คำพิพากษาที่เกี่ยวข้องกับกฎหมาย
ป.วิ.พ. ม. 183

พบผลลัพธ์ทั้งหมด 2,529 รายการ

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2384/2540 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ อำนาจฟ้อง: ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยประเด็นที่ไม่ได้อุทธรณ์ไม่ได้ การยอมรับคำวินิจฉัยศาลชั้นต้น
การที่ศาลชั้นต้นวินิจฉัยว่าโจทก์ไม่มีอำนาจฟ้องและโจทก์ไม่ได้อุทธรณ์คัดค้านคำพิพากษาของศาลชั้นต้นดังกล่าวเท่ากับโจทก์ยอมรับแล้วว่าโจทก์ฟ้องคดีนี้ไม่ได้ปัญหาเรื่องอำนาจฟ้องของโจทก์จึงยุติไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้นที่ศาลอุทธรณ์ภาค3ยกปัญหานี้ขึ้นวินิจฉัยเองว่าโจทก์มีอำนาจฟ้องทั้งที่โจทก์ไม่ได้โต้แย้งแล้วจึงเป็นการไม่ชอบ

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2228/2540

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การได้มาซึ่งที่ดินโดยการยกจากผู้ป่วยหนัก และการครอบครองปรปักษ์: ที่ดินไม่ใช่ทรัพย์มรดก
คำฟ้องโจทก์กล่าวอ้างว่าจำเลยไปให้ถ้อยคำต่อเจ้าพนักงานที่ดินว่าป. ยกที่ดินพิพาทให้จำเลยมาประมาณ13ปีและจำเลยครอบครองต่อเนื่องเรื่อยมาซึ่งไม่เป็นความจริงจำเลยให้การต่อสู้ว่าจำเลยและด. ได้ครอบครองเป็นเจ้าของที่ดินพิพาทตลอดมาจนกระทั่งด. ถึงแก่กรรมจำเลยก็ครอบครองที่ดินพิพาทตลอดมารวมเวลากว่า13ปีที่ดินพิพาทจึงไม่ใช่ทรัพย์มรดกของป. ซึ่งศาลชั้นต้นก็ได้กำหนดประเด็นข้อพิพาทที่ดินพิพาทเป็นมรดกหรือไม่ดังนั้นการนำสืบของจำเลยเกี่ยวกับการได้มาซึ่งที่ดินพิพาทเพื่อแสดงให้เห็นว่าที่ดินพิพาทมิใช่ทรัพย์มรดกของป. จึงเป็นการนำสืบตามประเด็นข้อพิพาทในคำฟ้องและคำให้การหาใช่นำสืบนอกคำให้การไม่

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2228/2540 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การได้มาซึ่งที่ดินโดยการยกให้ และการครอบครองปรปักษ์ ทำให้ที่ดินนั้นไม่เป็นทรัพย์มรดก
คำฟ้องโจทก์กล่าวอ้างว่าจำเลยไปให้ถ้อยคำต่อเจ้าพนักงานที่ดินว่า ป. ยกที่ดินพิพาทให้จำเลยมาประมาณ 13 ปี และจำเลยครอบครองต่อเนื่องเรื่อยมาซึ่งไม่เป็นความจริง จำเลยให้การต่อสู้ว่าจำเลยและ ด. ได้ครอบครองเป็นเจ้าของที่ดินพิพาทตลอดมาจนกระทั่ง ด. ถึงแก่กรรมจำเลยก็ครอบครองที่ดินพิพาทตลอดมา รวมเวลากว่า 13 ปี ที่ดินพิพาทจึงไม่ใช่ทรัพย์มรดกของป. ซึ่งศาลชั้นต้นก็ได้กำหนดประเด็นข้อพิพาทที่ดินพิพาทเป็นมรดกหรือไม่ ดังนั้นการนำสืบของจำเลยเกี่ยวกับการได้มาซึ่งที่ดินพิพาทเพื่อแสดงให้เห็นว่าที่ดินพิพาทมิใช่ทรัพย์มรดกของป. จึงเป็นการนำสืบตามประเด็นข้อพิพาทในคำฟ้องและคำให้การ หาใช่นำสืบนอกคำให้การไม่

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2184/2540 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การกำหนดประเด็นข้อพิพาทที่ชอบด้วยวิธีพิจารณาและการชี้ขาดคำคัดค้านประเด็นข้อพิพาท
โจทก์ฟ้องเรียกร้องให้จำเลยชำระหนี้เงินกู้ยืมจำนวนหนึ่งและเรียกร้องให้จำเลยชำระหนี้ตามสัญญากู้เบิกเงินเกินบัญชีอีกจำนวนหนึ่งพร้อมด้วยดอกเบี้ยทั้งสองจำนวน มิฉะนั้นให้บังคับจำนองทรัพย์สินที่นำมาเป็นประกัน จำเลยให้การต่อสู้เกี่ยวกับอำนาจฟ้องโดยอ้างเหตุหลายประการด้วยกัน และยังต่อสู้เกี่ยวกับการคิดดอกเบี้ยด้วยเหตุหลายประการเช่นกันดังนั้น ที่ศาลชั้นต้นกำหนดประเด็นข้อพิพาทไว้ว่า โจทก์มีอำนาจฟ้องหรือไม่ และจำเลยต้องรับผิดดอกเบี้ยหรือไม่เพียงใดโดยให้โจทก์นำสืบก่อน ย่อมครอบคลุมข้อต่อสู้ของจำเลยทั้งหมดแล้วหาจำต้องแยกแยะประเด็นเป็นข้อย่อยดังที่จำเลยยื่นคำแถลงเสนอประเด็นข้อพิพาทแต่อย่างใดอีกไม่ การกำหนดประเด็นข้อพิพาทของศาลชั้นต้นจึงชอบด้วยประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความ มาตรา 183ที่แก้ไขใหม่ ที่ใช้บังคับขณะศาลชั้นต้นชี้สองสถานแล้ว จำเลยยื่นคำร้องคัดค้านตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา 183 วรรคสี่โดยระบุไว้ด้วยว่า เพื่อใช้สิทธิในการอุทธรณ์หรือฎีกาต่อไป การที่ศาลชั้นต้นมีคำสั่งในคำคัดค้านเกี่ยวกับประเด็นข้อพิพาทที่ศาลชั้นต้นกำหนดว่ารวมสำนวนไว้ ย่อมมีความหมายอยู่ในตัวว่า ประเด็นข้อพิพาทที่ศาลชั้นต้นกำหนดไว้ถูกต้องแล้ว ไม่มีเหตุที่จะเปลี่ยนแปลงคำสั่งดังคำคัดค้านของจำเลยกรณีพอถือได้ว่า ศาลชั้นต้นได้ชี้ขาดคำคัดค้านเกี่ยวกับการกำหนดประเด็นข้อพิพาทของจำเลยแล้ว

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2184/2540

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การกำหนดประเด็นข้อพิพาทที่ถูกต้อง ศาลชั้นต้นไม่จำเป็นต้องแยกประเด็นย่อย แม้จำเลยคัดค้าน
โจทก์ฟ้องเรียกร้องให้จำเลยชำระหนี้เงินกู้ยืมจำนวนหนึ่งและเรียกร้องให้จำเลยชำระหนี้ตามสัญญากู้เบิกเงินเกินบัญชีอีกจำนวนหนึ่งพร้อมด้วยดอกเบี้ยทั้งสองจำนวนมิฉะนั้นให้บังคับจำนองทรัพย์สินที่นำมาเป็นประกันจำเลยให้การต่อสู้เกี่ยวกับอำนาจฟ้องโดยอ้างเหตุหลายประการด้วยกันและยังต่อสู้เกี่ยวกับการคิดดอกเบี้ยด้วยเหตุหลายประการเช่นกันดังนั้นที่ศาลชั้นต้นกำหนดประเด็นข้อพิพาทไว้ว่าโจทก์มีอำนาจฟ้องหรือไม่และจำเลยต้องรับผิดดอกเบี้ยหรือไม่เพียงใดโดยให้โจทก์นำสืบก่อนย่อมครอบคลุมข้อต่อสู้ของจำเลยทั้งหมดแล้วหาจำต้องแยกแยะประเด็นเป็นข้อย่อยดังที่จำเลยยื่นคำแถลงเสนอประเด็นข้อพิพาทแต่อย่างใดอีกไม่การกำหนดประเด็นข้อพิพาทของศาลชั้นต้นจึงชอบด้วยประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความมาตรา183ที่แก้ไขใหม่ที่ใช้บังคับขณะศาลชั้นต้นชี้สองสถานแล้ว จำเลยยื่นคำร้องคัดค้านตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา183วรรคสี่โดยระบุไว้ด้วยว่าเพื่อใช้สิทธิในการอุทธรณ์หรือฎีกาต่อไปการที่ศาลชั้นต้นมีคำสั่งในคำคัดค้านเกี่ยวกับประเด็นข้อพิพาทที่ศาลชั้นต้นกำหนดว่ารวมสำนวนไว้ย่อมมีความหมายอยู่ในตัวว่าประเด็นข้อพิพาทที่ศาลชั้นต้นกำหนดไว้ถูกต้องแล้วไม่มีเหตุที่จะเปลี่ยนแปลงคำสั่งดังคำคัดค้านของจำเลยกรณีพอถือได้ว่าศาลชั้นต้นได้ชี้ขาดคำคัดค้านเกี่ยวกับการกำหนดประเด็นข้อพิพาทของจำเลยแล้ว

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2184/2540 เวอร์ชัน 3 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การกำหนดประเด็นข้อพิพาท: ศาลชั้นต้นชอบแล้ว และถือว่าชี้ขาดคำคัดค้านแล้ว
โจทก์ฟ้องเรียกร้องให้จำเลยชำระหนี้เงินกู้ยืมจำนวนหนึ่ง และเรียกร้องให้จำเลยชำระหนี้ตามสัญญากู้เบิกเงินเกินบัญชีอีกจำนวนหนึ่ง พร้อมด้วยดอกเบี้ยทั้งสองจำนวน มิฉะนั้นให้บังคับจำนองทรัพย์สินที่นำมาเป็นประกัน จำเลยให้การต่อสู้เกี่ยวกับอำนาจฟ้องโดยอ้างเหตุหลายประการด้วยกัน และยังต่อสู้เกี่ยวกับการคิดดอกเบี้ยด้วยเหตุหลายประการเช่นกัน ดังนั้น ที่ศาลชั้นต้นกำหนดประเด็นข้อพิพาทไว้ว่า โจทก์มีอำนาจฟ้องหรือไม่ และจำเลยต้องรับผิดดอกเบี้ยหรือไม่เพียงใด โดยให้โจทก์นำสืบก่อน ย่อมครอบคลุมข้อต่อสู้ของจำเลยทั้งหมดแล้วหาจำต้องแยกแยะประเด็นเป็นข้อย่อยดังที่จำเลยยื่นคำแถลงเสนอประเด็นข้อพิพาทแต่อย่างใดอีกไม่ การกำหนดประเด็นข้อพิพาทของศาลชั้นต้นจึงชอบด้วย ป.วิ.พ.มาตรา 183 ที่แก้ไขใหม่ ที่ใช้บังคับขณะศาลชั้นต้นชี้สองสถานแล้ว
จำเลยยื่นคำร้องคัดค้านตาม ป.วิ.พ.มาตรา 183 วรรคสี่โดยระบุไว้ด้วยว่า เพื่อใช้สิทธิในการอุทธรณ์หรือฎีกาต่อไป การที่ศาลชั้นต้นมีคำสั่งในคำคัดค้านเกี่ยวกับประเด็นข้อพิพาทที่ศาลชั้นต้นกำหนดว่ารวมสำนวนไว้ ย่อมมีความหมายอยู่ในตัวว่า ประเด็นข้อพิพาทที่ศาลชั้นต้นกำหนดไว้ถูกต้องแล้ว ไม่มีเหตุที่จะเปลี่ยนแปลงคำสั่งดังคำคัดค้านของจำเลย กรณีพอถือได้ว่า ศาลชั้นต้นได้ชี้ขาดคำคัดค้านเกี่ยวกับการกำหนดประเด็นข้อพิพาทของจำเลยแล้ว

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2005/2540

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การพิสูจน์การยืมวัตถุโบราณและการคิดดอกเบี้ยนับแต่วันฟ้องตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง
การที่ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยว่าจำเลยที่2รับผ้าปูโต๊ะวัตถุโบราณพิพาทของโจทก์ไปจริงโดยเชื่อพยานหลักฐานของโจทก์ที่โจทก์นำสืบว่าจำเลยที่1โดยจำเลยที่2ยืมผ้าปูโต๊ะวัตถุโบราณพิพาทจากโจทก์เพื่อนำไปแสดงยังสำนักงานใหญ่ของจำเลยที่1ในประเทศญี่ปุ่น และจำเลยที่1ได้รับผ้าปูโต๊ะวัตถุโบราณพิพาทไปจากโจทก์แล้วซึ่งตรงกับประเด็นที่ศาลชั้นต้นกำหนดไว้ว่าจำเลยทั้งสองยืมผ้าปูโต๊ะวัตถุโบราณพิพาทไปจากโจทก์จริงหรือไม่ศาลอุทธรณ์จึงมิได้วินิจฉัยนอกฟ้องนอกประเด็น โจทก์ฟ้องเรียกดอกเบี้ยอัตราร้อยละ7.5ต่อปีในต้นเงิน225,000บาทนับแต่วันที่โจทก์ได้ชำระเงินค่าสินค้าให้แก่เจ้าของสินค้าที่สูญหายไปคือตั้งแต่วันที่10มกราคม2535ถึงวันฟ้องเป็นเงิน32,250บาทรวมกับต้นเงินเป็นยอดเงินที่โจทก์เรียกร้องเอาแก่จำเลยทั้งสองถึงวันฟ้องจำนวน257,250บาทและโจทก์ขอให้จำเลยทั้งสองชำระดอกเบี้ยในต้นเงิน225,000บาทอัตราร้อยละ7.5ต่อปีนับตั้งแต่วันฟ้องจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์อีกด้วยเมื่อศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้องโจทก์อุทธรณ์ขอให้จำเลยทั้งสองร่วมกันคืนผ้าปูโต๊ะวัตถุโบราณพิพาทให้แก่โจทก์หากคืนไม่ได้ขอให้จำเลยทั้งสองชดใช้เงิน50,000ฟรังก์ฝรั่งเศสหรือเงินไทย257,250บาทแก่โจทก์แสดงว่าโจทก์อุทธรณ์รวมเอาเงินดอกเบี้ยจำนวน32,250บาทอันเป็นดอกเบี้ยนับตั้งแต่วันที่10มกราคม2535ถึงวันฟ้องเข้ากับต้นเงินจำนวน225,000บาทมาในฟ้องอุทธรณ์ด้วยแล้วดังนั้นแม้ฟ้องอุทธรณ์ของโจทก์จะมิได้ขอให้จำเลยทั้งสองชำระดอกเบี้ยในต้นเงิน225,000บาทอัตราร้อยละ7.5ต่อปีนับแต่วันฟ้องจนกว่าจะชำระเสร็จมาด้วยแต่โดยนัยแห่งประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา142(3)ประกอบด้วยมาตรา246เมื่อศาลอุทธรณ์เห็นสมควรศาลอุทธรณ์ย่อมมีอำนาจพิพากษาให้จำเลยที่1ผู้แพ้คดีชำระดอกเบี้ยอัตราร้อยละ7.5ต่อปีในต้นเงิน225,000บาทนับแต่วันฟ้องจนถึงวันที่จำเลยที่1ได้ชำระเสร็จตามคำพิพากษาให้แก่โจทก์ได้

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2005/2540 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การพิพากษาชดใช้ค่าเสียหายจากความรับผิดในสัญญาและการคิดดอกเบี้ยนับแต่วันฟ้อง
การที่ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยว่า จำเลยที่ 2 รับผ้าปูโต๊ะวัตถุโบราณพิพาทของโจทก์ไปจริงโดยเชื่อพยานหลักฐานของโจทก์ที่โจทก์นำสืบว่าจำเลยที่ 1 โดยจำเลยที่ 2 ยืมผ้าปูโต๊ะวัตถุโบราณพิพาทจากโจทก์เพื่อนำไปแสดงยังสำนักงานใหญ่ของจำเลยที่ 1ในประเทศญี่ปุ่น และจำเลยที่ 1 ได้รับผ้าปูโต๊ะวัตถุโบราณพิพาทไปจากโจทก์แล้ว ซึ่งตรงกับประเด็นที่ศาลชั้นต้นกำหนดไว้ว่าจำเลยทั้งสองยืมผ้าปูโต๊ะวัตถุโบราณพิพาทไปจากโจทก์จริงหรือไม่ ศาลอุทธรณ์จึงมิได้วินิจฉัยนอกฟ้องนอกประเด็น โจทก์ฟ้องเรียกดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี ในต้นเงิน225,000 บาท นับแต่วันที่โจทก์ได้ชำระเงินค่าสินค้าให้แก่เจ้าของสินค้าที่สูญหายไปคือ ตั้งแต่วันที่ 10 มกราคม 2535ถึงวันฟ้องเป็นเงิน 32,250 บาท รวมกับต้นเงินเป็นยอดเงินที่โจทก์เรียกร้องเอาแก่จำเลยทั้งสองถึงวันฟ้องจำนวน257,250 บาท และโจทก์ขอให้จำเลยทั้งสองชำระดอกเบี้ยในต้นเงิน 225,000 บาท อัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี นับตั้งแต่วันฟ้องจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์อีกด้วย เมื่อศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้อง โจทก์อุทธรณ์ขอให้จำเลยทั้งสองร่วมกันคืนผ้าปูโต๊ะวัตถุโบราณพิพาทให้แก่โจทก์ หากคืนไม่ได้ขอให้จำเลยทั้งสองชดใช้เงิน 50,000 ฟรังก์ฝรั่งเศส หรือเงินไทย257,250 บาท แก่โจทก์ แสดงว่าโจทก์อุทธรณ์รวมเอาเงินดอกเบี้ยจำนวน 32,250 บาท อันเป็นดอกเบี้ยนับตั้งแต่วันที่10 มกราคม 2535 ถึงวันฟ้องเข้ากับต้นเงินจำนวน 225,000 บาทมาในฟ้องอุทธรณ์ด้วยแล้ว ดังนั้น แม้ฟ้องอุทธรณ์ของโจทก์จะมิได้ขอให้จำเลยทั้งสองชำระดอกเบี้ยในต้นเงิน 225,000 บาทอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี นับแต่วันฟ้องจนกว่าจะชำระเสร็จมาด้วย แต่โดยนัยแห่งประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา 142(3) ประกอบด้วยมาตรา 246 เมื่อศาลอุทธรณ์เห็นสมควรศาลอุทธรณ์ย่อมมีอำนาจพิพากษาให้จำเลยที่ 1 ผู้แพ้คดีชำระดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี ในต้นเงิน 225,000 บาทนับแต่วันฟ้องจนถึงวันที่จำเลยที่ 1 ได้ชำระเสร็จตามคำพิพากษาให้แก่โจทก์ได้

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2005/2540 เวอร์ชัน 3 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ขอบเขตการวินิจฉัยศาลอุทธรณ์และการบังคับดอกเบี้ยตามฟ้อง แม้ไม่ได้ขอในอุทธรณ์
การที่ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยว่า จำเลยที่ 2 รับผ้าปูโต๊ะวัตถุโบราณพิพาทของโจทก์ไปจริงโดยเชื่อพยานหลักฐานของโจทก์ที่โจทก์นำสืบว่าจำเลยที่ 1โดยจำเลยที่ 2 ยืมผ้าปูโต๊ะวัตถุโบราณพิพาทจากโจทก์เพื่อนำไปแสดงยังสำนักงานใหญ่ของจำเลยที่ 1 ในประเทศญี่ปุ่น และจำเลยที่ 1 ได้รับผ้าปูโต๊ะวัตถุโบราณพิพาทไปจากโจทก์แล้ว ซึ่งตรงกับประเด็นที่ศาลชั้นต้นกำหนดไว้ว่าจำเลยทั้งสองยืมผ้าปูโต๊ะวัตถุโบราณไปจากโจทก์จริงหรือไม่ ศาลอุทธรณ์จึงมิได้วินิจฉัยนอกฟ้องนอกประเด็น
โจทก์ฟ้องเรียกดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี ในต้นเงิน225,000 บาท นับแต่วันที่โจทก์ได้ชำระเงินค่าสินค้าให้แก่เจ้าของสินค้าที่สูญหายไปคือ ตั้งแต่วันที่ 10 มกราคม 2535 ถึงวันฟ้องเป็นเงิน 32,250 บาท รวมกับต้นเงินเป็นยอดเงินที่โจทก์เรียกร้องเอาแก่จำเลยทั้งสองถึงวันฟ้องจำนวน 257,250 บาทและโจทก์ขอให้จำเลยทั้งสองชำระดอกเบี้ยในต้นเงิน 225,000 บาท อัตราร้อยละ7.5 ต่อปี นับตั้งแต่วันฟ้องจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์อีกด้วย เมื่อศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้อง โจทก์อุทธรณ์ขอให้จำเลยทั้งสองร่วมกันคืนผ้าปูโต๊ะวัตถุโบราณพิพาทให้แก่โจทก์หากคืนไม่ได้ขอให้จำเลยทั้งสองชดใช้เงิน 50,000 ฟรังก์ฝรั่งเศส หรือเงินไทย257,250 บาท แก่โจทก์ แสดงว่าโจทก์อุทธรณ์รวมเอาเงินดอกเบี้ยจำนวน 32,250บาท อันเป็นดอกเบี้ยนับตั้งแต่วันที่ 10 มกราคม 2535 ถึงวันฟ้องเข้ากับต้นเงินจำนวน225,000 บาท มาในฟ้องอุทธรณ์ด้วยแล้ว ดังนั้น แม้ฟ้องอุทธรณ์ของโจทก์จะมิได้ขอให้จำเลยทั้งสองชำระดอกเบี้ยในต้นเงิน 225,000 บาท อัตราร้อยละ 7.5 ต่อปีนับแต่วันฟ้องจนกว่าจะชำระเสร็จมาด้วย แต่โดยนัยแห่ง ป.วิ.พ.มาตรา 142 (3)ประกอบด้วยมาตรา 246 เมื่อศาลอุทธรณ์เห็นสมควร ศาลอุทธรณ์ย่อมมีอำนาจพิพากษาให้จำเลยที่ 1 ผู้แพ้คดีชำระดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี ในต้นเงิน 225,000 บาทนับแต่วันฟ้องจนถึงวันที่จำเลยที่ 1 ได้ชำระเสร็จตามคำพิพากษาให้แก่โจทก์ได้

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1910/2540 เวอร์ชัน 3 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การเสนอราคาที่ไม่ตรงตามเงื่อนไขประกวดราคา ไม่ถือเป็นการยื่นเสนอราคาที่ถูกต้อง สัญญาจึงไม่เกิดขึ้น
เอกสารการยื่นเสนอราคากำหนดให้ยื่นซองเสนอราคาภายในเวลากำหนด แต่จำเลยที่ 1 มิได้ยื่นภายในเวลาดังกล่าว ทั้งมิได้ปฏิบัติตามเงื่อนไขการประกวดราคาที่กำหนดไว้ ไม่ได้ยื่นซองเสนอราคาที่กรอกข้อความในแบบฟอร์มเสนอราคาประมูลของโจทก์ และไม่มีหลักฐานแสดงว่าจำเลยที่ 1 ได้ลงทะเบียนรับแบบและเอกสารไปจากโจทก์ การเสนอราคาของจำเลยที่ 1 มิได้เสนอตามเอกสารการยื่นเสนอราคา หากแต่เป็นคำเสนอขึ้นใหม่ มิใช่การยื่นเสนอราคาในการประกวดราคา จึงนำเงื่อนไขการประกวดราคาดังกล่าวมาบังคับไม่ได้
หนังสือเสนอราคาของจำเลยที่ 1 ได้เสนอเพื่อประสงค์จะเข้าทำสัญญารับเหมาก่อสร้างติดตั้งระบบปรับอากาศและระบายอากาศกับโจทก์ การที่โจทก์แจ้งให้จำเลยไปทำสัญญา จึงเป็นคำสนองที่โจทก์ประสงค์จะทำสัญญากับจำเลย แต่คำสนองของโจทก์กำหนดเงื่อนไขให้จำเลยต้องนำหนังสือค้ำประกันของธนาคารวงเงินค้ำประกันร้อยละ 10 ของมูลค่าตามสัญญาจ้างไปวางประกันด้วย ซึ่งเป็นเงื่อนไขในเอกสารการยื่นราคา คำสนองของโจทก์จึงเป็นคำสนองอันมีข้อความเพิ่มเติม มีข้อจำกัดหรือมีข้อแก้ไข ถือได้ว่าเป็นคำบอกปัดไม่รับและเป็นคำเสนอใหม่ของโจทก์ เมื่อจำเลยไม่ยอมรับเงื่อนไขดังกล่าวและไม่ยอมทำสัญญากับโจทก์ คำเสนอใหม่ของโจทก์ดังกล่าวจึงสิ้นผล สัญญาระหว่างโจทก์และจำเลยจึงยังไม่เกิดขึ้น โจทก์จึงริบหลักประกันการประกวดราคา โดยเรียกให้จำเลยที่ 2 ชำระเงินตามหนังสือสัญญาค้ำประกันไม่ได้
แม้ศาลชั้นต้นจะตั้งประเด็นข้อพิพาทว่า จำเลยกระทำผิดเงื่อนไขการประกวดราคารับเหมาก่อสร้างหรือติดตั้งระบบปรับอากาศและระบายอากาศตามที่ได้กระทำไว้ต่อโจทก์ดังฟ้องหรือไม่ก็ตาม แต่ศาลก็มีอำนาจที่จะวินิจฉัยก่อนว่า จำเลยได้ยื่นเสนอประกวดราคารับเหมาก่อสร้างหรือติดตั้งระบบปรับอากาศและระบายอากาศต่อโจทก์หรือไม่ เมื่อฟังว่าจำเลยไม่ได้ยื่นเสนอประกวดราคาก่อสร้างหรือติดตั้งระบบงานดังกล่าวต่อโจทก์ หากแต่เป็นคำเสนอใหม่ต่างหาก จึงนำเงื่อนไขการประกวดราคามาใช้กับจำเลยไม่ได้ ฉะนั้น จึงไม่จำเป็นต้องวินิจฉัยว่า จำเลยทำผิดเงื่อนไขการประกวดราคาระบบปรับอากาศและระบายอากาศที่ทำไว้ต่อโจทก์หรือไม่ การวินิจฉัยดังกล่าวถือได้ว่ายังอยู่ในประเด็นแห่งคดีนั่นเอง
of 253