พบผลลัพธ์ทั้งหมด 391 รายการ
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1423/2535 เวอร์ชัน 3 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
คดีปล้นทรัพย์โดยเด็กวัยรุ่น ศาลฎีกาแก้ไขโทษ ลดมาตราส่วนโทษให้เหมาะสมกับพฤติการณ์
จำเลยที่ 5 มีอายุเกินกว่าสิบหกปีบริบูรณ์ แม้ในท้องที่ของศาลชั้นต้นจะมีศาลคดีเด็กและเยาวชนเปิดดำเนินการแล้วก็ตามแต่เมื่อความผิดตาม ป.อ. มาตรา 340 เป็นความผิดที่ไม่อยู่ในอำนาจของศาลคดีเด็กและเยาวชน ตาม พ.ร.บ. จัดตั้งศาลคดีเด็กและเยาวชน พ.ศ. 2494 มาตรา 8(1) ศาลชั้นต้นจึงมีอำนาจพิจารณาพิพากษาคดีได้ จำเลยที่ 5 ยืนยังไม่ให้คนอื่นเห็นการชิงทรัพย์ของจำเลยที่ 1ถึงที่ 3 จึงเป็นการร่วมกระทำความผิดโดยแบ่งหน้าที่กันทำ จำเลยที่ 5 เป็นตัวการร่วมในความผิดฐานปล้นทรัพย์ จำเลยทั้งห้ากระทำความผิดในขณะแต่ละคนอายุไม่เกิน 20 ปีโดยมิได้ใช้กำลังประทุษร้ายมิได้ใช้อาวุธหรือพูดว่าจะใช้กำลังประทุษร้าย เพียงแต่ใช้กิริยาท่าทีในการขู่บังคับ พฤติการณ์แห่งความผิดไม่ร้ายแรงนัก เป็นการกระทำของเด็กวัยคะนอง สมควรลงโทษสถานเบาและลดมาตราส่วนโทษให้ด้วย ปัญหาการกำหนดโทษและการไม่ลดมาตราส่วนโทษให้จำเลยทั้งห้า สำหรับความผิดในลักษณะนี้เป็นปัญหาเกี่ยวกับความสงบเรียบร้อยของประชาชนและเป็นเหตุในลักษณะคดี ย่อมมีผลถึงจำเลยที่ 1 ถึงที่ 4 ที่มิได้ฎีกาด้วยตาม ป.วิ.อ. มาตรา 213 ประกอบมาตรา 225.
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1423/2535
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
อำนาจศาลคดีเด็กและเยาวชน, ความผิดฐานปล้นทรัพย์, ตัวการร่วม, ลดโทษตามมาตรา 76/78
พระราชบัญญัติ ญญัติจัดตั้งศาลคดีเด็กและเยาวชน พ.ศ. 2494มาตรา 8(1) กำหนดให้ศาลคดีเด็กและเยาวชนมีอำนาจเช่นเดียวกับศาลจังหวัดในคดีอาญาที่มีข้อหาว่า เด็กหรือเยาวชนกระทำการอันกฎหมายบัญญัติเป็นความผิดเว้นแต่คดีอาญาที่มีข้อหาว่า เยาวชนซึ่งอายุเกินสิบหกปีบริบูรณ์กระทำความผิดในเหตุฉกรรจ์บางประเภทตามที่ระบุไว้รวมทั้งความผิดฐานปล้นทรัพย์ตามมาตรา 340 แห่งประมวลกฎหมายอาญา เมื่อจำเลยที่ 5 มีอายุเกินกว่าสิบหกปีบริบูรณ์และกระทำความผิดฐานปล้นทรัพย์ แม้จะกระทำความผิดในท้องที่ที่มีศาลคดีเด็กและเยาวชนเปิดดำเนินการแล้วก็ตาม เมื่อเป็นความผิดที่ไม่อยู่ในอำนาจของศาลคดีเด็กและเยาวชน ศาลชั้นต้นจึงมีอำนาจพิจารณาพิพากษาคดีนี้ จำเลยที่ 5 ร่วมกับพวกอีก 4 คน พากันขึ้นไปบนรถยนต์โดยสารขณะที่พวกจำเลยทำการปล้นทรัพย์ผู้เสียหายอยู่นั้น จำเลยที่ 5ยืนโหนบันไดรถบังไม่ให้คนอื่นเห็นการปล้นทรัพย์ที่พวกจำเลยกระทำอยู่เป็นการร่วมกระทำความผิดโดยแบ่งหน้าที่กันทำ จำเลยที่ 5จึงเป็นตัวการร่วมในความผิดฐานปล้นทรัพย์ การกำหนดโทษและการไม่ลดมาตราส่วนโทษให้จำเลย สำหรับความผิดที่ร่วมกันเป็นตัวการปล้นทรัพย์ เป็นปัญหาเกี่ยวกับความสงบเรียบร้อยของประชาชนและเป็นเหตุในลักษณะคดี เมื่อศาลฎีกาพิพากษาลดมาตราส่วนโทษและลดโทษให้จำเลยที่ฎีกา ย่อมมีอำนาจพิพากษาเลยไปถึงจำเลยที่มิได้ฎีกาด้วยตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 213 ประกอบมาตรา 225
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1410/2535 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ความผิดฐานปล้นทรัพย์หลายกรรมต่างกัน
คนร้าย 5 คน มีปืนเป็นอาวุธเข้าทำการปล้นทรัพย์ของ ป.ที่บ้านพักของ ป. ได้เงินสดและทรัพย์สินไปจำนวนหนึ่ง แล้วคนร้ายขู่บังคับ ป.ให้เดินไปกับคนร้ายไปทำการปล้นทรัพย์ที่บ้านของ จ.ซึ่งอยู่ห่างบ้านของ ป.ประมาณ3 เส้น ได้ทรัพย์ของ จ.ทั้งเงินสดและทรัพย์สินอื่น ๆ หลายรายการ แล้วคนร้ายพากันออกจากบ้านของ จ.ไปปล้นทรัพย์ของ ผ.ที่บ้านพักของ ผ.ได้เงินสดและทรัพย์สินอีกจำนวนหนึ่ง ดังนี้ การกระทำผิดของคนร้ายเป็นความผิดหลายกรรมต่างกัน
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1410/2535
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ความผิดฐานปล้นทรัพย์หลายกรรมต่างกัน ร่วมกันกระทำความผิด มีอาวุธ ร่วมขู่เข็ญบังคับ
คนร้าย 5 คน มีปืนเป็นอาวุธเข้าทำการปล้นทรัพย์ของ ป.ที่บ้านพักของ ป. ได้เงินสดและทรัพย์สินไปจำนวนหนึ่ง แล้วคนร้ายขู่บังคับ ป. ให้เดินไปกับคนร้ายไปทำการปล้นทรัพย์ที่บ้านของ จ.ซึ่งอยู่ห่างบ้านของ ป.ประมาณ 3 เส้น ได้ทรัพย์ของ จ.ทั้งเงินสดและทรัพย์สินอื่น ๆ หลายรายการ แล้วคนร้ายพากันออกจากบ้านของ จ.ไปปล้นทรัพย์ของ ผ.ที่บ้านพักของผ.ได้เงินสดและทรัพย์สินอีกจำนวนหนึ่ง ดังนี้ การกระทำผิดของคนร้ายเป็นความผิดหลายกรรมต่างกัน
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 828/2535
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การทำร้ายร่างกายจนได้รับอันตรายสาหัส ศาลพิพากษาลงโทษฐานทำร้ายร่างกายได้ แม้ฟ้องฐานปล้นทรัพย์
ความผิดฐานปล้นทรัพย์มีองค์ประกอบมาจากการกระทำความผิดฐานชิงทรัพย์ และการกระทำความผิดฐานชิงทรัพย์ มีองค์ประกอบมาจากการกระทำความผิดฐานลักทรัพย์โดยใช้กำลังประทุษร้าย ซึ่งเห็นได้ชัดว่าความผิดฐานปล้นทรัพย์ได้รวมการกระทำหลายอย่างแต่ละอย่างอาจเป็นความผิดได้อยู่ในตัว ฉะนั้น การใช้กำลังประทุษร้ายจึงเป็นองค์ประกอบส่วนหนึ่งซึ่งรวมอยู่ในความผิดฐานปล้นทรัพย์ด้วย การที่โจทก์ฟ้องและขอให้ลงโทษจำเลยในความผิดฐานปล้นทรัพย์ เมื่อข้อเท็จจริงในทางพิจารณาฟังได้ว่าจำเลยได้กระทำผิดเข้าลักษณะขององค์ประกอบฐานใดฐานหนึ่งของการกระทำความผิดในข้อหาที่ฟ้องศาลจะพิพากษาลงโทษจำเลยในการกระทำผิดอย่างหนึ่งอย่างใดตามที่พิจารณาได้ความก็ได้ ตาม ป.วิ.อ. มาตรา 192 วรรคหก ดังนั้นคดีนี้เมื่อฟังได้ว่าจำเลยทั้งสี่ได้ร่วมกันทำร้ายร่างกายผู้เสียหายจนได้รับอันตรายสาหัส ศาลก็ลงโทษจำเลยทั้งสี่ในความผิดฐานทำร้ายร่างกายสาหัส ตาม ป.อ. มาตรา 297 ได้.
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 476/2535
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การปล้นทรัพย์ vs. วิ่งราวทรัพย์ ความผิดฐานปล้นทรัพย์ต้องมีเจตนาประสงค์ต่อทรัพย์ร่วมกัน การกระทำของแต่ละคนอาจเข้าข่ายความผิดต่างกัน
ผู้เสียหายทั้งสองเป็นนักศึกษาวิทยาลัย ท. นั่งรถยนต์โดยสารประจำทางมาด้วยกันที่ใกล้บันไดรถ ขณะรถติดสัญญาณจราจรไฟสีแดงจำเลยที่ 3 วิ่งเข้ามาถามผู้เสียหายทั้งสองว่าเป็นนักศึกษาวิทยาลัยท.หรือไม่ขณะเดียวกันจำเลยที่2วิ่งขึ้นไปบนรถใช้มีดสะปาต้าฟันแขนซ้ายของผู้เสียหายที่ 1 บาดเจ็บ และใช้มีดดังกล่าวจี้เอาเสื้อฝึกงาน 1 ตัว นาฬิกาข้อมือ 1 เรือนไป ส่วนพวกของจำเลยทั้งสามขึ้นไปล้วงกระเป๋าใส่เงิน 1 ใบ พร้อมเงินสด 10 บาทไปและจำเลยที่ 1 ขึ้นไปกระชากสร้อยคอทองคำ 1 เส้นจากคอผู้เสียหายที่ 2แม้จำเลยที่ 1 ที่ 3 กระทำต่อผู้เสียหายคราวเดียวกัน แต่ก่อนเกิดเหตุจำเลยที่ 1 ที่ 3 กับพวกไม่ได้สมรู้ร่วมคิดอันมีลักษณะประสงค์ต่อทรัพย์ผู้เสียหายเพียงแต่พวกของจำเลยทั้งสามคนหนึ่งชวนให้ไปตีกับพวกนักศึกษาวิทยาลัย ท. ลักษณะที่จำเลยที่ 3แยกไปสอบถามผู้เสียหายทั้งสองน่าจะเป็นความคึกคะนองและพาล หาเรื่องหาใช่เป็นการแบ่งหน้าที่กันกระทำเพื่อประสงค์ต่อทรัพย์ของผู้เสียหายจำเลยที่ 1 กระชากสร้อยคอทองคำผู้เสียหายที่ 2 เป็นลักษณะที่ถือโอกาสเป็นส่วนตัวลำพังผู้เดียว เจตนากระทำความผิดดังกล่าวการกระทำของจำเลยที่ 1 เป็นความผิดฐานวิ่งราวทรัพย์ตาม ป.อ.มาตรา 336 วรรคแรก พวกของจำเลยทั้งสามถือโอกาสขณะนั้นเอาทรัพย์ของผู้เสียหายที่ 1 ไปโดยพลการ จำเลยที่ 1 ที่ 3 ไม่ได้สมรู้ร่วมคิดจำเลยที่ 1 ที่ 3 ไม่มีความผิดฐานปล้นทรัพย์.
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3944/2534
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ความร่วมมือในการปล้นทรัพย์: การรู้เห็นเป็นใจและบทลงโทษสำหรับผู้ร่วมกระทำความผิด
พฤติการณ์แวดล้อมกรณีที่จำเลยที่ 1 โทรศัพท์นัดโจทก์ร่วมซึ่งเป็นผู้เสียหายไปรับจำเลยที่ 1 ณ ปั๊มน้ำมันที่เกิดเหตุตามเวลาที่จำเลยที่ 1 กำหนด โดยไม่ยอมเปลี่ยนสถานที่ แม้โจทก์ร่วมจะได้ขอเปลี่ยนแล้ว ทั้งจำเลยที่ 1 บอกให้โจทก์ร่วมนำเอาทรัพย์ไปมาก ๆ และคนร้ายรู้ข้อมูลต่าง ๆ โดยละเอียดจากจำเลยที่ 1ประกอบกับใจความในจดหมายที่จำเลยที่ 1 เป็นผู้เขียนบ่งชี้ว่าจำเลยที่ 1 รู้เห็นร่วมแผนการณ์กับคนร้ายในการปล้นเอาทรัพย์ของโจทก์ร่วมและแบ่งหน้าที่มาทำบางส่วน ดังนี้ ถือได้ว่าจำเลยที่ 1ร่วมกระทำผิดด้วยกันกับคนร้าย จำเลยที่ 1 จึงเป็นตัวการต้องระวางโทษตามที่กฎหมายกำหนดไว้สำหรับความผิดนั้น ป.อ. มาตรา 340 ตรี มุ่งหมายที่จะลงโทษให้หนักขึ้นเฉพาะผู้ที่มีอาวุธปืนในการปล้นทรัพย์เท่านั้น มิใช่ว่าผู้ที่ร่วมกระทำการปล้นรายเดียวกันจะต้องระวางโทษหนักขึ้นทุกคน เมื่อปรากฏว่าพวกของจำเลยที่ 1 อีก 2 คนมีอาวุธปืนในการปล้นส่วนจำเลยที่ 1 เพียงแต่รู้เห็นในการปล้น จำเลยที่ 1 มิได้มีอาวุธปืนในการปล้นแต่อย่างใด กรณีจึงไม่ต้องด้วยมาตรา 340 ตรี.
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2436/2534
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ข่มขืนใจโดยมีอาวุธปืน: การกระทำที่ไม่ได้มุ่งหวังต่อทรัพย์ แต่เป็นการข่มขู่ให้หยุดรถ
จำเลยว่าจ้างให้ผู้เสียหายขับรถจักรยานยนต์จากตลาดไปส่งยังหมู่บ้าน มีนางสาวด. นั่งกลาง จำเลยนั่งซ้อนท้ายสุด รถแล่นมาได้ประมาณ 10 กิโลเมตร จำเลยบอกให้ผู้เสียหายเลี้ยวกลับไปส่งที่เดิมขณะกำลังเลี้ยวรถกลับ จำเลยกระโดดลงจากรถบอกให้หยุดรถ และมีเสียงชายที่ขับรถจักรยานยนต์ตามหลังมาและเป็นพวกจำเลยบอกให้ยิงผู้เสียหายเหลียวไปดูเห็นจำเลยจ้องปืนมาทางผู้เสียหาย ผู้เสียหายจึงรีบขับรถจักรยานยนต์มุ่งหน้าตรงไป ทำให้นางสาวด. ที่นั่งอยู่ด้วยตกลงจากรถ ขณะนั้นผู้เสียหายได้ยินเสียงปืนดังขึ้น 1 นัดทางด้านหลัง แต่ไม่ถูกผู้เสียหาย ผู้เสียหายหันไปดูเห็นจำเลยและนางสาวด. ขึ้นรถจักรยานยนต์ซึ่งชายผู้นั้นขับไปทางเดิม ดังนี้ข้อเท็จจริงไม่ปรากฏว่านางสาวด. ร่วมกระทำการด้วยอย่างไรจำเลยยิงปืนไปทางใด และห่างจากผู้เสียหายเท่าใด จำเลยยิงปืนเพียง1 นัด เมื่อไม่ถูกแล้วก็ไม่ได้ติดตามยิงผู้เสียหายอีก ยังไม่พอฟังว่าจำเลยยิงปืนโดยเจตนาฆ่าผู้เสียหาย การกระทำของจำเลยจึงไม่เป็นความผิดฐานพยายามปล้นทรัพย์และพยายามฆ่าตามฟ้อง แต่การที่จำเลยซึ่งโดยสารรถจักรยานยนต์ผู้เสียหายมายังไม่ถึงจุดหมายบอกให้ผู้เสียหายเลี้ยวรถกลับไปส่งที่เดิม เมื่อผู้เสียหายเลี้ยวรถจำเลยกลับกระโดดลงจากรถแล้วบอกให้ผู้เสียหายหยุดรถ และเมื่อพวกจำเลยขับขี่รถจักรยานยนต์ตามมาบอกให้ยิง จำเลยก็จ้องปืนมาทางผู้เสียหายครั้นผู้เสียหายไม่หยุดรถและขับรถหลบหนีไป จำเลยก็ยิงปืนขึ้นกรณีไม่ปรากฏเหตุผลอย่างไรที่จำเลยจะต้องให้ผู้เสียหายหยุดรถจนถึงขนาดต้องใช้อาวุธปืนในการบังคับขู่เข็ญเช่นนั้น การกระทำของจำเลยเป็นการข่มขืนใจให้ผู้เสียหายกระทำการโดยทำให้กลัวว่าจะเกิดอันตรายต่อชีวิตร่างกายของผู้เสียหายอันเป็นความผิดต่อเสรีภาพโดยมีอาวุธปืนตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 309 วรรคสองแต่เมื่อผู้เสียหายไม่หยุดรถตามที่จำเลยข่มขืนใจ จำเลยจึงมีความผิดเพียงขั้นพยายาม ดังนี้ แม้ข้อเท็จจริงที่ปรากฏตามทางพิจารณาแตกต่างจากข้อเท็จจริงที่กล่าวในฟ้อง ศาลก็ลงโทษจำเลยตามข้อเท็จจริงที่ได้ความนี้ได้ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญามาตรา 192 วรรคสุดท้าย
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1072/2534
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
หลักฐานพยานบอกเล่าและการเปลี่ยนแปลงข้อหาจากปล้นทรัพย์เป็นฉ้อโกง
โจทก์ไม่มีพยานที่รู้เห็นในขณะกระทำผิดมาเบิกความคงมีแต่คำให้การของผู้เสียหาย และ ล. ที่ให้การต่อพนักงานสอบสวน และมีคำเบิกความของพนักงานสอบสวนรับรองว่าได้สอบปากคำผู้เสียหายและ ล. ไว้ พยานโจทก์จึงมีแต่พยานบอกเล่า โดยไม่มีพยานอื่นใดประกอบ ไม่เป็นหลักฐานเพียงพอที่จะพิสูจน์ให้เห็นว่าจำเลยกระทำตามที่บอกเล่าแม้โจทก์จะนำสืบและส่งคำให้การของผู้เสียหายกับ ล.ต่อศาลโดยจำเลยมิได้ค้านว่าข้อความในเอกสารไม่ถูกต้อง ก็ไม่อาจถือได้ว่าเหตุการณ์เป็นจริงดังที่ผู้เสียหายและ ล. ให้การ ข้อเท็จจริงในทางพิจารณาฟังได้ว่า จำเลยที่ 1 และที่ 2ร่วมกับจำเลยที่ 3 หลอกลวงผู้เสียหายด้วยการแสดงข้อความอันเป็นเท็จและได้ไปซึ่งเงินจำนวน 11,000 บาท จากผู้เสียหายอันเป็นความผิดฐานร่วมกันฉ้อโกง แม้โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยที่ 1 และที่ 2 ในข้อหาปล้นทรัพย์ แต่การกระทำผิดฐานปล้นทรัพย์เป็นการลักทรัพย์โดยร่วมกันกระทำผิดตั้งแต่ 3 คนขึ้นไป โดยการกระทำนั้นมีลักษณะเป็นการชิงทรัพย์ซึ่งเป็นการได้ทรัพย์ของผู้เสียหายไปเช่นเดียวกันกับความผิดฐานฉ้อโกง จึงถือไม่ได้ว่าข้อเท็จจริงตามที่ปรากฏในการพิจารณาแตกต่างกับข้อเท็จจริงที่กล่าวในฟ้องในข้อสาระสำคัญ อันจะเป็นเหตุให้ศาลต้องยกฟ้อง เมื่อจำเลยที่ 1 และที่ 2 ไม่หลงต่อสู้ ศาลมีอำนาจลงโทษจำเลยที่ 1 และที่ 2 ในความผิดฐานฉ้อโกงตามที่พิจารณาได้ความได้ตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 192 วรรคสาม
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3792/2533
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การลงโทษจำเลยในความผิดฐานฆ่าและลักทรัพย์ ศาลต้องลงโทษตามความผิดที่พยานหลักฐานรับฟังได้ แม้จำเลยจะให้การรับสารภาพ
จำเลยที่ 3 ฆ่าผู้ตายแล้วจึงได้เอาทรัพย์สินและรถจักรยานยนต์ของกลางไป จำเลยที่ 3 จึงมีความผิดฐานฆ่าผู้ตายโดยเจตนาตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 288 กระทงหนึ่ง และฐานลักทรัพย์อีกกระทงหนึ่ง หามีความผิดฐานฆ่าผู้ตายเพื่อจะเอาทรัพย์สินตามมาตรา 289 (7) ไม่ แม้จำเลยที่ 3 จะให้การรับสารภาพในชั้นพิจารณาของศาลว่าได้กระทำความผิดฐานดังกล่าวด้วย แต่เมื่อข้อเท็จจริงตามทางพิจารณาฟังไม่ได้ว่าจำเลยที่ 3 ได้กระทำความผิดตามข้อหาที่ให้การรับสารภาพ ศาลก็ลงโทษในข้อหาความผิดที่รับสารภาพหาได้ไม่
เมื่อจำเลยที่ 3 และที่ 4 ร่วมกระทำความผิดด้วยกัน แต่การกระทำเป็นความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 288 ซึ่งมีโทษเบากว่ามาตรา 289 (7) และเป็นเหตุในส่วนลักษณะคดี แม้จำเลยที่ 4 จะมิได้ฎีกา ศาลก็มีอำนาจพิพากษาตลอดไปถึงจำเลยที่ 4 ได้ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญามาตรา 213 ประกอบด้วย มาตรา 225
เมื่อจำเลยที่ 3 และที่ 4 ร่วมกระทำความผิดด้วยกัน แต่การกระทำเป็นความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 288 ซึ่งมีโทษเบากว่ามาตรา 289 (7) และเป็นเหตุในส่วนลักษณะคดี แม้จำเลยที่ 4 จะมิได้ฎีกา ศาลก็มีอำนาจพิพากษาตลอดไปถึงจำเลยที่ 4 ได้ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญามาตรา 213 ประกอบด้วย มาตรา 225