พบผลลัพธ์ทั้งหมด 391 รายการ
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 6516/2537 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การลงโทษอาญาในความผิดที่เกิดในทะเลหลวง ต้องรอการร้องขอจากผู้เสียหาย และการพิจารณาความผิดกรรมเดียว
ความผิดเกิดขึ้นในทะเลหลวง นอกราชอาณาจักรไทย ศาลไทยจะลงโทษผู้กระทำผิดที่เป็นคนไทยในข้อหาความผิดต่อชีวิตตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 8(4) ได้ต่อเมื่อผู้เสียหายได้ร้องขอให้ลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 8(ก) แต่คดีนี้ไม่ปรากฏแน่ชัดว่าผู้ตายซึ่งถือว่าเป็นผู้เสียหายเป็นใครบ้าง และไม่ปรากฏว่าจะมีผู้ใดซึ่งสามารถจัดการแทนผู้ตายได้ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 5(2)ได้ ดำเนินการร้องขอให้ศาลไทยลงโทษ ที่ปรากฏว่าผู้เสียหายได้ร้องทุกข์ขอให้ลงโทษก็เฉพาะผู้เสียหายทั้งสี่ที่ถูกปล้นทรัพย์และพยายามฆ่าเท่านั้น ฉะนั้น จึงลงโทษจำเลยฐานฆ่าผู้อื่นไม่ได้ คงลงโทษได้เฉพาะข้อหาปล้นทรัพย์และพยายามฆ่าผู้เสียหายทั้งสี่ซึ่งผู้เสียหายทั้งสี่ได้ร้องทุกข์ขอให้ลงโทษจำเลยแล้วเท่านั้น โจทก์บรรยายฟ้องข้อหาปล้นทรัพย์ไว้ในข้อ 1 ก. แยกต่างหากจากข้อหาฆ่าและพยายามฆ่าซึ่งอยู่ในข้อ 1 ข. เพียงว่า จำเลยกับพวกร่วมกันใช้มีดและขวานเป็นอาวุธในการปล้นทรัพย์โดยใช้เรือยนต์ซึ่งใช้ในการประมงเป็นยานพาหนะเท่านั้น ไม่ได้บรรยายว่าในการปล้นทรัพย์เป็นเหตุให้ผู้อื่นถึงแก่ความตายด้วยถือว่าโจทก์ไม่ประสงค์ให้ลงโทษจำเลยดังกล่าว ศาลย่อมไม่อาจพิพากษาลงโทษจำเลยตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 340 วรรคท้าย ได้เพราะเป็นการเกินคำขอที่โจทก์กล่าวในฟ้องไม่ชอบด้วย ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 192 คงลงโทษจำเลยได้เพียงฐานปล้นทรัพย์โดยมีอาวุธและใช้ยานพาหนะเพื่อการทำผิดเท่านั้น หลังจากที่จำเลยกับพวกปล้นทรัพย์ได้แล้ว ได้ถอยเรือไปอยู่ห่างจากเรือของผู้เสียหายทั้งสี่กับพวกประมาณ 20 เมตร เพื่อรอดูเรือประมงลำที่ 3 และลำที่ 4 เข้ามาเทียบกับเรือผู้เสียหายทั้งสี่กับพวกแล้วลูกเรือประมงลำที่ 3 ขึ้นไปพาพวกของผู้เสียหายทั้งสี่ที่เป็นหญิง 6 คน ขึ้นไปบนเรือประมงลำที่ 3 เสร็จแล้วเรือประมงลำที่ 3และลำที่ 4 จึงแล่นออกไป หลังจากนั้นจำเลยกับพวกขับเรือประมงพุ่งเข้าชนเรือผู้เสียหายทั้งสี่กับพวกจนมีพวกของผู้เสียหายตกทะเลหายไปประมาณ 20 คน นั้น ยังอยู่ในช่วงแห่งการปล้นทรัพย์ เพราะเป็นเวลาใกล้ชิดต่อเนื่องจากการได้ทรัพย์และพาเอาทรัพย์ที่ปล้นได้ไปเจตนาที่จำเลยกับพวกต้องการให้ผู้เสียหายกับพวกถึงแก่ความตายก็เพื่อปกปิดการที่ตนกระทำความผิดฐานปล้นทรัพย์นั้นเอง การพยายามฆ่าผู้เสียหายจึงเป็นการกระทำกรรมเดียวกับการปล้นทรัพย์ซึ่งต้องลงโทษตามกฎหมายบทที่มีโทษหนักที่สุดตาม ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 90 ปัญหาข้อกฎหมายเหล่านี้แม้ไม่มีคู่ความฝ่ายใดฎีกา ศาลฎีกายกขึ้นวินิจฉัยเองได้ เพราะเป็นข้อกฎหมายที่เกี่ยวกับความสงบเรียบร้อยตาม ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 195,225
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 6240/2537 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การฟ้องผิดฐานปล้นทรัพย์แต่มีพฤติการณ์ทำร้ายร่างกาย ศาลลงโทษฐานทำร้ายร่างกายได้
จำเลยที่ 1 และที่ 4 ได้ร่วมกันทำร้ายโจทก์ร่วมจนเป็นเหตุให้ได้รับอันตรายแก่กาย แม้โจทก์จะฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยที่ 1 และที่ 4 ฐานปล้นทรัพย์แต่โจทก์บรรยายฟ้องด้วยว่า จำเลยได้ร่วมกันทำร้ายโจทก์ร่วมจนได้รับอันตรายแก่กายซึ่งความผิดฐานปล้นทรัพย์คือการชิงทรัพย์โดยใช้กำลังประทุษร้ายรวมอยู่ด้วย ศาลย่อมมีอำนาจลงโทษจำเลยที่ 1 และที่ 4 ในความผิดฐานทำร้ายร่างกายผู้อื่นจนเป็นเหตุให้เกิดอันตรายแก่กายได้ตาม ป.วิ.อ.มาตรา 192 วรรคท้าย
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 6240/2537
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
แม้ฟ้องฐานปล้นทรัพย์ แต่ศาลลงโทษฐานทำร้ายร่างกายได้ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา
จำเลยที่ 1 และที่ 4 ได้ร่วมกันทำร้ายโจทก์ร่วมจนเป็นเหตุให้ได้รับอันตรายแก่กาย แม้โจทก์จะฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยที่ 1 และที่ 4 ฐานปล้นทรัพย์แต่โจทก์บรรยายฟ้องด้วยว่า จำเลยได้ร่วมกันทำร้ายโจทก์ร่วมจนได้รับอันตรายแก่กายซึ่งความผิดฐานปล้นทรัพย์คือการชิงทรัพย์โดยการใช้กำลังประทุษร้ายรวมอยู่ด้วย ศาลย่อมมีอำนาจลงโทษจำเลยที่ 1 และที่ 4 ในความผิดฐานทำร้ายร่างกายผู้อื่นจนเป็นเหตุให้เกิดอันตรายแก่กายได้ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญามาตรา 192 วรรคท้าย
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3562/2537
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ร่วมกันปล้นทรัพย์โดยใช้ยานอนหลับ ผู้ร่วมกระทำผิดมีส่วนร่วมในการกระทำทั้งหมด
จำเลยทั้งสามร่วมกันใช้ยานอนหลับผสมลงในเครื่องดื่มเบียร์ให้ผู้เสียหายดื่ม จนไม่รู้สึกตัวหลับไป แล้วปลดเอาเครื่องประดับของผู้เสียหายไป ดังนั้นจึงเป็นความผิดฐานปล้นทรัพย์
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4956/2536
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การฟ้องคดีซ้ำในความผิดเดิม แม้ศาลเคยมีคำพิพากษาถึงที่สุดแล้ว สิทธิฟ้องย่อมระงับตามกฎหมาย
โจทก์ร้องทุกข์ให้ดำเนินคดีอาญาแก่จำเลยกับพวกในข้อหาทำร้ายร่างกาย พยายามฆ่าและปล้นทรัพย์ แต่พนักงานอัยการสั่งไม่ฟ้องในข้อหาพยายามฆ่าและปล้นทรัพย์ คงสั่งฟ้องเฉพาะข้อหาทำร้ายร่างกายตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 295 และศาลพิพากษาลงโทษจำเลยคดีถึงที่สุดแล้ว โจทก์มาฟ้องจำเลยในมูลกรณีเดียวกันเป็นคดีนี้ แม้ว่าโจทก์จะได้บรรยายฟ้องว่าจำเลยกับพวกร่วมกันใช้อาวุธปืนสั้นและอาวุธปืนยาวทุบตีทำร้ายร่างกายโจทก์ เป็นเหตุให้โจทก์ได้รับอันตรายสาหัสแล้วร่วมกันปล้นเอาทรัพย์ของโจทก์ไปหลายอย่าง หลังจากนั้นจำเลยได้ใช้อาวุธปืนสั้นยิงพยายามฆ่าโจทก์โดยกระทำการต่อเนื่องกันเป็นลำดับก็ตาม แต่โจทก์ได้บรรยายฟ้องระบุชัดเจนว่าการกระทำของจำเลยเป็นความผิดต่อกฎหมายหลายบทและอ้างประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 90 มาในคำขอท้ายฟ้องโจทก์หาได้บรรยายฟ้องว่า จำเลยกระทำความผิดหลายกรรมต่างกันและอ้างมาตรา 91 มาในคำขอท้ายฟ้องไม่ ดังนี้เมื่อการกระทำของจำเลยเป็นเพียงกรรมเดียวและศาลได้มีคำพิพากษาเสร็จเด็ดขาดในความผิดที่ได้ฟ้องแล้ว สิทธินำคดีอาญามาฟ้องของโจทก์จึงระงับไป ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญามาตรา 39(4)
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4903/2536 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การรับสารภาพและพยานหลักฐานแวดล้อมในการพิสูจน์ความผิดฐานปล้นทรัพย์
การที่จำเลยที่ 3 ให้การรับสารภาพในชั้นจับกุมและชั้นสอบสวนกับนำชี้สถานที่ต่าง ๆ ที่ระบุในคำให้การโดยความสมัครใจ ทั้งมีพยานพฤติเหตุแวดล้อมกรณีว่า จำเลยที่ 3 นำเจ้าพนักงานตำรวจไปตรวจค้นยึดเหรียญหลวงปู่แหวนของผู้เสียหายที่ถูกจำเลยที่ 1 และที่ 2 กับพวกปล้นไปคืนได้จากบ้านจำเลยที่ 3 เช่นนี้ทำให้เชื่อได้ว่าจำเลยที่ 3 ได้ร่วมกับจำเลยที่ 1 และที่ 2 กระทำความผิดฐานปล้นทรัพย์ของผู้เสียหายตามฟ้อง
แม้โจทก์ไม่มีประจักษ์พยานมาเบิกความยืนยันว่า จำเลยที่ 3ได้ร่วมกับจำเลยที่ 1 และที่ 2 ปล้นทรัพย์ของผู้เสียหาย คงมีแต่คำให้การรับสารภาพในชั้นจับกุมและชั้นสอบสวนของจำเลยที่ 3 และพยานพฤติเหตุแวดล้อมกรณี แต่คำให้การรับสารภาพดังกล่าวของจำเลยที่ 3 ก็อาจใช้ยันจำเลยที่ 3 ในชั้นพิจารณาได้ หากมีพยานหลักฐานพอรับฟังได้ว่า จำเลยที่ 3 ให้การรับสารภาพโดยสมัครใจและตามความสัตย์จริง
แม้โจทก์ไม่มีประจักษ์พยานมาเบิกความยืนยันว่า จำเลยที่ 3ได้ร่วมกับจำเลยที่ 1 และที่ 2 ปล้นทรัพย์ของผู้เสียหาย คงมีแต่คำให้การรับสารภาพในชั้นจับกุมและชั้นสอบสวนของจำเลยที่ 3 และพยานพฤติเหตุแวดล้อมกรณี แต่คำให้การรับสารภาพดังกล่าวของจำเลยที่ 3 ก็อาจใช้ยันจำเลยที่ 3 ในชั้นพิจารณาได้ หากมีพยานหลักฐานพอรับฟังได้ว่า จำเลยที่ 3 ให้การรับสารภาพโดยสมัครใจและตามความสัตย์จริง
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4903/2536
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
คำรับสารภาพและพยานหลักฐานแวดล้อมใช้พิสูจน์ความผิดฐานปล้นทรัพย์ได้ หากปรากฏข้อเท็จจริงสนับสนุนความสมัครใจและเป็นความจริง
การที่จำเลยที่ 3 ให้การรับสารภาพในชั้นจับกุมและชั้นสอบสวนกับนำชี้สถานที่ต่าง ๆ ที่ระบุในคำให้การโดยความสมัครใจ ทั้งมีพยานพฤติเหตุแวดล้อม กรณีว่า จำเลยที่ 3นำเจ้าพนักงานตำรวจไปตรวจค้นยึดเหรียญหลวงปู่แหวนของผู้เสียหายที่ถูกจำเลยที่ 1 และที่ 2 กับพวกปล้นไปคืนได้จากบ้านจำเลยที่ 3 เช่นนี้ทำให้เชื่อได้ว่าจำเลยที่ 3ได้ร่วมกับจำเลยที่ 1 และที่ 2 กระทำความผิดฐานปล้นทรัพย์ของผู้เสียหายตามฟ้อง แม้โจทก์ไม่มีประจักษ์พยานมาเบิกความยืนยันว่าจำเลยที่ 3 ได้ร่วมกับจำเลยที่ 1 และที่ 2 ปล้นทรัพย์ของผู้เสียหาย คงมีแต่คำให้การรับสารภาพในชั้นจับกุมและชั้นสอบสวนของจำเลยที่ 3 และพยานพฤติเหตุแวดล้อมกรณีแต่คำให้การรับสารภาพดังกล่าวของจำเลยที่ 3 ก็อาจใช้ยันจำเลยที่3 ในชั้นพิจารณาได้ หากมีพยานหลักฐานพอรับฟังได้ว่าจำเลยที่ 3 ให้การรับสารภาพโดยสมัครใจและตามความสัตย์จริง
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4063/2536
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การริบรถจักรยานยนต์ที่ใช้ในการกระทำความผิด แม้ศาลชั้นต้นจะคืนให้เจ้าของไปแล้ว หากคดีถึงที่สุด
คนร้ายใช้รถจักรยานยนต์ของกลางทั้ง 2 คัน แล่นไล่ตามและขับปาดหน้ารถจักรยานยนต์ผู้เสียหายให้หยุด เพื่อทำการปล้นรถจักรยานยนต์ผู้เสียหาย รถจักรยานยนต์ของกลางทั้ง 2 คัน เป็นยานพาหนะที่ใช้ในการกระทำความผิดจึงต้องริบตามกฎหมาย แต่เมื่อรถจักรยานยนต์ของกลางคันหนึ่ง ศาลชั้นต้นสั่งคืนให้เจ้าของที่แท้จริงไปแล้ว และคดีถึงที่สุด ศาลฎีกาย่อมให้ริบเฉพาะรถจักรยานยนต์ของกลางคันที่เหลืออยู่
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4063/2536 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การริบยานพาหนะที่ใช้ในการกระทำความผิด: ฎีกาเกี่ยวกับรถจักรยานยนต์ของกลางที่ศาลสั่งคืนไปแล้ว
คนร้ายใช้รถจักรยานยนต์ของกลางทั้ง 2 คัน แล่นไล่ตามและขับปาดหน้ารถจักรยานยนต์ผู้เสียหายให้หยุด เพื่อทำการปล้นรถจักรยานยนต์ผู้เสียหายรถจักรยานยนต์ของกลางทั้ง 2 คัน เป็นยานพาหนะที่ใช้ในการกระทำความผิดจึงต้องริบตามกฎหมาย แต่เมื่อรถจักรยานยนต์ของกลางคันหนึ่ง ศาลชั้นต้นสั่งคืนให้เจ้าของที่แท้จริงไปแล้ว และคดีถึงที่สุด ศาลฎีกาย่อมให้ริบเฉพาะรถจักรยานยนต์ของกลางคันที่เหลืออยู่
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 235/2536
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ความร่วมมือในการปล้นทรัพย์: พฤติการณ์สนับสนุนการเป็นตัวการร่วม แม้ถูกข่มขู่
ก่อนเกิดเหตุผู้เสียหายทั้งเจ็ดเล่นการพนันที่บ้านของผู้เสียหายที่ 1 จำเลยมากับผู้เสียหายที่ 7 จำเลยได้กลับไปนำเงินที่บ้านของผู้เสียหายที่ 7 รวม 2 ครั้ง ในครั้งที่ 2 จำเลยไปเป็นเวลา 1 ชั่วโมงยังไม่กลับมาผู้เสียหายที่ 7 จึงไปเอาเงินที่บ้านด้วยตนเอง ต่อมาจำเลยกลับมายังบ้านที่เกิดเหตุพร้อมกับคนร้ายกดแตรรถจักรยานยนต์เป็นสัญญาณ และขานรับเมื่อผู้เสียหายที่ 1ถามชื่อผู้เสียหายที่ 1 จึงเปิดประตูเมื่อเห็นจำเลยกับคนร้ายผู้เสียหายที่ 1 จะปิดประตูแต่ปิดไม่ได้เพราะจำเลยใช้หัวรถจักรยานยนต์ดันเข้ามา จำเลยกับพวกเข้ามาในบ้านได้ คนร้ายได้บังคับผู้เสียหายทั้งเจ็ดและจำเลยนอนคว่ำ แล้วตรวจค้นเอาทรัพย์สินไป เว้นแต่จำเลยไม่ได้ถูกตรวจค้น พฤติการณ์ดังกล่าวฟังได้ว่าจำเลยเป็นตัวการร่วมกับคนร้ายปล้นทรัพย์จริง.