พบผลลัพธ์ทั้งหมด 2,529 รายการ
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 5771/2538 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การท้าคดีสืบพยานและผลของการแถลงไม่ครบถ้วน ศาลต้องดำเนินการพิจารณาต่อไป
คู่ความตกลงท้ากันว่าโจทก์จำเลยไม่ติดใจสืบพยานแต่ขอให้พระภิกษุส.มาแถลงต่อศาลว่าโจทก์หรือจำเลยเป็นผู้ซื้อที่ดินพิพาทและเป็นเจ้าของที่ดินพิพาทแน่หากพระภิกษุส.แถลงต่อศาลเช่นใดคู่ความก็ยอมรับและไม่ติดใจคัดค้านแต่พระภิกษุส.แถลงต่อศาลเพียงว่าพระภิกษุส. เป็นผู้ทำสัญญาซื้อขายที่ดินพิพาทระหว่างพี่ชายโจทก์กับจำเลยแต่เงินที่ซื้อเป็นของจำเลยหรือไม่และจำเลยซื้อแทนใครหรือไม่พระภิกษุส.ไม่ทราบคำแถลงพระภิกษุส. ไม่ครบถ้วนตามคำท้าคดีจึงต้องสืบพยานโจทก์จำเลยกันต่อไป
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 5771/2538
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การท้าคดีสืบพยานและผลของการแถลงไม่ครบถ้วน ศาลต้องสืบพยานเพื่อพิพากษาตามรูปคดี
คู่ความตกลงท้ากันว่าโจทก์จำเลยไม่ติดใจสืบพยานแต่ขอให้พระภิกษุส. มาแถลงต่อศาลว่าโจทก์หรือจำเลยเป็นผู้ซื้อที่ดินพิพาทและเป็นเจ้าของที่ดินพิพาทแน่หากพระภิกษุส. แถลงต่อศาลเช่นใดคู่ความก็ยอมรับและไม่ติดใจคัดค้านแต่พระภิกษุส.แถลงต่อศาลเพียงว่าพระภิกษุส. เป็นผู้ทำสัญญาซื้อขายที่ดินพิพาทระหว่างพี่ชายกับโจทก์กับจำเลยแต่เงินที่ซื้อเป็นของจำเลยหรือไม่และจำเลยซื้อแทนใครหรือไม่พระภิกษุส. ไม่ทราบคำแถลงพระภิกษุส. ไม่ครบถ้วนตามคำท้าคดีจึงต้องสืบพยานโจทก์จำเลยกันต่อไป
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 5559/2538
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การรุกล้ำที่ดิน: ศาลฎีกาวินิจฉัยประเด็นนอกฟ้องและบังคับรื้อถอนได้ แม้จำเลยให้การว่าซื้อโดยสุจริต
โจทก์ฟ้องขอให้บังคับจำเลยทั้งสามรื้อถอนสิ่งปลูกสร้างเสารั้วพร้อมลวดหนามซึ่งรุกล้ำที่ดินโจทก์ออกไปจากที่ดินโจทก์จำเลยที่3ให้การสู้คดีไว้แต่เพียงว่าจำเลยที่3ซื้อที่ดินพร้อมสิ่งปลูกสร้างโดยสุจริตไม่ได้ให้การว่าจำเลยที่3ปลูกสร้างทาวน์เฮาสส์รุกล้ำที่ดินโจทก์โดยสุจริตการที่ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยข้อเท็จจริงว่าการก่อสร้างรุกล้ำของจำเลยเป็นการก่อสร้างโดยสุจริตและพิพากษายกฟ้องโจทก์สำหรับจำเลยที่3แต่ไม่ตัดสิทธิคู่ความที่จะไปว่ากล่าวกันตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา1312นั้นจึงเป็นการวินิจฉัยนอกประเด็นไม่ชอบด้วยกระบวนพิจารณา คำขอของโจทก์ที่ว่าให้จำเลยที่3รื้อถอนส่วนที่รุกล้ำออกไปจากแนวเขตที่ดินโจทก์หากจำเลยที่3ไม่ยอมรื้อถอนให้โจทก์เป็นผู้รื้อถอนโดยจำเลยที่3เป็นผู้ออกค่าใช้จ่ายนั้นหากจำเลยที่3ไม่ปฏิบัติตามคำบังคับของศาลโจทก์อาจยื่นคำร้องต่อศาลขอให้ตั้งเจ้าพนักงานบังคับคดีจัดการให้ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา296ทวิได้อยู่แล้วโจทก์จะขอรื้อถอนกำแพงทาวน์เฮาส์ส่วนที่รุกล้ำของจำเลยที่3เองโดยให้ศาลบังคับให้จำเลยที่3เป็นผู้ออกค่าใช้จ่ายหาได้ไม่ปัญหาดังกล่าวเป็นปัญหาข้อกฎหมายอันเกี่ยวด้วยความสงบเรียบร้อยของประชาชนศาลฎีกายกขึ้นวินิจฉัยได้เองตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา142(5)
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 5559/2538 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การวินิจฉัยศาลอุทธรณ์นอกประเด็นเรื่องการรุกล้ำที่ดิน และสิทธิในการรื้อถอนสิ่งปลูกสร้าง
โจทก์ฟ้องขอให้บังคับจำเลยทั้งสามรื้อถอนสิ่งปลูกสร้างเสารั้วพร้อมลวดหนามซึ่งรุกล้ำที่ดินโจทก์ออกไปจากที่ดินโจทก์ จำเลยที่ 3 ให้การสู้คดีไว้แต่เพียงว่า จำเลยที่ 3 ซื้อที่ดินพร้อมสิ่งปลูกสร้างโดยสุจริต ไม่ได้ให้การว่าจำเลยที่ 3 ปลูกสร้างทาวน์เฮาส์รุกล้ำที่ดินโจทก์โดยสุจริต การที่ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยข้อเท็จจริงว่า การก่อสร้างรุกล้ำของจำเลยเป็นการก่อสร้างโดยสุจริตและพิพากษายกฟ้องโจทก์สำหรับจำเลยที่ 3 แต่ไม่ตัดสิทธิคู่ความที่จะไปว่ากล่าวกันตาม ป.พ.พ.มาตรา 1312 นั้น จึงเป็นการวินิจฉัยนอกประเด็น ไม่ชอบด้วยกระบวนพิจารณา
คำขอของโจทก์ที่ว่าให้จำเลยที่ 3 รื้อถอนส่วนที่รุกล้ำออกไปจากแนวเขตที่ดินโจทก์ หากจำเลยที่ 3 ไม่ยอมรื้อถอนให้โจทก์เป็นผู้รื้อถอนโดยจำเลยที่ 3 เป็นผู้ออกค่าใช้จ่ายนั้น หากจำเลยที่ 3 ไม่ปฏิบัติตามคำบังคับของศาลโจทก์อาจยื่นคำร้องต่อศาลขอให้ตั้งเจ้าพนักงานบังคับคดีจัดการให้ตาม ป.วิ.พ.มาตรา 296 ทวิ ได้อยู่แล้ว โจทก์จะขอรื้อถอนกำแพงทาวน์เฮาส์ส่วนที่รุกล้ำของจำเลยที่ 3 เองโดยให้ศาลบังคับให้จำเลยที่ 3 เป็นผู้ออกค่าใช้จ่ายหาได้ไม่ปัญหาดังกล่าวเป็นปัญหาข้อกฎหมายอันเกี่ยวด้วยความสงบเรียบร้อยของประชาชนศาลฎีกายกขึ้นวินิจฉัยได้เอง ตาม ป.วิ.พ. มาตรา 142 (5)
คำขอของโจทก์ที่ว่าให้จำเลยที่ 3 รื้อถอนส่วนที่รุกล้ำออกไปจากแนวเขตที่ดินโจทก์ หากจำเลยที่ 3 ไม่ยอมรื้อถอนให้โจทก์เป็นผู้รื้อถอนโดยจำเลยที่ 3 เป็นผู้ออกค่าใช้จ่ายนั้น หากจำเลยที่ 3 ไม่ปฏิบัติตามคำบังคับของศาลโจทก์อาจยื่นคำร้องต่อศาลขอให้ตั้งเจ้าพนักงานบังคับคดีจัดการให้ตาม ป.วิ.พ.มาตรา 296 ทวิ ได้อยู่แล้ว โจทก์จะขอรื้อถอนกำแพงทาวน์เฮาส์ส่วนที่รุกล้ำของจำเลยที่ 3 เองโดยให้ศาลบังคับให้จำเลยที่ 3 เป็นผู้ออกค่าใช้จ่ายหาได้ไม่ปัญหาดังกล่าวเป็นปัญหาข้อกฎหมายอันเกี่ยวด้วยความสงบเรียบร้อยของประชาชนศาลฎีกายกขึ้นวินิจฉัยได้เอง ตาม ป.วิ.พ. มาตรา 142 (5)
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 5530/2538 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
คำให้การขัดแย้งและประเด็นข้อพิพาทไม่ชัดเจน ทำให้ไม่เกิดประเด็นเรื่องการครอบครองปรปักษ์
ตามรายงานกระบวนพิจารณาในวันชี้สองสถาน ศาลชั้นต้นได้กำหนดประเด็นข้อพิพาทเพียงข้อเดียวว่า จำเลยเช่าที่ดินพิพาทตามฟ้องโจทก์หรือไม่ส่วนคำให้การและฟ้องแย้งของจำเลยขัดกัน โดยจำเลยรับว่าโจทก์เป็นเจ้าของที่ดินพิพาทจริง แล้วกลับให้การอีกว่า จำเลยได้ที่ดินพิพาทมาจาก พ.แล้วเข้าครอบครองอย่างเป็นเจ้าของโดยความสงบ โดยเปิดเผยเกิน 10 ปี จากคำให้การและฟ้องแย้งดังกล่าวจึงไม่ทราบได้แน่ว่า ที่ดินพิพาทเป็นของโจทก์หรือของ พ.หรือของจำเลยจึงเป็นคำให้การที่ไม่ชอบด้วยกฎหมายไม่เกิดประเด็น ดังนั้นที่ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยว่าศาลชั้นต้นกำหนดประเด็นข้อพิพาทเพียงข้อเดียวว่าจำเลยเช่าที่ดินพิพาทตามฟ้องโจทก์หรือไม่อันเป็นประเด็นหลัก จึงครอบคลุมถึงประเด็นที่ว่าสัญญาเช่าปลอมหรือไม่และจำเลยได้กรรมสิทธิ์ที่ดินพิพาทบางส่วนโดยการครอบครองปรปักษ์หรือไม่ด้วยแล้วจึงไม่ตรงกับรายงานการชี้สองสถานของศาลชั้นต้นว่า คำให้การและฟ้องแย้งของจำเลยขัดกัน จึงไม่มีประเด็นว่าจำเลยได้กรรมสิทธิ์ที่ดินพิพาทบางส่วนโดยการครอบครองปรปักษ์ อย่างไรก็ดี ศาลฎีกาเห็นว่า คำฟ้องของโจทก์บรรยายไว้ชัดแจ้งว่า โจทก์เป็นเจ้าของที่ดินพิพาทโดยได้รับมรดกมาจาก ส.และ พ.ตั้งแต่วันที่ 28 มีนาคม 2533 ส่วนคำให้การและฟ้องแย้งของจำเลยในตอนแรกจำเลยยอมรับว่าโจทก์เป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์ที่ดินพิพาทจริง ดังนั้นคำให้การและฟ้องแย้งของจำเลยในตอนต่อมาว่า จำเลยและบริวารปลูกบ้านเรือนอยู่ในบางส่วนของที่ดินพิพาทโดยอาศัยสิทธิของจำเลยเองโดยได้รับการยกให้จาก พ.และจำเลยได้ครอบครองในฐานะเจ้าของตลอดมาโดยความสงบและโดยเปิดเผยเกินกว่า 10 ปีแล้วขัดกับคำให้การและฟ้องแย้งของจำเลยในตอนแรกที่ยอมรับว่าโจทก์เป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์ที่ดินพิพาทจริงตามฟ้อง ซึ่งก็คือยอมรับว่าโจทก์เป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์ที่ดินพิพาทโดยชอบมาตั้งแต่วันที่ 28 มีนาคม 2533 นั่นเอง จึงเป็นคำให้การและฟ้องแย้งที่ขัดกันเองและไม่แสดงโดยชัดแจ้งว่า จำเลยยอมรับหรือปฏิเสธข้ออ้างของโจทก์และไม่แสดงโดยแจ้งชัดซึ่งสภาพแห่งข้อหาและข้ออ้างที่อาศัยเป็นหลักแห่งข้อหาโดยชอบด้วย ป.วิ.พ. มาตรา 177 วรรคสอง และมาตรา 172 วรรคสองจึงไม่เกิดเป็นประเด็นว่า จำเลยได้กรรมสิทธิ์ที่ดินพิพาทบางส่วนโดยการครอบครองปรปักษ์หรือไม่ ส่วนประเด็นที่ว่าสัญญาเช่าเป็นเอกสารปลอมหรือไม่ คงรวมอยู่ในประเด็นที่ศาลชั้นต้นกำหนดไว้ว่าจำเลยเช่าที่ดินพิพาทตามฟ้องโจทก์หรือไม่แล้ว
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 5530/2538
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
คำให้การขัดแย้งและประเด็นการครอบครองปรปักษ์: ศาลฎีกายืนคำพิพากษาเดิม
ตามรายงานกระบวนพิจารณาในวันชี้สองสถานศาลชั้นต้นได้กำหนดประเด็นข้อพิพาทเพียงข้อเดียวว่าจำเลยเช่าที่ดินพิพาทตามฟ้องโจทก์หรือไม่ส่วนคำให้การและฟ้องแย้งของจำเลยขัดกันโดยจำเลยรับว่าโจทก์เป็นเจ้าของที่ดินพิพาทจริงแล้วกลับให้การอีกว่าจำเลยได้ที่ดินพิพาทมาจากพ. แล้วเข้าครอบครองอย่างเป็นเจ้าของโดยความสงบโดยเปิดเผยเกิน10ปีจากคำให้การและฟ้องแย้งดังกล่าวจึงไม่ทราบได้แน่ว่าที่ดินพิพาทเป็นของโจทก์หรือของพ. หรือของจำเลยจึงเป็นคำให้การที่ไม่ชอบด้วยกฎหมายไม่เกิดประเด็นดังนั้นที่ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยว่าศาลชั้นต้นกำหนดประเด็นข้อพิพาทเพียงข้อเดียวว่าจำเลยเช่าที่ดินพิพาทตามฟ้องโจทก์หรือไม่อันเป็นประเด็นหลักจึงครอบคลุมถึงประเด็นที่ว่าสัญญาเช่าปลอมหรือไม่และจำเลยได้กรรมสิทธิ์ที่ดินพิพาทบางส่วนโดยการครอบครองปรปักษ์หรือไม่ด้วยแล้วจึงไม่ตรงกับรายงานการชี้สองสถานของศาลชั้นต้นว่าคำให้การและฟ้องแย้งของจำเลยขัดกันจึงไม่มีประเด็นว่าจำเลยได้กรรมสิทธิ์ที่ดินพิพาทบางส่วนโดยการครอบครองปรปักษ์อย่างไรก็ดีศาลฎีกาเห็นว่าคำฟ้องของโจทก์บรรยายไว้ชัดแจ้งว่าโจทก์เป็นเจ้าของที่ดินพิพาทโดยได้รับมรดกมาจากส. และพ.ตั้งแต่วันที่28มีนาคม2533ส่วนคำให้การและฟ้องแย้งของจำเลยในตอนแรกจำเลยยอมรับว่าโจทก์เป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์ที่ดินพิพาทจริงดังนั้นคำให้การและฟ้องแย้งของจำเลยในตอนต่อมาว่าจำเลยและบริวารปลูกบ้านเรือนอยู่ในบางส่วนของที่ดินพิพาทโดยอาศัยสิทธิของจำเลยเองโดยได้รับการยกให้จากพ.และจำเลยได้ครอบครองในฐานะเจ้าของตลอดมาโดยความสงบและโดยเปิดเผยเกินกว่า10ปีแล้วขัดกับคำให้การและฟ้องแย้งของจำเลยในตอนแรกที่ยอมรับว่าโจทก์เป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์ที่ดินพิพาทจริงดังนั้นคำให้การและฟ้องแย้งของจำเลยในตอนต่อมาว่าจำเลยและบริวารปลูกบ้านเรือนอยู่ในบางส่วนของที่ดินพิพาทโดยอาศัยสิทธิของจำเลยเองโดยได้รับการยกให้จากพ. และจำเลยได้ครอบครองในฐานะเจ้าของตลอดมาโดยความสงบและโดยเปิดเผยเกินกว่า10ปีแล้วขัดกับคำให้การและฟ้องแย้งของจำเลยในตอนแรกที่ยอมรับว่าโจทก์เป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์ที่ดินพิพาทจริงตามฟ้องซึ่งก็คือยอมรับว่าโจทก์เป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์ที่ดินพิพาทโดยชอบมาตั้งแต่วันที่28มีนาคม2533นั่นเองจึงเป็นคำให้การและฟ้องแย้งที่ขัดกันเองและไม่แสดงโดยชัดแจ้งว่าจำเลยยอมรับหรือปฏิเสธข้ออ้างของโจทก์และไม่แสดงโดยแจ้งชัดซึ่งสภาพแห่งข้อหาและข้ออ้างที่อาศัยเป็นหลักแห่งข้อหาโดยชอบด้วยประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา177วรรคสองและมาตรา172วรรคสองจึงไม่เกิดเป็นประเด็นว่าจำเลยได้กรรมสิทธิ์ที่ดินพิพาทบางส่วนโดยการครอบครองปรปักษ์หรือไม่ส่วนประเด็นที่ว่าสัญญาเช่าเป็นเอกสารปลอมหรือไม่คงรวมอยู่ในประเด็นที่ศาลชั้นต้นกำหนดไว้ว่าจำเลยเช่าที่ดินพิพาทตามฟ้องโจทก์หรือไม่แล้ว
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 5397/2538 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การไม่อนุญาตยื่นบัญชีระบุพยาน เนื่องจากเหตุผลไม่สมควรและนอกประเด็นข้อพิพาท ศาลชั้นต้นชอบแล้ว
การที่ทนายจำเลยอ้างว่า จำเลยมิได้ยื่นบัญชีระบุพยานตามกำหนดเวลาตามกฎหมายนั้น เพราะทนายจำเลยหลงลืม นับว่าไม่มีเหตุผลอันสมควรที่จะอนุญาตให้จำเลยยื่นบัญชีระบุพยานได้ตามขอ และคดีนี้ จำเลยให้การต่อสู้โดยให้เหตุผลประการหนึ่งว่า ฮ.ไปดำเนินการจดทะเบียนการให้ที่ดินพิพาทไม่ตรงตามที่ ช.บอกไว้ แต่ตามคำร้องขออนุญาตยื่นบัญชีระบุพยานของจำเลยจำเลยอ้างว่า เพื่อจะนำพยานเข้าสืบในประเด็นข้อสำคัญว่า ช.มอบอำนาจให้ ฮ.ไปโอนที่ดินแทนหรือไม่ ซึ่งเป็นเรื่องนอกประเด็นที่จำเลยให้การไว้ กรณีจึงไม่มีเหตุผลเพื่อประโยชน์แห่งความยุติธรรมและจำเป็นที่ศาลจะอนุญาตให้จำเลยยื่นบัญชีระบุพยานตามคำร้องของจำเลยได้ การที่ศาลชั้นต้นมีคำสั่งไม่อนุญาตให้จำเลยยื่นบัญชีระบุพยานจึงไม่เป็นการขัดต่อกฎหมาย หรือความสงบเรียบร้อยของประชาชนแต่ประการใด และเมื่อจำเลยมิได้ยื่นบัญชีระบุพยานตามกฎหมายแล้ว จำเลยก็ไม่มีสิทธิจะนำพยานเข้าสืบ การที่ศาลชั้นต้นสั่งงดสืบพยานจำเลยจึงชอบแล้ว
ตามคำฟ้องอุทธรณ์และคำขอท้ายอุทธรณ์ของจำเลยนั้นจำเลยมิได้ขอให้ศาลอุทธรณ์พิพากษาให้จำเลยชนะคดี เพียงแต่ขอให้จำเลยนำพยานหลักฐานเข้าสืบเท่านั้น แม้จำเลยจะใช้ถ้อยคำในคำขอว่า พิพากษากลับคำพิพากษาศาลชั้นต้น ก็เป็นการใช้คำที่ไม่ถูกต้องเท่านั้น ไม่ทำให้อุทธรณ์ของจำเลยเป็นคดีมีทุนทรัพย์
ตามคำฟ้องอุทธรณ์และคำขอท้ายอุทธรณ์ของจำเลยนั้นจำเลยมิได้ขอให้ศาลอุทธรณ์พิพากษาให้จำเลยชนะคดี เพียงแต่ขอให้จำเลยนำพยานหลักฐานเข้าสืบเท่านั้น แม้จำเลยจะใช้ถ้อยคำในคำขอว่า พิพากษากลับคำพิพากษาศาลชั้นต้น ก็เป็นการใช้คำที่ไม่ถูกต้องเท่านั้น ไม่ทำให้อุทธรณ์ของจำเลยเป็นคดีมีทุนทรัพย์
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 5397/2538
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การไม่อนุญาตให้ยื่นบัญชีระบุพยานเนื่องจากทนายจำเลยหลงลืม และการงดสืบพยานชอบด้วยกฎหมาย
การที่ทนายจำเลยอ้างว่าจำเลยมิได้ยื่นบัญชีระบุพยานตามกำหนดเวลาตามกฎหมายนั้นเพราะทนายจำเลยหลงลืมนับว่าไม่มีเหตุผลอันสมควรที่จะอนุญาตให้จำเลยยื่นบัญชีระบุพยานได้ตามขอและคดีนี้จำเลยให้การต่อสู้โดยให้เหตุผลประการหนึ่งว่าฮ.ไปดำเนินการจดทะเบียนการให้ที่ดินพิพาทไม่ตรงตามที่ช.บอกไว้แต่ตามคำร้องขออนุญาตยื่นบัญชีระบุพยานของจำเลยจำเลยอ้างว่าเพื่อจะนำพยานเข้าสืบในประเด็นข้อสำคัญว่าช. มอบอำนาจให้ฮ. ไปโอนที่ดินแทนหรือไม่ซึ่งเป็นเรื่องนอกประเด็นที่จำเลยให้การไว้กรณีจึงไม่มีเหตุผลเพื่อประโยชน์แห่งความยุติธรรมและจำเป็นที่ศาลจะอนุญาตให้จำเลยยื่นบัญชีระบุพยานตามคำร้องของจำเลยได้การที่ศาลชั้นต้นมีคำสั่งไม่อนุญาตให้จำเลยยื่นบัญชีระบุพยานจึงไม่เป็นการขัดต่อกฎหมายหรือความสงบเรียบร้อยของประชาชนแต่ประการใดและเมื่อจำเลยมิได้ยื่นบัญชีระบุพยานตามกฎหมายแล้วจำเลยก็ไม่มีสิทธิจะนำพยานเข้าสืบการที่ศาลชั้นต้นสั่งงดสืบพยานจำเลยจึงชอบแล้ว ตามคำฟ้องอุทธรณ์และคำขอท้ายอุทธรณ์ของจำเลยนั้นจำเลยมิได้ขอให้ศาลอุทธรณ์พิพากษาให้จำเลยชนะคดีเพียงแต่ขอให้จำเลยนำพยานหลักฐานเข้าสืบเท่านั้นแม้จำเลยจะใช้ถ้อยคำในคำขอว่าพิพากษากลับคำพิพากษาศาลชั้นต้นก็เป็นการใช้คำที่ไม่ถูกต้องเท่านั้นไม่ทำให้อุทธรณ์ของจำเลยเป็นคดีมีทุนทรัพย์
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 5385/2538 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ข้อจำกัดการอุทธรณ์และฎีกาในประเด็นที่ไม่ได้ยกขึ้นในศาลชั้นต้นและประเด็นดอกเบี้ยที่ไม่ชัดเจน
หนี้ตามสัญญากู้เงินระบุวันครบกำหนดสัญญาไว้ ถือได้ว่าเป็นหนี้ที่ได้กำหนดเวลาชำระหนี้ตามวันแห่งปฏิทิน จำเลยทั้งสามจะอ้างว่ามีข้อตกลงระหว่างโจทก์กับจำเลยที่ 1 ให้โจทก์เป็นผู้รับเงินค่าซื้อตึกแถวจากผู้ซื้อตึกแถวหักชำระหนี้ โดยจำเลยที่ 1 ไม่ต้องชำระดอกเบี้ยเป็นงวดและไม่มีกำหนดเวลาชำระต้นเงินคืนและนำพยานบุคคลมาสืบตามข้ออ้างดังกล่าวเพื่อที่จะให้ศาลรับฟังว่า หนี้ยังไม่ถึงกำหนดชำระ จำเลยทั้งสามไม่ได้เป็นฝ่ายผิดสัญญาหาได้ไม่ เพราะเป็นการสืบพยานบุคคลเพื่อเพิ่มเติมตัดทอนหรือเปลี่ยนแปลงแก้ไขข้อความในเอกสารต้องห้ามตาม ป.วิ.พ. มาตรา 94 (ข)
ปัญหาที่ว่า ม. ทนายความได้รับมอบอำนาจจากโจทก์ให้มีหนังสือทวงถามและบอกกล่าวบังคับจำนองแทนโจทก์ แต่โจทก์ไม่มีหนังสือมอบอำนาจที่ให้ ม. มีหนังสือทวงถามให้ชำระหนี้และบอกกล่าวบังคับจำนองแทนโจทก์จึงไม่ชอบด้วย ป.พ.พ. มาตรา 728 เป็นปัญหาที่จำเลยมิได้ยกต่อสู้ไว้ในคำให้การ และมิใช่ปัญหาเกี่ยวด้วยความสงบเรียบร้อยของประชาชน จึงเป็นปัญหาที่มิได้ว่ากันมาแล้วโดยชอบในศาลชั้นต้นต้องห้ามมิให้อุทธรณ์ตาม ป.วิ.พ. มาตรา 225 วรรคแรก
โจทก์บรรยายฟ้องว่า โจทก์เป็นบริษัทเงินทุนและเป็นสถาบันการเงิน ตาม พ.ร.บ. ดอกเบี้ยเงินให้กู้ของสถาบันการเงิน พ.ศ.2523 อันจะมีสิทธิเรียกดอกเบี้ยจากผู้กู้ยืมได้เป็นพิเศษ โดยมีอัตราสูงกว่าที่กำหนดไว้ตาม ป.พ.พ.มาตรา 654 ร้อยละ 15 ต่อปี จำเลยทั้งสามให้การในส่วนที่เกี่ยวกับดอกเบี้ยแต่เพียงว่า ดอกเบี้ยที่โจทก์ฟ้องร้องสูงกว่ากฎหมายกำหนดไว้ ซึ่งจำเลยที่ 1 เห็นว่าไม่ควรเกินร้อยละ 15 ต่อปี คำให้การของจำเลยทั้งสามดังกล่าวไม่ได้แสดงโดยชัดแจ้งว่า ดอกเบี้ยที่โจทก์เรียกร้องสูงกว่ากฎหมายอะไร และเพราะเหตุใดจึงไม่ควรเกินร้อยละ 15 ต่อปี เป็นคำให้การไม่ชัดแจ้งตาม ป.วิ.พ. มาตรา 177วรรคสอง จึงไม่มีประเด็นว่าโจทก์คิดดอกเบี้ยชอบด้วยกฎหมายหรือไม่ แม้ศาลชั้นต้นจะกำหนดประเด็นข้อนี้ไว้ และศาลอุทธรณ์รับวินิจฉัยให้ก็เป็นการไม่ชอบ ถือได้ว่าเป็นข้อที่มิได้ยกขึ้นว่ากันมาแล้วในศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์ ต้องห้ามฎีกาตามป.วิ.พ. มาตรา 249
ปัญหาที่ว่า ม. ทนายความได้รับมอบอำนาจจากโจทก์ให้มีหนังสือทวงถามและบอกกล่าวบังคับจำนองแทนโจทก์ แต่โจทก์ไม่มีหนังสือมอบอำนาจที่ให้ ม. มีหนังสือทวงถามให้ชำระหนี้และบอกกล่าวบังคับจำนองแทนโจทก์จึงไม่ชอบด้วย ป.พ.พ. มาตรา 728 เป็นปัญหาที่จำเลยมิได้ยกต่อสู้ไว้ในคำให้การ และมิใช่ปัญหาเกี่ยวด้วยความสงบเรียบร้อยของประชาชน จึงเป็นปัญหาที่มิได้ว่ากันมาแล้วโดยชอบในศาลชั้นต้นต้องห้ามมิให้อุทธรณ์ตาม ป.วิ.พ. มาตรา 225 วรรคแรก
โจทก์บรรยายฟ้องว่า โจทก์เป็นบริษัทเงินทุนและเป็นสถาบันการเงิน ตาม พ.ร.บ. ดอกเบี้ยเงินให้กู้ของสถาบันการเงิน พ.ศ.2523 อันจะมีสิทธิเรียกดอกเบี้ยจากผู้กู้ยืมได้เป็นพิเศษ โดยมีอัตราสูงกว่าที่กำหนดไว้ตาม ป.พ.พ.มาตรา 654 ร้อยละ 15 ต่อปี จำเลยทั้งสามให้การในส่วนที่เกี่ยวกับดอกเบี้ยแต่เพียงว่า ดอกเบี้ยที่โจทก์ฟ้องร้องสูงกว่ากฎหมายกำหนดไว้ ซึ่งจำเลยที่ 1 เห็นว่าไม่ควรเกินร้อยละ 15 ต่อปี คำให้การของจำเลยทั้งสามดังกล่าวไม่ได้แสดงโดยชัดแจ้งว่า ดอกเบี้ยที่โจทก์เรียกร้องสูงกว่ากฎหมายอะไร และเพราะเหตุใดจึงไม่ควรเกินร้อยละ 15 ต่อปี เป็นคำให้การไม่ชัดแจ้งตาม ป.วิ.พ. มาตรา 177วรรคสอง จึงไม่มีประเด็นว่าโจทก์คิดดอกเบี้ยชอบด้วยกฎหมายหรือไม่ แม้ศาลชั้นต้นจะกำหนดประเด็นข้อนี้ไว้ และศาลอุทธรณ์รับวินิจฉัยให้ก็เป็นการไม่ชอบ ถือได้ว่าเป็นข้อที่มิได้ยกขึ้นว่ากันมาแล้วในศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์ ต้องห้ามฎีกาตามป.วิ.พ. มาตรา 249
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 5385/2538
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
สัญญากู้เงิน, จำนอง, ค้ำประกัน: ศาลยืนยึดสิทธิบังคับชำระหนี้จากทรัพย์สินจำนองตามสัญญา
หนี้ตามสัญญากู้เงินระบุวันครบกำหนดสัญญาไว้ถือได้ว่าเป็นหนี้ที่ได้กำหนดเวลาชำระหนี้ตามวันแห่งปฏิทินจำเลยทั้งสามจะอ้างว่ามีข้อตกลงระหว่างโจทก์กับจำเลยที่1ให้โจทก์เป็นผู้รับเงินค่าซื้อตึกแถวจากผู้ซื้อตึกแถวหักชำระหนี้โดยจำเลยที่1ไม่ต้องชำระดอกเบี้ยเป็นงวดและไม่มีกำหนดเวลาชำระต้นเงินคืนและนำพยานบุคคลมาสืบตามข้ออ้างดังกล่าวเพื่อที่จะให้ศาลรับฟังว่าหนี้ยังไม่ถึงกำหนดชำระจำเลยทั้งสามไม่ได้เป็นฝ่ายผิดสัญญาหาได้ไม่เพราะเป็นการสืบพยานบุคคลเพื่อเพิ่มเติมตัดทอนหรือเปลี่ยนแปลงแก้ไขข้อความในเอกสารต้องห้ามตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา94(ข) ปัญหาที่ว่าม. ทนายความได้รับมอบอำนาจจากโจทก์ให้มีหนังสือทวงถามและบอกกล่าวบังคับจำนองแทนโจทก์แต่โจทก์ไม่มีหนังสือมอบอำนาจที่ให้ม.มีหนังสือทวงถามให้ชำระหนี้และบอกกล่าวบังคับจำนองแทนโจทก์จึงไม่ชอบด้วยประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา728เป็นปัญหาที่จำเลยมิได้ยกต่อสู้ไว้ในคำให้การและมิใช่ปัญหาเกี่ยวด้วยความสงบเรียบร้อยของประชาชนจึงเป็นปัญหาที่มิได้ว่ากันมาแล้วโดยชอบในศาลชั้นต้นต้องห้ามมิให้อุทธรณ์ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา225วรรคแรก โจทก์บรรยายฟ้องว่าโจทก์เป็นบริษัทเงินทุนและเป็นสถาบันการเงินตามพระราชบัญญัติดอกเบี้ยเงินให้กู้ของสถาบันการเงินพ.ศ.2523อันจะมีสิทธิเรียกดอกเบี้ยจากผู้กู้ยืมได้เป็นพิเศษโดยมีอัตราสูงกว่าที่กำหนดไว้ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา654ร้อยละ15ต่อปีจำเลยทั้งสามให้การในส่วนที่เกี่ยวกับดอกเบี้ยแต่เพียงว่าดอกเบี้ยที่โจทก์ฟ้องร้องสูงกว่ากฎหมายกำหนดไว้ซึ่งจำเลยที่1เห็นว่าไม่ควรเกินร้อยละ15ต่อปีคำให้การของจำเลยทั้งสามดังกล่าวไม่ได้แสดงโดยชัดแจ้งว่าดอกเบี้ยที่โจทก์เรียกร้องสูงกว่ากฎหมายอะไรและเพราะเหตุใดจึงไม่ควรเกินร้อยละ15ต่อปีเป็นคำให้การไม่ชัดแจ้งตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา177วรรคสองจึงไม่มีประเด็นว่าโจทก์คิดดอกเบี้ยชอบด้วยกฎหมายหรือไม่แม้ศาลชั้นต้นจะกำหนดประเด็นข้อนี้ไว้และศาลอุทธรณ์รับวินิจฉัยให้ก็เป็นการไม่ชอบถือได้ว่าเป็นข้อที่มิได้ยกขึ้นว่ากันมาแล้วในศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์ต้องห้ามฎีกาตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา249