกฎหมายเกี่ยวกับความสงบเรียบร้อย ศาลฎีกามีอำนาจยกขึ้นวินิจฉัยและแก้ไขปรับบทลงโทษจำเลยให้ถูกต้องได้ตาม ป.วิ.อ. มาตรา 195 วรรคสอง, 225
โจทก์บรรยายฟ้องว่า จำเลยขับรถฝ่าฝืนสัญญาณจราจรไฟสีเหลืองอำพันและเครื่องหมายห้ามเลี้ยวขวา จำเลยให้การรับสารภาพ จำเลยจึงมีความผิดตาม พ.ร.บ. จราจรทางบก พ.ศ.2522 มาตรา 21 วรรคหนึ่ง, 22 (1), 152 ด้วย แม้โจทก์จะขอมาท้ายฟ้องให้ลงโทษตามมาตรา 152 โดยไม่ได้อ้างมาตรา 21, 22 มาด้วยศาลก็มีอำนาจลงโทษจำเลยได้เพราะไม่ใช่เรื่องที่โจทก์ไม่ประสงค์ให้ลงโทษ ศาลล่างทั้งสองยังมิได้ปรับบทลงโทษจำเลยตามบทบัญญัติดังกล่าวมาด้วย จึงเป็นการไม่ชอบ ปัญหาข้อนี้เป็นข้อกฎหมายเกี่ยวกับความสงบเรียบร้อย ศาลฎีกามีอำนาจยกขึ้นวินิจฉัยและแก้ไขปรับบทลงโทษจำเลยให้ถูกต้องได้ตาม ป.วิ.อ. มาตรา 195 วรรคสอง, 225
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2907/2540
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การประมาททางจราจร: การเลี้ยวขวาที่สี่แยกต้องรอสัญญาณไฟลูกศรหรือไฟแดงก่อนจึงปลอดภัย
พระราชบัญญัติจราจรทางบก พ.ศ. 2522 มาตรา 51 ข้อ 2(จ) ใช้บังคับแก่ผู้ขับขี่ในทางเดินรถโดยทั่วไปที่ทางเดินรถนั้นไม่มีสัญญาณจราจรหรือเครื่องหมายจราจรปรากฏอยู่ข้างหน้า เมื่อตรงสี่แยกที่เกิดเหตุขณะเกิดเหตุมีสัญญาณไฟจราจรเปิดอยู่ การที่ศาลอุทธรณ์ฟังข้อเท็จจริงว่าไม่มีสัญญาณไฟจราจรที่สี่แยกเกิดเหตุอันเป็นการขัดต่อพยานหลักฐานที่โจทก์จำเลยนำสืบในสำนวนและนำข้อเท็จจริงดังกล่าวมาปรับกับบทบัญญัติมาตรา 51 ข้อ 2(จ) อันเป็นการปรับบทกฎหมายที่มิชอบและเป็นการวินิจฉัยข้อเท็จจริงผิดต่อกฎหมาย ศาลฎีกามีอำนาจฟังข้อเท็จจริงใหม่แล้วชี้ขาดตัดสินคดีไปตามนั้นได้ ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา 243(3)(ก) ประกอบมาตรา 247
สี่แยกที่เกิดเหตุมีสัญญาณไฟจราจรเปิดอยู่ เมื่อไม่มีสัญญาณจราจรไฟลูกศรสีเขียวชี้ให้เลี้ยวขวาในขณะเกิดเหตุจำเลยจึงไม่อาจเลี้ยวขวาได้ทันที โดยจำเลยจะต้องรอให้สัญญาณไฟจราจรทางตรงเป็นไฟแดงเสียก่อนแล้วเลี้ยวไปจึงจะปลอดภัยตามพระราชบัญญัติจราจรทางบก พ.ศ. 2522 มาตรา 22(4) การที่จำเลยขับรถเลี้ยวขวาตัดหน้ารถยนต์ที่ จ. ขับในระยะกระชั้นชิดขณะที่ จ. ขับสวนทางมาในทางตรงตามสัญญาณไฟจราจรสีเขียวและชนกับรถยนต์ที่ จ. ขับ จำเลยจึงเป็นฝ่ายประมาท
สี่แยกที่เกิดเหตุมีสัญญาณไฟจราจรเปิดอยู่ เมื่อไม่มีสัญญาณจราจรไฟลูกศรสีเขียวชี้ให้เลี้ยวขวาในขณะเกิดเหตุจำเลยจึงไม่อาจเลี้ยวขวาได้ทันที โดยจำเลยจะต้องรอให้สัญญาณไฟจราจรทางตรงเป็นไฟแดงเสียก่อนแล้วเลี้ยวไปจึงจะปลอดภัยตามพระราชบัญญัติจราจรทางบก พ.ศ. 2522 มาตรา 22(4) การที่จำเลยขับรถเลี้ยวขวาตัดหน้ารถยนต์ที่ จ. ขับในระยะกระชั้นชิดขณะที่ จ. ขับสวนทางมาในทางตรงตามสัญญาณไฟจราจรสีเขียวและชนกับรถยนต์ที่ จ. ขับ จำเลยจึงเป็นฝ่ายประมาท
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 7231/2539
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ความประมาทในการขับรถชนคนข้ามถนน ผู้ขับมีหน้าที่ต้องระมัดระวังและให้สิทธิคนเดินเท้า
จำเลยขับรถโดยสารมาติดสัญญาณจราจรไฟสีแดงหน้าศาลเจ้าพ่อหลักเมืองเป็นคันแรกโดยจอดอยู่ช่องขวาสุดริมเกาะกลางถนนเพื่อเลี้ยวขวาไปทางท่าช้าง เวลาเดียวกันส.และผู้ตายกำลังจะข้ามถนนเมื่อส. และผู้ตายก้าวลงจากทางเท้าข้ามถนนตรงทางข้ามนั้นเป็นจังหวะเดียวกับสัญญาณไฟจราจรซึ่งอยู่ข้างหน้าจำเลยเปลี่ยนเป็นไฟสีเขียว จำเลยจึงเร่ง ออกรถโดยไม่ทันดูว่าส. และผู้ตายกำลังข้ามถนนในทางข้ามอยู่ ถึงแม้จำเลยจะเลี้ยงขวาเมื่อสัญญาณจราจรไฟสีเขียว จำเลยก็จะต้องขับรถด้วยความระมัดระวังและต้องให้สิทธิแก่คนเดินเท้าในทางข้ามด้วยตามมาตรา 22(4) วรรคสอง แห่งพระราชบัญญัติจราจรทางบกพ.ศ. 2522 จำเลยมิได้ปฏิบัติตามกฎหมายดังกล่าว จึงเป็นการขับรถโดยประมาทเป็นเหตุให้ ส. ได้รับอัตราสาหัสและผู้ตายถึงแก่ความตาย จำเลยจึงมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 291,300 พระราชบัญญัติจราจรทางบกพ.ศ. 2522 มาตรา 22(4),43(4),152 และ 157
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1145/2534
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การฝ่าฝืนสัญญาณไฟจราจรสีเหลืองอำพันมีความผิดเช่นเดียวกับสีแดง ศาลวินิจฉัยได้แม้ฟ้องระบุเป็นสีแดง
โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยตามพระราชบัญญัติจราจรทางบกพ.ศ. 2522 มาตรา 43,157 โดยบรรยายฟ้องว่าจำเลยขับรถโดยประมาทด้วยความเร็วสูงและฝ่าฝืนสัญญาณไฟสีแดง แต่ทางพิจารณาได้ความว่าจำเลยขับรถฝ่าฝืนสัญญาณจราจรไฟสีเหลืองอำพันไปโดยไม่หยุดที่หลังเส้นให้รถหยุด ศาลย่อมนำข้อเท็จจริงดังกล่าวมาวินิจฉัยลงโทษจำเลยได้ทั้งนี้เพราะการขับรถฝ่าฝืนสัญญาณไฟจราจรดังกล่าว เป็นบทบัญญัติที่อยู่ในมาตราเดียวกันคือมาตรา 22,152 เมื่อฝ่าฝืนก็เป็นความผิดเช่นเดียวกันจึงถือไม่ได้ว่าข้อเท็จจริงในทางพิจารณาแตกต่างกับฟ้อง.
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2212/2532 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ความประมาทในการขับรถทำให้เกิดอุบัติเหตุและมีผู้ได้รับบาดเจ็บสาหัส
จำเลยที่ 2 ขับรถมาตามถนนพหลโยธินจากสามแยกเกษตร มุ่งหน้าไปทางลาดพร้าว เมื่อถึงสี่แยกพหลโยธินตัดกับถนนรัชดาภิเษกสัญญาณไฟจราจรเป็นสีแดง จำเลยที่ 2 ได้ขับรถเคลื่อนอย่างช้า ๆฝ่าฝืนสัญญาณไฟจราจรสีแดงเข้าไปในสี่แยกจนเลยเส้นสีขาวที่กำหนดให้รถหยุดประมาณ 10 เมตรเกือบถึงกลางสี่แยก รถจำเลยที่ 2 จึงขวางทางรถจำเลยที่ 1 ซึ่งแล่นมาด้วยความเร็วจากถนนรัชดาภิเษกด้านถนนวิภาวดีรังสิตมุ่งหน้าไปตามถนนรัชดาภิเษกเข้าไปในสี่แยกรถจำเลยที่ 1 ห้ามล้อและหักกลบเฉี่ยวชนรถจำเลยที่ 2 แล้วเสียหลักไปทางขวาไปชนรถที่จอดรอสัญญาณไฟจราจรในถนนรัชดาภิเษกด้านที่มาจากลาดพร้าวและชนผู้เสียหาย พฤติการณ์เช่นนี้ถือได้ว่าจำเลยที่ 2 ขับรถด้วยความประมาทเป็นเหตุโดยตรงทำให้รถจำเลยที่ 1 เฉี่ยวชนรถจำเลยที่ 2 และชนผู้เสียหายได้รับอันตรายแก่กายและได้รับอันตรายสาหัส จำเลยที่ 2 จึงมีความผิดฐานขับรถยนต์โดยประมาทเป็นเหตุให้ผู้อื่นได้รับอันตรายสาหัสและได้รับอันตรายแก่กายตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 300,390 และมีความผิดตามพระราชบัญญัติ จราจรทางบก พ.ศ. 2522 มาตรา 21,22,43,152,157
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2212/2532 เวอร์ชัน 4 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ความประมาทในการขับรถฝ่าไฟแดงเป็นเหตุให้ผู้อื่นได้รับอันตราย
จำเลยที่ 2 ขับรถมาตามถนนพหลโยธินจากสามแยกเกษตรมุ่งหน้าไปทางลาดพร้าว เมื่อถึงสี่แยกพหลโยธินตัดกับถนนรัชดาภิเษก สัญญาณไฟจราจรเป็นสีแดง จำเลยที่ 2 ได้ขับรถเคลื่อนอย่างช้า ๆ ฝ่าฝืนสัญญาณไฟจราจรสีแดงเข้าไปในสี่แยกจนเลยเส้นสีขาวที่กำหนดให้รถหยุดประมาณ 10 เมตรเกือบถึงกลางสี่แยก รถจำเลยที่ 2 จึงขวางทางรถจำเลยที่ 1 ซึ่งแล่นมาด้วยความเร็วจากถนนรัชดาภิเษกด้านถนนวิภาวดีรังสิตมุ่งหน้าไปตามถนนรัชดาภิเษกเข้าไปในสี่แยก รถจำเลยที่ 1 ห้ามล้อและหักหลบเฉี่ยวชนรถจำเลยที่ 2 แล้วเสียหลักไปทางขวาไปชนรถที่จอดรอสัญญาณไฟจราจรในถนนรัชดาภิเษกด้านที่มาจากลาดพร้าว และชนผู้เสียหาย พฤติการณ์เช่นนี้ถือได้ว่าจำเลยที่ 2 ขับรถด้วยความประมาทเป็นเหตุโดยตรงทำให้รถจำเลยที่ 1 เฉี่ยวชนรถจำเลยที่ 2 และชนผู้เสียหายได้รับอันตรายแก่กายและได้รับอันตรายสาหัส
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2212/2532
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ความประมาทในการขับรถฝ่าไฟแดงทำให้เกิดอุบัติเหตุและผู้อื่นได้รับบาดเจ็บ
จำเลยที่ 2 ขับรถมาตาม ถนนพหลโยธิน จากสามแยกเกษตรมุ่งหน้าไปทางลาดพร้าว เมื่อถึง สี่แยกพหลโยธินตัด กับ ถนนรัชดาภิเษก สัญญาณไฟจราจรเป็นสีแดง จำเลยที่ 2 ได้ ขับรถเคลื่อนอย่างช้า ๆ ฝ่าฝืนสัญญาณไฟจราจรสีแดง เข้าไปในสี่แยกจนเลยเส้นสีขาวที่กำหนดให้รถหยุดประมาณ 10 เมตรเกือบถึง กลางสี่แยก รถจำเลยที่ 2 จึงขวางทางรถจำเลยที่ 1 ซึ่ง แล่นมาด้วยความเร็วจาก ถนนรัชดาภิเษก ด้าน ถนนวิภาวดีรังสิต มุ่งหน้าไปตาม ถนนรัชดาภิเษก เข้าไปในสี่แยก รถจำเลยที่ 1 ห้ามล้อและหักหลบเฉี่ยว ชนรถจำเลยที่ 2 แล้วเสียหลักไปทางขวาไปชนรถที่จอดรอสัญญาณไฟจราจรใน ถนนรัชดาภิเษก ด้าน ที่มาจากลาดพร้าว และชนผู้เสียหาย พฤติการณ์เช่นนี้ถือได้ว่าจำเลยที่ 2ขับรถด้วย ความประมาทเป็นเหตุโดยตรงทำให้รถจำเลยที่ 1 เฉี่ยว ชนรถจำเลยที่ 2 และชนผู้เสียหายได้รับอันตรายแก่กายและได้รับอันตรายสาหัส.
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2288/2526 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
สิทธิในการเลี้ยวขวาเมื่อมีสัญญาณไฟจราจรลูกศรสีเขียว และข้อยกเว้นการใช้บทบัญญัติเกี่ยวกับทางร่วมทางแยก
ตามพระราชบัญญัติจราจรทางบก พ.ศ. 2522 มาตรา 51 (2) (จ) ที่บัญญัติว่าเมื่อรถอยู่ในทางร่วมทางแยก ผู้ขับขี่ต้องให้รถที่สวนมาในทางเดินรถทางเดียวกันผ่านทางร่วมทางแยกไปก่อน เมื่อเห็นว่าปลอดภัยแล้วจึงให้เลี้ยวขวาไปได้ เป็นบทที่ใช้บังคับแก่ผู้ขับขี่ในทางเดินรถที่ไม่มีสัญญาณจราจรหรือเครื่องหมายจราจร หากในทางเดินรถใดมีสัญญาณจราจรหรือเครื่องหมายจราจรบังคับไว้โดยเฉพาะ ผู้ขับขี่ก็ต้องปฏิบัติตามสัญญาณและเครื่องหมายจราจรนั้นตามมาตรา 21, 22
การที่จำเลยที่ 1 ขับขี่รถยนต์เลี้ยวขวาที่บริเวณสี่แยก ในขณะที่มีสัญญาณไฟจราจรลูกศรสีเขียวชี้ให้เลี้ยวขวานั้น จำเลยที่ 2 ซึ่งขับขี่รถมาในทางตรงและมีสัญญาณไฟจราจรสีแดงมีหน้าที่จะต้องหยุดรถอยู่หลังเส้นให้รถหยุดตามมาตรา 22 (2) จะนำมาตรา 51 (2) (จ) มาใช้บังคับในทางเดินรถที่มีสัญญาณจราจรหรือเครื่องหมายจราจรหาได้ไม่ เมื่อรถที่จำเลยที่ 2 ขับมาชนรถที่จำเลยที่ 1 ขับขณะเลี้ยวขวาบริเวณสี่แยกดังกล่าว จำเลยที่ 1 จึงมิได้เป็นผู้ขับขี่รถยนต์โดยประมาท
การที่จำเลยที่ 1 ขับขี่รถยนต์เลี้ยวขวาที่บริเวณสี่แยก ในขณะที่มีสัญญาณไฟจราจรลูกศรสีเขียวชี้ให้เลี้ยวขวานั้น จำเลยที่ 2 ซึ่งขับขี่รถมาในทางตรงและมีสัญญาณไฟจราจรสีแดงมีหน้าที่จะต้องหยุดรถอยู่หลังเส้นให้รถหยุดตามมาตรา 22 (2) จะนำมาตรา 51 (2) (จ) มาใช้บังคับในทางเดินรถที่มีสัญญาณจราจรหรือเครื่องหมายจราจรหาได้ไม่ เมื่อรถที่จำเลยที่ 2 ขับมาชนรถที่จำเลยที่ 1 ขับขณะเลี้ยวขวาบริเวณสี่แยกดังกล่าว จำเลยที่ 1 จึงมิได้เป็นผู้ขับขี่รถยนต์โดยประมาท
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2288/2526
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การใช้ทางร่วมแยกที่มีสัญญาณไฟจราจร ต้องปฏิบัติตามสัญญาณไฟ มิอาจอ้างอิงบทบัญญัติทั่วไป
ตามพระราชบัญญัติจราจรทางบก พ.ศ. 2522 มาตรา 51(2)(จ) ที่บัญญัติว่าเมื่อรถอยู่ในทางร่วมทางแยก ผู้ขับขี่ต้องให้รถที่สวนมาในทางเดินรถทางเดียวกันผ่านทางร่วมทางแยกไปก่อน เมื่อเห็นว่าปลอดภัยแล้วจึงให้เลี้ยวขวาไปได้ เป็นบทที่ใช้บังคับแก่ผู้ขับขี่ในทางเดินรถที่ไม่มีสัญญาณจราจรหรือเครื่องหมายจราจร หากในทางเดินรถใด มีสัญญาณจราจรหรือเครื่องหมายจราจรบังคับไว้โดยเฉพาะผู้ขับขี่ก็ต้องปฏิบัติตามสัญญาและเครื่องหมายจราจรนั้นตามมาตรา 21, 22 การที่จำเลยที่ 1 ขับขี่รถยนต์เลี้ยวขวาที่บริเวณสี่แยกในขณะที่มีสัญญาณไฟจราจรลูกศรสีเขียวชี้ให้เลี้ยวขวานั้น จำเลยที่ 2 ซึ่งขับขี่รถมาในทางตรงและมีสัญญาณไฟจราจรสีแดงมีหน้าที่จะต้องหยุดรถอยู่หลังเส้นให้รถหยุดตามมาตรา 22(2) จะนำมาตรา 51(2)(จ) มาใช้บังคับในทางเดินรถที่มีสัญญาณจราจรหรือเครื่องหมายจราจรหาได้ไม่ เมื่อรถที่จำเลยที่ 2 ขับมาชนรถที่จำเลยที่ 1 ขับขณะเลี้ยวขวาบริเวณสี่แยกดังกล่าว จำเลยที่ 1 จึงมิได้เป็นผู้ขับขี่รถยนต์โดยประมาท