คำพิพากษาที่เกี่ยวข้องกับกฎหมาย
ป.วิ.พ. ม. 183

พบผลลัพธ์ทั้งหมด 2,529 รายการ

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 179/2530

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การขาดนัดพิจารณาคดี: จำเลยทราบวันนัดแล้ว การอ้างความผิดพลาดของทนาย ไม่ถือเป็นเหตุสมควร
เมื่อจำเลยทราบวันนัดสืบพยานโจทก์โดยชอบตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 183 ที่แก้ไขเพิ่มเติม ซึ่งให้ถือว่าคู่ความที่ไม่มาศาลในวันนัดชี้สองสถานได้ทราบกระบวนพิจารณาของศาลในวันนั้นแล้ว ศาลหาจำต้องหมายแจ้งวันนัดสืบพยานโจทก์ให้จำเลยทราบอีกไม่.
ข้ออ้างของจำเลยที่ว่า ทนายความคนเดิมพิมพ์หมายเลขคดีดำเกี่ยวกับวันนัดชี้สองสถานผิดพลาดจึงมาศาลตามนัดในคดีหมายเลขดำที่ผิดพลาดดังกล่าวนั้น เมื่อปรากฎว่าทนายจำเลยคนเดิมได้เซ็นทราบวันนัดชี้สองสถานไว้ในคำให้การในสำนวนแล้วจึงเป็นเรื่องที่จำเลยไม่เอาใจใส่ต่อคดีของตนเอง จะถือว่าจำเลยไม่จงใจขาดนัดพิจารณาอันจะรับฟังเป็นเหตุให้มีการพิจารณาใหม่หาได้ไม่.
คำร้องขอพิจารณาใหม่ กล่าวเพียงว่าจำเลยมีหลักฐานที่จะพิสูจน์ว่า จำเลยไม่ต้องรับผิดตามฟ้อง มิได้กล่าวอ้างเหตุให้ชัดแจ้งว่าคำพิพากษาศาลชั้นต้นไม่ถูกต้องอย่างไร หากมีการพิจารณาใหม่ จำเลยจะชนะคดีได้อย่างไร เป็นคำร้องที่ไม่ชอบด้วย ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 208.

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 179/2530 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การขาดนัดพิจารณาคดี และการพิจารณาใหม่: จำเลยทราบวันนัดตามกฎหมาย การไม่เอาใจใส่คดีไม่อาจใช้เป็นเหตุพิจารณาใหม่ได้
เมื่อจำเลยทราบวันนัดสืบพยานโจทก์โดยชอบตาม ป.วิ.พ. มาตรา 183ที่แก้ไขเพิ่มเติม ซึ่งให้ถือว่าคู่ความที่ไม่มาศาลในวันนัดชี้สองสถานได้ทราบกระบวนพิจารณาของศาลในวันนั้นแล้ว ศาลหาจำต้องหมายแจ้งวันนัดสืบพยานโจทก์ให้จำเลยทราบอีกไม่ ข้ออ้างของจำเลยที่ว่า ทนายความคนเดิมพิมพ์หมายเลขคดีดำเกี่ยวกับวันนัดชี้สองสถานผิดพลาดจึงมาศาลตามนัดในคดีหมายเลขดำที่ผิดพลาดดังกล่าวนั้น เมื่อปรากฏว่าทนายจำเลยคนเดิมได้เซ็น ทราบวันนัดชี้สองสถานไว้ในคำให้การในสำนวนแล้วจึงเป็นเรื่องที่จำเลยไม่เอาใจใส่ต่อคดีของตนเอง จะถือว่าจำเลยไม่จงใจขาดนัดพิจารณาอันจะรับฟังเป็นเหตุให้มีการพิจารณาใหม่หาได้ไม่ คำร้องขอพิจารณาใหม่ กล่าวเพียงว่าจำเลยมีหลักฐานที่จะพิสูจน์ว่า จำเลยไม่ต้องรับผิดตามฟ้อง มิได้กล่าวอ้างเหตุให้ชัดแจ้งว่าคำพิพากษาศาลชั้นต้นไม่ถูกต้องอย่างไร หากมีการพิจารณาใหม่จำเลยจะชนะคดีได้อย่างไร เป็นคำร้องที่ไม่ชอบด้วย ป.วิ.พ.มาตรา 208.

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 110/2530

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การเปลี่ยนแปลงประเด็นข้อสู้ในชั้นอุทธรณ์ที่ไม่ชอบด้วยกฎหมาย และผลกระทบต่อสิทธิในการฎีกา
โจทก์ให้การแก้คำร้องขัดทรัพย์ของผู้ร้องว่าแม้ผู้ร้องจะได้ตกลงซื้อสิทธิการเช่าโทรศัพท์จากจำเลยแต่เมื่อยังมิได้ทำสัญญากับองค์การโทรศัพท์แห่งประเทศไทยจึงยกขึ้นเป็นข้อต่อสู้โจทก์ไม่ได้ แต่ในชั้นอุทธรณ์โจทก์กลับอุทธรณ์ว่า สิทธิการเช่าโทรศัพท์เป็นสิทธิเฉพาะตัวการโอนจะต้องได้รับความยินยอมจากองค์การโทรศัพท์แห่งประเทศไทยผู้ให้เช่าซึ่งเป็นคนละประเด็นและมิใช่ประเด็นที่ได้ยกขึ้นว่ากล่าวในศาลชั้นต้นกับมิใช่ เป็นปัญหาอันเกี่ยวด้วยความสงบเรียบร้อยของประชาชน อุทธรณ์ของโจทก์จึงต้องห้ามตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา 225 แม้ศาลอุทธรณ์จะรับวินิจฉัย โจทก์ก็ไม่มีสิทธิฎีกา

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 110/2530 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การเปลี่ยนแปลงข้อต่อสู้ในชั้นอุทธรณ์ที่ไม่ชอบด้วยกฎหมาย และสิทธิในการฎีกา
โจทก์ให้การแก้คำร้องขัดทรัพย์ของผู้ร้องว่าแม้ผู้ร้องจะได้ตกลงซื้อสิทธิการเช่าโทรศัพท์จากจำเลยแต่เมื่อยังมิได้ทำสัญญากับองค์การโทรศัพท์แห่งประเทศไทยจึงยกขึ้นเป็นข้อต่อสู้โจทก์ไม่ได้ แต่ในชั้นอุทธรณ์โจทก์กลับอุทธรณ์ว่า สิทธิการเช่าโทรศัพท์เป็นสิทธิเฉพาะตัวการโอนจะต้องได้รับความยินยอมจากองค์การโทรศัพท์แห่งประเทศไทยผู้ให้เช่าซึ่งเป็นคนละประเด็นและมิใช่ประเด็นที่ได้ยกขึ้นว่ากล่าวในศาลชั้นต้นกับมิใช่ เป็นปัญหาอันเกี่ยวด้วยความสงบเรียบร้อยของประชาชน อุทธรณ์ของโจทก์จึงต้องห้ามตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา 225 แม้ศาลอุทธรณ์จะรับวินิจฉัย โจทก์ก็ไม่มีสิทธิฎีกา

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4476/2529 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การแปลงหนี้จากสัญญาซื้อขายหลักทรัพย์เป็นสัญญากู้ยืมเงิน และความสมบูรณ์ของสัญญา
โจทก์บรรยายฟ้องว่า จำเลยกู้เงินโจทก์ไปตามสัญญากู้เงินต่อมาจำเลยได้นำเงินที่ได้จากการขายหุ้น เงินปันผล และเงินสดมาชำระหนี้ให้โจทก์บางส่วนนับถึงวันที่ 11 กันยายน 2523 จำเลยชำระเงินต้นให้โจทก์ 831,333 บาท 67 สตางค์ กับดอกเบี้ยอีก 583,642บาท 99 สตางค์ ซึ่งโจทก์ได้มีหนังสือถึงจำเลยให้ชำระเงินต้นส่วนที่เหลือพร้อมดอกเบี้ยตามเอกสารท้ายฟ้องอันเป็นส่วนหนึ่งของคำฟ้องซึ่งได้ระบุยอดเงินต้นที่ค้างตรงตามฟ้อง คำฟ้องของโจทก์จึงแสดงโดยแจ้งชัดซึ่งสภาพแห่งข้อหาและคำขอบังคับทั้งข้ออ้างที่อาศัยเป็นหลักแห่งข้อหาต้องตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 172 พอที่จำเลยจะเข้าใจข้อหาได้ดีและสามารถต่อสู้คดีได้แล้ว ส่วนข้อที่ว่ายอดเงินที่จำเลยชำระคืนบางส่วนเป็นเงินเท่าใด เป็นเงินอะไร และมีการชำระเงินเมื่อใดนั้น เป็นเพียงรายละเอียดที่โจทก์จะต้องนำสืบต่อไป หาจำต้องบรรยายในคำฟ้องไม่ จึงไม่เป็นฟ้องเคลือบคลุม
โจทก์ฟ้องว่าจำเลยกู้เงินโจทก์และได้ชำระเงินคืนบางส่วนแล้วจำเลยต้องรับผิดชำระหนี้ที่เหลือให้โจทก์ จำเลยให้การปฏิเสธว่าไม่ได้กู้เงินโจทก์และไม่ได้รับเงินตามฟ้อง ดังนี้การที่ศาลชั้นต้นวินิจฉัยในคำพิพากษาโดยตั้งประเด็นพิพาทว่าจำเลยกู้เงินโจทก์หรือไม่และจะต้องรับผิดเพียงใดนั้น ย่อมมีความหมายทำนองเดียวกับประเด็นเดิมที่ตั้งไว้ในชั้นพิจารณาที่ว่า จำเลยได้ทำสัญญากู้เงินและรับเงินไปตามฟ้องหรือไม่จึงไม่เป็นการวินิจฉัยนอกฟ้องแต่อย่างใด และไม่เป็นการวินิจฉัยนอกประเด็นหรือขยายประเด็นเดิม
โจทก์ฟ้องว่าจำเลยกู้เงินโจทก์ การที่ศาลชั้นต้นวินิจฉัยว่าสัญญากู้เงินตามฟ้องมีมูลหนี้มาจากการซื้อขายหลักทรัพย์ จึงเป็นการแปลงหนี้ใหม่จากหนี้ซื้อขายหลักทรัพย์มาเป็นหนี้เงินกู้ เป็นการวินิจฉัยถึงที่มาแห่งการทำสัญญากู้เงินระหว่างโจทก์จำเลย จึงไม่ถือเป็นการวินิจฉัยนอกฟ้องแต่อย่างใด
จำเลยได้กู้ยืมเงินโจทก์เพื่อนำไปซื้อขายหลักทรัพย์ในตลาดหลักทรัพย์ฯ จำเลยเป็นหนี้โจทก์ 3,500,000 บาทเศษ จำเลยจึงได้ทำสัญญากู้ยืมเงินจากโจทก์ ดังนี้การทำสัญญากู้ยืมเงินระหว่างโจทก์และจำเลยเป็นการแปลงหนี้ใหม่อันชอบด้วยกฎหมายจึงบังคับตามสัญญากู้ยืมเงินได้
โจทก์ฟ้องขอให้บังคับจำเลยชำระเงินต้น 2,760,896.67 บาทกับดอกเบี้ยอีก 864,221.48 บาท ศาลล่างทั้งสองวินิจฉัยให้จำเลยชำระเฉพาะเงินต้น อันเป็นหนี้ส่วนใหญ่ที่จำเลยค้างชำระ ดังนี้ที่ศาลชั้นต้นกำหนดให้จำเลยชำระค่าฤชาธรรมเนียมโดยกำหนดค่าทนายความเป็นเงิน 10,000 บาทแทนโจทก์ และศาลอุทธรณ์กำหนดค่าทนายความในชั้นอุทธรณ์เป็นเงิน 6,000 บาท จึงเหมาะสมแล้ว

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4476/2529

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การแปลงหนี้จากซื้อขายหลักทรัพย์เป็นหนี้เงินกู้ และความสมบูรณ์ของสัญญา
โจทก์บรรยายฟ้องว่าจำเลยกู้เงินโจทก์ไปตามสัญญากู้เงินต่อมาจำเลยได้นำเงินที่ได้จากการขายหุ้นเงินปันผลและเงินสดมาชำระหนี้ให้โจทก์บางส่วนนับถึงวันที่11กันยายน2523จำเลยชำระเงินต้นให้โจทก์831,333บาท67สตางค์กับดอกเบี้ยอีก583,642บาท99สตางค์ซึ่งโจทก์ได้มีหนังสือถึงจำเลยให้ชำระเงินต้นส่วนที่เหลือพร้อมดอกเบี้ยตามเอกสารท้ายฟ้องอันเป็นส่วนหนึ่งของคำฟ้องซึ่งได้ระบุยอดเงินต้นที่ค้างตรงตามฟ้องคำฟ้องของโจทก์จึงแสดงโดยแจ้งชัดซึ่งสภาพแห่งข้อหาและคำขอบังคับทั้งข้ออ้างที่อาศัยเป็นหลักแห่งข้อหาต้องตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา172พอที่จำเลยจะเข้าใจข้อหาได้ดีและสามารถต่อสู้คดีได้แล้วส่วนข้อที่ว่ายอดเงินที่จำเลยชำระคืนบางส่วนเป็นเงินเท่าใดเป็นเงินอะไรและมีการชำระเงินเมื่อใดนั้นเป็นเพียงรายละเอียดที่โจทก์จะต้องนำสืบต่อไปหาจำต้องบรรยายในคำฟ้องไม่จึงไม่เป็นฟ้องเคลือบคลุม โจทก์ฟ้องว่าจำเลยกู้เงินโจทก์และได้ชำระเงินคืนบางส่วนแล้วจำเลยต้องรับผิดชำระหนี้ที่เหลือให้โจทก์จำเลยให้การปฏิเสธว่าไม่ได้กู้เงินโจทก์และไม่ได้รับเงินตามฟ้องดังนี้การที่ศาลชั้นต้นวินิจฉัยในคำพิพากษาโดยตั้งประเด็นพิพาทว่าจำเลยกู้เงินโจทก์หรือไม่และจะต้องรับผิดเพียงใดนั้นย่อมมีความหมายทำนองเดียวกับประเด็นเดิมที่ตั้งไว้ในชั้นพิจารณาที่ว่าจำเลยได้ทำสัญญากู้เงินและรับเงินไปตามฟ้องหรือไม่จึงไม่เป็นการวินิจฉัยนอกฟ้องแต่อย่างใดและไม่เป็นการวินิจฉัยนอกประเด็นหรือขยายประเด็นเดิม โจทก์ฟ้องว่าจำเลยกู้เงินโจทก์การที่ศาลชั้นต้นวินิจฉัยว่าสัญญากู้เงินตามฟ้องมีมูลหนี้มาจากการซื้อขายหลักทรัพย์จึงเป็นการแปลงหนี้ใหม่จากหนี้ซื้อขายหลักทรัพย์มาเป็นหนี้เงินกู้เป็นการวินิจฉัยถึงที่มาแห่งการทำสัญญากู้เงินระหว่างโจทก์จำเลยจึงไม่ถือเป็นการวินิจฉัยนอกฟ้องแต่อย่างใด จำเลยได้กู้ยืมเงินโจทก์เพื่อนำไปซื้อขายหลักทรัพย์ในตลาดหลักทรัพย์ฯจำเลยเป็นหนี้โจทก์3,500,000บาทเศษจำเลยจึงได้ทำสัญญากู้ยืมเงินจากโจทก์ดังนี้การทำสัญญากู้ยืมเงินระหว่างโจทก์และจำเลยเป็นการแปลงหนี้ใหม่อันชอบด้วยกฎหมายจึงบังคับตามสัญญากู้ยืมเงินได้ โจทก์ฟ้องขอให้บังคับจำเลยชำระเงินต้น2,760,896.67บาทกับดอกเบี้ยอีก864,221.48บาทศาลล่างทั้งสองวินิจฉัยให้จำเลยชำระเฉพาะเงินต้นอันเป็นหนี้ส่วนใหญ่ที่จำเลยค้างชำระดังนี้ที่ศาลชั้นต้นกำหนดให้จำเลยชำระค่าฤชาธรรมเนียมโดยกำหนดค่าทนายความเป็นเงิน10,000บาทแทนโจทก์และศาลอุทธรณ์กำหนดค่าทนายความในชั้นอุทธรณ์เป็นเงิน6,000บาทจึงเหมาะสมแล้ว.

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4315/2529 เวอร์ชัน 3 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ตัวแทนเชิดชำระหนี้: ศาลวินิจฉัยได้หรือไม่นอกประเด็นที่จำกัด
โจทก์ฟ้องให้จำเลยชำระหนี้ตามสัญญา จำเลยให้การว่าจำเลยชำระหนี้ให้โจทก์ครบถ้วนแล้ว โดยชำระผ่าน ป.ตัวแทนของโจทก์ ดังนั้นการที่ศาลวินิจฉัยว่า ป.เป็นตัวแทนเชิดของโจทก์ได้รับชำระหนี้แทนโจทก์ จึงไม่เป็นการวินิจฉัยนอกประเด็นข้อพิพาทที่ศาลชั้นต้นได้กำหนดไว้ว่า จำเลยชำระหนี้ให้โจทก์ครบถ้วนตามสัญญาหรือไม่

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4315/2529 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การชำระหนี้ผ่านตัวแทนเชิด: ศาลวินิจฉัยได้หากเกี่ยวข้องกับประเด็นข้อพิพาทเดิม
โจทก์ฟ้องให้จำเลยชำระหนี้ตามสัญญา จำเลยให้การว่าจำเลยชำระหนี้ให้โจทก์ครบถ้วนแล้ว โดยชำระผ่าน ป.ตัวแทนของโจทก์ดังนั้นการที่ศาลวินิจฉัยว่า ป.เป็นตัวแทนเชิดของโจทก์ได้รับชำระหนี้แทนโจทก์ จึงไม่เป็นการวินิจฉัยนอกประเด็นข้อพิพาทที่ศาลชั้นต้นได้กำหนดไว้ว่าจำเลยชำระหนี้ให้โจทก์ครบถ้วนตามสัญญาหรือไม่

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4315/2529

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การชำระหนี้ผ่านตัวแทนเชิด: ศาลวินิจฉัยประเด็นการชำระหนี้ครบถ้วนได้ แม้เป็นการวินิจฉัยเรื่องตัวแทน
โจทก์ฟ้องให้จำเลยชำระหนี้ตามสัญญาจำเลยให้การว่าจำเลยชำระหนี้ให้โจทก์ครบถ้วนแล้วโดยชำระผ่านป.ตัวแทนของโจทก์ดังนั้นการที่ศาลวินิจฉัยว่าป.เป็นตัวแทนเชิดของโจทก์ได้รับชำระหนี้แทนโจทก์จึงไม่เป็นการวินิจฉัยนอกประเด็นข้อพิพาทที่ศาลชั้นต้นได้กำหนดไว้ว่าจำเลยชำระหนี้ให้โจทก์ครบถ้วนตามสัญญาหรือไม่.

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4291/2529 เวอร์ชัน 4 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ อายุความและประเด็นข้อกฎหมาย: จำเลยต้องยกเหตุขาดอายุความชัดเจนในคำให้การ ศาลไม่ควรวินิจฉัยนอกประเด็น
โจทก์ฟ้องเรียกค่าเสียหายที่จำเลยซึ่งเป็นพนักงานขับรถของโจทก์ขับรถโดยประมาทเป็นเหตุให้รถยนต์ของโจทก์คว่ำได้รับความเสียหายต้องซ่อมแซม และทำให้ใบยาสูบที่บรรทุกมาเสียหาย โจทก์ต้องจ่ายค่าเสียหายในการซ่อมรถและชดใช้ค่าใบยาสูบให้ โรงงานยาสูบ จึงเป็นคดีที่มีหลายประเด็น อายุความมีหลายประเภท จำเลยให้การเพียงว่า คดีของโจทก์ขาดอายุความเท่านั้น มิได้แสดงเหตุแห่งการขาดอายุความมาด้วยว่าขาดอายุความตามบทกฎหมายใด ในเรื่องใด เหตุใดฟ้องโจทก์จึงขาดอายุความ ดังนี้ คำให้การของจำเลยไม่ชอบด้วยประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 177 วรรคสอง และไม่ก่อให้เกิดประเด็นในคดี ศาลแรงงานกลางพิจารณาประเด็นว่าฟ้องโจทก์ขาดอายุความหรือไม่ แล้ววินิจฉัยยกฟ้องโจทก์ด้วยเหตุนี้จึงเป็นการนอกประเด็นและเป็นการไม่ชอบ
of 253