พบผลลัพธ์ทั้งหมด 2,529 รายการ
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1550/2538
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
สัญญากู้เงินพิรุธ พยานหลักฐานโจทก์ขัดแย้งกันเอง ศาลไม่รับฟังว่ามีการกู้ยืมจริง
โจทก์ฟ้องว่า จำเลยที่ 1 กู้เงินโจทก์ไป มีจำเลยที่ 2เป็นผู้ค้ำประกันถึงกำหนดแล้ว จำเลยที่ 1 ไม่ชำระหนี้คืนโจทก์ ขอให้จำเลยที่ 1 ชำระพร้อมดอกเบี้ย หากจำเลยที่ 1ไม่ชำระ ให้จำเลยที่ 2 ชำระแทน จำเลยที่ 1มิได้ยื่นคำให้การ ส่วนจำเลยที่ 2 ก็ให้การเพียงว่าสัญญาค้ำประกันเป็นสัญญาปลอมจึงไม่มีประเด็นข้อพิพาทว่าสัญญากู้เงินเป็นสัญญาปลอมหรือไม่ ปัญหาว่าสัญญากู้เงินเป็นสัญญาปลอมหรือไม่ จึงเป็นข้อเท็จจริงที่มิได้ยกขึ้นว่ากันมาแล้วโดยชอบในศาลชั้นต้น คดีแพ่งที่จำเลยขาดนัดยื่นคำให้การและขาดนัดพิจารณาศาลจะวินิจฉัยชี้ขาดคดีให้โจทก์เป็นฝ่ายชนะได้ต่อเมื่อข้ออ้างของโจทก์มีมูลและไม่ขัดต่อกฎหมาย ปัญหาว่าพยานหลักฐานโจทก์ฟังได้หรือไม่ว่าจำเลยที่ 1 ได้กู้ยืมเงินโจทก์จำนวน 80,000 บาท ตามสัญญากู้เงินตามฟ้องหรือไม่นั้นเมื่อพยานหลักฐานโจทก์มีข้อพิรุธหลายประการไม่มีน้ำหนักให้รับฟังว่าจำเลยที่ 1 ได้กู้ยืมเงินโจทก์จำนวน 80,000 บาทและทำสัญญากู้เงินซึ่งมีข้อความครบถ้วนแล้วจำเลยที่ 1 จึงไม่ต้องรับผิดชำระเงินตามสัญญากู้เงินดังกล่าวแก่โจทก์ เมื่อจำเลยที่ 1 ผู้กู้ไม่ต้องรับผิดตามสัญญากู้ จำเลยที่ 2 ซึ่งเป็นผู้ค้ำประกันการชำระหนี้ของจำเลยที่ 1จึงไม่ต้องรับผิดต่อโจทก์ด้วย โดยไม่จำต้องวินิจฉัยว่าสัญญาค้ำประกันเป็นสัญญาปลอมหรือไม่
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1087/2538
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การกำหนดประเด็นข้อพิพาทที่จำกัดและการวินิจฉัยนอกประเด็นของศาล รวมถึงการรับฟังการยอมรับของจำเลย
ในการ ชี้สองสถานศาล กำหนดประเด็นข้อพิพาทไว้เพียงสองข้อคือโจทก์มี อำนาจฟ้องหรือไม่และจำเลยสั่งลงโฆษณาในหนังสือพิมพ์ของโจทก์หรือไม่โดยมิได้กำหนดเรื่องจำเลยขอยกเลิกการลงโฆษณาไว้หรือไม่เป็น ประเด็นข้อพิพาทไว้ด้วยเมื่อจำเลยมิได้โต้แย้งคัดค้านคำสั่งในการกำหนดประเด็นข้อพิพาทถือว่าจำเลยได้ สละประเด็นข้อนี้แล้วทั้งประเด็นข้อที่ว่าจำเลยสั่งลงโฆษณาในหนังสือพิมพ์ของโจทก์หรือไม่กับข้อเท็จจริงที่ว่าจำเลยขอยกเลิกการลงโฆษณาแล้วหรือไม่เป็นข้อเท็จจริงที่แยกต่างหากจากกันได้ดังนั้นการที่ศาลอุทธรณ์เห็นว่าประเด็นที่ศาลชั้นต้นกำหนดไว้ว่าจำเลยได้สั่งลงโฆษณาในหนังสือพิมพ์ของโจทก์หรือไม่ย่อมหมายความถึงว่าได้มีการยกเลิกการลงโฆษณาแล้วหรือไม่ด้วยแล้วหยิบยกขึ้นวินิจฉัยด้วยนั้นเป็นการ วินิจฉัยนอกประเด็น แม้คดีจะ ต้องห้ามฎีกาใน ปัญหาข้อเท็จจริง แต่เมื่อจำเลยให้การรับว่าได้สั่งลงโฆษณาในหนังสือพิมพ์จริงดังที่โจทก์ฟ้องย่อมรับฟังได้โดยไม่ต้องฟังพยานหลักฐานอีกต่อไปจำเลยจึงต้องรับผิดชำระหนี้ให้โจทก์ตามที่โจทก์ฟ้อง
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 837/2538 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
สิทธิผ่านทางจำเป็นและค่าทดแทน: เงื่อนไขการใช้สิทธิและการกำหนดค่าเสียหาย
ที่ดินของโจทก์ติดกับลำรางสาธารณะ แต่ลำรางไม่มีน้ำที่จะใช้เป็นทางสัญจรทางเรือตลอดเวลา เพราะบางฤดูน้ำแห้งและเป็นโคลน มีสภาพตื้นเขินประชาชนที่อาศัยอยู่ตามริมลำรางไม่ได้ใช้เป็นทางสัญจรมาประมาณ 10 ปีแล้ว จึงไม่เป็นทางสาธารณะตาม ป.พ.พ.มาตรา 1349 ที่ดินของโจทก์มีที่ดินแปลงอื่นล้อมอยู่จนไม่มีทางออกสู่ทางสาธารณะได้ โจทก์จึงมีสิทธิผ่านที่ดินของจำเลยในฐานะเป็นทางจำเป็นเพื่อออกไปสู่ทางสาธารณะที่ใกล้ที่สุดได้ โดยให้โจทก์มีสิทธิในทางเพียงเพื่อความจำเป็นในการเข้าออกที่ดินตามปกติที่มิใช่การค้า
จำเลยฎีกาว่าทางในที่ดินของจำเลยเป็นถนนส่วนบุคคลไม่ใช่ที่ดินว่างเปล่า จึงไม่มีกฎหมายในเรื่องทางจำเป็นที่จะบังคับให้จำเลยยินยอมให้โจทก์ใช้ถนนของจำเลยได้ โดยจำเลยมิได้ยกขึ้นเป็นข้อต่อสู้ในคำให้การ จึงเป็นข้อที่มิได้ยกขึ้นว่ากันมาแล้วโดยชอบในศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์ และมิใช่ข้อกฎหมายอันเกี่ยวด้วยความสงบเรียบร้อยของประชาชน ต้องห้ามฎีกาตามป.วิ.พ.มาตรา 249 วรรคหนึ่ง
ฟ้องขอให้บังคับจำเลยเปิดทางจำเป็น และได้เสนอค่าทดแทนความเสียหายให้แก่จำเลยและจำเลยให้การต่อสู้ในข้อนี้ แต่คำขอท้ายฟ้องของโจทก์มิได้ขอให้บังคับจำเลยรับเงินค่าทดแทนความเสียหายที่โจทก์ใช้ที่ดินของจำเลยและจำเลยก็มิได้ฟ้องแย้งเรียกร้องค่าทดแทนดังกล่าวว่าควรจะเป็นจำนวนเท่าใดที่โจทก์ฎีกาว่า ค่าทดแทนความเสียหายที่โจทก์ใช้ที่ดินของจำเลยตามที่โจทก์เสนอมาพอสมควรหรือไม่ ซึ่งศาลอุทธรณ์วินิจฉัยว่าค่าทดแทนที่โจทก์เสนอมาเป็นจำนวนน้อยไม่คุ้มกับความเสียหายที่จำเลยจะได้รับและข้อเท็จจริงยังไม่เพียงพอที่จะกำหนดค่าทดแทนนั้น ศาลฎีกาจึงยังไม่วินิจฉัยให้ ชอบที่จำเลยจะว่ากล่าวเอาแก่โจทก์ในเรื่องค่าทดแทนความเสียหายเป็นอีกคดีหนึ่งต่างหาก
แม้ ป.พ.พ.มาตรา 1352 จะบัญญัติว่าเจ้าของที่ดินต้องยอมให้ผู้อื่นวางท่อน้ำ ท่อระบายน้ำ สายไฟฟ้า หรือสิ่งอื่นซึ่งคล้ายกันผ่านที่ดินของตนเพื่อประโยชน์แก่ที่ดินติดต่อก็ตาม แต่ความในมาตรานี้ก็บัญญัติไว้ด้วยว่าเจ้าของที่ดินจะต้องยอมก็ต่อเมื่อได้รับค่าทดแทนตามสมควรแล้ว ซึ่งเป็นหน้าที่ของผู้ที่จะวางต้องบอกกล่าวเสนอจำนวนค่าทดแทนให้เจ้าของที่ดินทราบก่อน ตามคำฟ้องไม่ปรากฏว่าก่อนฟ้องคดีโจทก์เคยบอกกล่าวเสนอค่าทดแทนแก่จำเลย ทั้งคำขอท้ายฟ้องโจทก์ก็มิได้ขอให้จำเลยรับเงินค่าทดแทนจากโจทก์ คดีจึงไม่มีประเด็นว่าโจทก์ชอบที่จะใช้สิทธิตาม ป.พ.พ.มาตรา 1352 ได้หรือไม่
จำเลยฎีกาว่าทางในที่ดินของจำเลยเป็นถนนส่วนบุคคลไม่ใช่ที่ดินว่างเปล่า จึงไม่มีกฎหมายในเรื่องทางจำเป็นที่จะบังคับให้จำเลยยินยอมให้โจทก์ใช้ถนนของจำเลยได้ โดยจำเลยมิได้ยกขึ้นเป็นข้อต่อสู้ในคำให้การ จึงเป็นข้อที่มิได้ยกขึ้นว่ากันมาแล้วโดยชอบในศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์ และมิใช่ข้อกฎหมายอันเกี่ยวด้วยความสงบเรียบร้อยของประชาชน ต้องห้ามฎีกาตามป.วิ.พ.มาตรา 249 วรรคหนึ่ง
ฟ้องขอให้บังคับจำเลยเปิดทางจำเป็น และได้เสนอค่าทดแทนความเสียหายให้แก่จำเลยและจำเลยให้การต่อสู้ในข้อนี้ แต่คำขอท้ายฟ้องของโจทก์มิได้ขอให้บังคับจำเลยรับเงินค่าทดแทนความเสียหายที่โจทก์ใช้ที่ดินของจำเลยและจำเลยก็มิได้ฟ้องแย้งเรียกร้องค่าทดแทนดังกล่าวว่าควรจะเป็นจำนวนเท่าใดที่โจทก์ฎีกาว่า ค่าทดแทนความเสียหายที่โจทก์ใช้ที่ดินของจำเลยตามที่โจทก์เสนอมาพอสมควรหรือไม่ ซึ่งศาลอุทธรณ์วินิจฉัยว่าค่าทดแทนที่โจทก์เสนอมาเป็นจำนวนน้อยไม่คุ้มกับความเสียหายที่จำเลยจะได้รับและข้อเท็จจริงยังไม่เพียงพอที่จะกำหนดค่าทดแทนนั้น ศาลฎีกาจึงยังไม่วินิจฉัยให้ ชอบที่จำเลยจะว่ากล่าวเอาแก่โจทก์ในเรื่องค่าทดแทนความเสียหายเป็นอีกคดีหนึ่งต่างหาก
แม้ ป.พ.พ.มาตรา 1352 จะบัญญัติว่าเจ้าของที่ดินต้องยอมให้ผู้อื่นวางท่อน้ำ ท่อระบายน้ำ สายไฟฟ้า หรือสิ่งอื่นซึ่งคล้ายกันผ่านที่ดินของตนเพื่อประโยชน์แก่ที่ดินติดต่อก็ตาม แต่ความในมาตรานี้ก็บัญญัติไว้ด้วยว่าเจ้าของที่ดินจะต้องยอมก็ต่อเมื่อได้รับค่าทดแทนตามสมควรแล้ว ซึ่งเป็นหน้าที่ของผู้ที่จะวางต้องบอกกล่าวเสนอจำนวนค่าทดแทนให้เจ้าของที่ดินทราบก่อน ตามคำฟ้องไม่ปรากฏว่าก่อนฟ้องคดีโจทก์เคยบอกกล่าวเสนอค่าทดแทนแก่จำเลย ทั้งคำขอท้ายฟ้องโจทก์ก็มิได้ขอให้จำเลยรับเงินค่าทดแทนจากโจทก์ คดีจึงไม่มีประเด็นว่าโจทก์ชอบที่จะใช้สิทธิตาม ป.พ.พ.มาตรา 1352 ได้หรือไม่
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 383/2538
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การซื้อขายรถยนต์, การโอนทะเบียน, ความเสียหายจากการไม่ได้ใช้รถ, การครอบครองปรปักษ์, และการใช้รถผิดประเภท
ปัญหาว่าคำให้การจำเลยก่อให้เกิดประเด็นพิพาทหรือไม่เป็นปัญหาข้อกฎหมายอันเกี่ยวด้วยความสงบเรียบร้อยของประชาชนแม้ไม่มีคู่ความฝ่ายใดอุทธรณ์ฎีกาศาลฎีกาเห็นสมควรหยิบยกขึ้นวินิจฉัยได้ โจทก์จะนำรถยนต์พิพาทซึ่งจดทะเบียนประกอบการขนส่งประเภทส่วนบุคคลไปรับจ้างบรรทุกพืชไร่ไม่ได้เพราะเป็นการใช้รถไม่ตรงตามประเภทที่ได้จดทะเบียนไว้ต้องห้ามตามพระราชบัญญัติรถยนต์พ.ศ.2522มาตรา21จึงฟังไม่ได้ว่าโจทก์ได้รับความเสียหายขาดรายได้เพราะเหตุดังกล่าว
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 191/2538 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การวินิจฉัยประเด็นนอกฟ้อง: ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัยประเด็นที่ไม่ได้ยกขึ้นว่ากันในศาลล่าง
ศาลชั้นต้นกำหนดประเด็นข้อพิพาทว่า (1) ฟ้องโจทก์เคลือบคลุมหรือไม่ (2) โจทก์หรือจำเลยทั้งหกเป็นฝ่ายผิดสัญญา (3) โจทก์มีสิทธิเรียกร้องค่าเสียหายหรือไม่ เพียงใด โจทก์ฎีกาว่าจำเลยที่ 2 ถึงที่ 6มอบโฉนดที่ดินพิพาทให้จำเลยที่ 1 เป็นผู้ขาย และตั้งหรือเชิดจำเลยที่ 1 หรือยอมให้จำเลยที่ 1 เชิดตัวเองเป็นตัวแทนขายที่ดินพิพาท จำเลยที่ 2 ถึงที่ 6 ซึ่งเป็นตัวการต้องรับผิดต่อโจทก์ เป็นการฎีกาในข้อที่โจทก์มิได้บรรยายกล่าวอ้างมาในฟ้องและที่ศาลชั้นต้นมิได้กำหนดเป็นประเด็นข้อพิพาทไว้ ที่ศาลล่างทั้งสองหยิบยกปัญหาดังกล่าวขึ้นวินิจฉัย จึงเป็นการวินิจฉัยนอกประเด็นข้อพิพาท ไม่ชอบด้วย ป.วิ.พ.มาตรา 142 ประกอบด้วย มาตรา 246 ถือว่าเป็นข้อที่ไม่ได้ยกขึ้นว่ากันมาแล้วโดยชอบในศาลล่างทั้งสอง ทั้งไม่ใช่เป็นปัญหาอันเกี่ยวด้วยความสงบเรียบร้อยของประชาชน ต้องห้ามฎีกาตาม มาตรา 249 แห่งบทบัญญัติดังกล่าว ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัย
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 191/2538
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ฎีกานอกประเด็น: ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัยข้อที่ไม่ได้ยกขึ้นว่ากันในศาลล่าง แม้ไม่กระทบความสงบเรียบร้อย
ศาลชั้นต้นกำหนดประเด็นข้อพิพาทว่า(1)ฟ้องโจทก์เคลือบคลุมหรือไม่(2)โจทก์หรือจำเลยทั้งหกเป็นฝ่ายผิดสัญญา(3)โจทก์มีสิทธิเรียกร้องค่าเสียหายหรือไม่เพียงใดโจทก์ฎีกาว่าจำเลยที่2ถึงที่6มอบโฉนดที่ดินพิพาทให้จำเลยที่1เป็นผู้ขายและตั้งหรือเชิดจำเลยที่1หรือยอมให้จำเลยที่1เชิดตัวเองเป็นตัวแทนขายที่ดินพิพาทจำเลยที่2ถึงที่6ซึ่งเป็นตัวการต้องรับผิดต่อโจทก์เป็นการฎีกาในข้อที่โจทก์มิได้บรรยายกล่าวอ้างมาในฟ้องและที่ศาลชั้นต้นมิได้กำหนดเป็นประเด็นข้อพิพาทไว้ที่ศาลล่างทั้งสองหยิบยกปัญหาดังกล่าวขึ้นวินิจฉัยจึงเป็นการวินิจฉัยนอกประเด็นข้อพิพาทไม่ชอบด้วยประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา142ประกอบด้วยมาตรา246ถือว่าเป็นข้อที่ไม่ได้ยกขึ้นว่ากันมาแล้วโดยชอบในศาลล่างทั้งสองทั้งไม่ใช่เป็นปัญหาอันเกี่ยวด้วยความสงบเรียบร้อยของประชาชนต้องห้ามฎีกาตามมาตรา249แห่งบทบัญญัติดังกล่าวศาลฏีกาไม่รับวินิจฉัย
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 97/2538 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
อายุความสัญญา: การนับอายุความเริ่มจากวันเกิดสิทธิเรียกร้อง และผลของการให้การต่อสู้เรื่องอายุความ
จำเลยร่วมให้การว่า อายุความตามสัญญาที่ฟ้องมีกำหนด 2 ปีซึ่งสิ้นสุดลงเมื่อวันที่ 2 ธันวาคม 2528 โจทก์ไม่ฟ้องจำเลยร่วมภายในเวลาดังกล่าว ฟ้องโจทก์ขาดอายุความ ดังนี้ คำให้การของจำเลยร่วมได้แสดงเหตุแห่งการขาดอายุความแล้ว ไม่จำต้องกล่าวว่าเหตุใดจึงมีอายุความ 2 ปี และอายุความเริ่มนับแต่เมื่อใด เพราะเป็นเพียงรายละเอียดซึ่งนำสืบในชั้นพิจารณาได้ และเป็นหน้าที่ของศาลที่จะปรับบทตามกฎหมาย คำให้การของจำเลยร่วมจึงชอบด้วย ป.วิ.พ.มาตรา 177 วรรคสอง
โจทก์เรียกจำเลยร่วมเข้ามาในคดีหลังจากศาลชั้นต้นชี้สองสถานแล้ว เมื่อจำเลยร่วมให้การต่อสู้เรื่องอายุความไว้ การที่ศาลชั้นต้นไม่ได้กำหนดประเด็นข้อพิพาทใหม่ในเรื่องอายุความตามข้อต่อสู้ของจำเลยร่วม และจำเลยร่วมไม่ได้คัดค้าน จะถือว่าจำเลยร่วมพอใจในประเด็นข้อพิพาทเพียงเท่าที่ศาลชั้นต้นกำหนดไว้เท่านั้นหาได้ไม่ คดีมีประเด็นเรื่องอายุความ การที่ศาลอุทธรณ์ยกอายุความขึ้นวินิจฉัยจึงไม่เป็นการวินิจฉัยนอกประเด็น
โจทก์ถมทรายงวดที่ 4 ที่ 5 เสร็จก่อนกำหนดเวลาส่งมอบตามสัญญา โจทก์จึงส่งมอบงานและส่งใบแจ้งหนี้แก่จำเลยร่วมลงวันที่ 1 ธันวาคม 2526ซึ่งจำเลยร่วมต้องชำระเงินภายใน 3 วัน นับแต่วันได้รับใบแจ้งหนี้ตามข้อกำหนดในสัญญา แต่วันครบกำหนดคือวันที่ 4 ธันวาคม 2526 เป็นวันอาทิตย์ วันที่ 5เป็นวันหยุดราชการ จำเลยร่วมจึงต้องชำระเงินภายในวันที่ 6 ธันวาคม 2526เมื่อจำเลยร่วมไม่ชำระ โจทก์ย่อมเกิดสิทธิเรียกร้องบังคับได้ อายุความจึงเริ่มนับตั้งแต่วันที่ 7 ธันวาคม 2526 เป็นต้นไป เมื่อโจทก์เรียกจำเลยร่วมเข้ามาในคดีวันที่ 17 มกราคม 2529 จึงเกิน 2 ปี คดีโจทก์ขาดอายุความ
โจทก์เรียกจำเลยร่วมเข้ามาในคดีหลังจากศาลชั้นต้นชี้สองสถานแล้ว เมื่อจำเลยร่วมให้การต่อสู้เรื่องอายุความไว้ การที่ศาลชั้นต้นไม่ได้กำหนดประเด็นข้อพิพาทใหม่ในเรื่องอายุความตามข้อต่อสู้ของจำเลยร่วม และจำเลยร่วมไม่ได้คัดค้าน จะถือว่าจำเลยร่วมพอใจในประเด็นข้อพิพาทเพียงเท่าที่ศาลชั้นต้นกำหนดไว้เท่านั้นหาได้ไม่ คดีมีประเด็นเรื่องอายุความ การที่ศาลอุทธรณ์ยกอายุความขึ้นวินิจฉัยจึงไม่เป็นการวินิจฉัยนอกประเด็น
โจทก์ถมทรายงวดที่ 4 ที่ 5 เสร็จก่อนกำหนดเวลาส่งมอบตามสัญญา โจทก์จึงส่งมอบงานและส่งใบแจ้งหนี้แก่จำเลยร่วมลงวันที่ 1 ธันวาคม 2526ซึ่งจำเลยร่วมต้องชำระเงินภายใน 3 วัน นับแต่วันได้รับใบแจ้งหนี้ตามข้อกำหนดในสัญญา แต่วันครบกำหนดคือวันที่ 4 ธันวาคม 2526 เป็นวันอาทิตย์ วันที่ 5เป็นวันหยุดราชการ จำเลยร่วมจึงต้องชำระเงินภายในวันที่ 6 ธันวาคม 2526เมื่อจำเลยร่วมไม่ชำระ โจทก์ย่อมเกิดสิทธิเรียกร้องบังคับได้ อายุความจึงเริ่มนับตั้งแต่วันที่ 7 ธันวาคม 2526 เป็นต้นไป เมื่อโจทก์เรียกจำเลยร่วมเข้ามาในคดีวันที่ 17 มกราคม 2529 จึงเกิน 2 ปี คดีโจทก์ขาดอายุความ
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 97/2538
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
อายุความฟ้องคดีสัญญาจ้างเหมา คำให้การต่อสู้เรื่องอายุความชอบด้วยกฎหมาย การนับอายุความเริ่มจากวันที่จำเลยไม่ชำระเงิน
จำเลยร่วมให้การว่าอายุความตามสัญญาที่ฟ้องมีกำหนด2ปีซึ่งสิ้นสุดลงเมื่อวันที่2ธันวาคม2528โจทก์ไม่ฟ้องจำเลยร่วมภายในเวลาดังกล่าวฟ้องโจทก์ขาดอายุความดังนี้คำให้การของจำเลยร่วมได้แสดงเหตุแห่งการขาดอายุความแล้วไม่จำต้องกล่าวว่าเหตุใดจึงมีอายุความ2ปีและอายุความเริ่มนับแต่เมื่อใดเพราะเป็นเพียงรายละเอียดซึ่งนำสืบในชั้นพิจารณาได้และเป็นหน้าที่ของศาลที่จะปรับบทตามกฎหมายคำให้การของจำเลยร่วมจึงชอบด้วยประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา177วรรคสอง โจทก์เรียกจำเลยร่วมเข้ามาในคดีหลังจากศาลชั้นต้นชี้สองสถานแล้วเมื่อจำเลยร่วมให้การต่อสู้เรื่องอายุความไว้การที่ศาลชั้นต้นไม่ได้กำหนดประเด็นข้อพิพาทใหม่ในเรื่องอายุความตามข้อต่อสู้ของจำเลยร่วมและจำเลยร่วมไม่ได้คัดค้านจะถือว่าจำเลยร่วมพอใจในประเด็นข้อพิพาทเพียงเท่าที่ศาลชั้นต้นกำหนดไว้เท่านั้นหาได้ไม่คดีมีประเด็นเรื่องอายุความการที่ศาลอุทธรณ์ยกอายุความขึ้นวินิจฉัยจึงไม่เป็นการวินิจฉัยนอกประเด็น โจทก์ถมทรายงวดที่4ที่5เสร็จก่อนกำหนดเวลาส่งมอบตามสัญญาโจทก์จึงส่งมอบงานและส่งใบแจ้งหนี้แก่จำเลยร่วมลงวันที่1ธันวาคม2526ซึ่งจำเลยร่วมต้องชำระเงินภายใน3วันนับแต่วันได้รับใบแจ้งหนี้ตามข้อกำหนดในสัญญาแต่วันครบกำหนดคือวันที่4ธันวาคม2526เป็นวันอาทิตย์วันที่5เป็นวันหยุดราชการจำเลยร่วมจึงต้องชำระเงินภายในวันที่6ธันวาคม2526เมื่อจำเลยร่วมไม่ชำระโจทก์ย่อมเกิดสิทธิเรียกร้องบังคับได้อายุความจึงเริ่มนับตั้งแต่วันที่7ธันวาคม2526เป็นต้นไปเมื่อโจทก์เรียกจำเลยร่วมเข้ามาในคดีวันที่17มกราคม2529จึงเกิน2ปีคดีโจทก์ขาดอายุความ
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 7461/2537
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
สิทธิเดินทางจำเป็นเมื่อที่ดินถูกแบ่งแยกและไม่มีทางออกสู่สาธารณะ
โจทก์บรรยายฟ้องว่า ที่ดินโจทก์และที่ดินจำเลยอยู่ติดกันและแบ่งแยกมาจากที่ดินโฉนดเดียวกัน โจทก์ใช้ทางผ่านที่ดินจำเลยออกสู่ถนนมาเป็นเวลา 10 ปีเศษ บ้านและที่ดินโจทก์อยู่ในวงล้อมของที่ดินบุคคลอื่นไม่มีทางออกสู่ถนนสาธารณะได้ โจทก์มีทางออกสู่ถนนสาธารณะต้องผ่านที่ดินจำเลยซึ่งเป็นทางจำเป็นหรือภารจำยอมคำฟ้องของโจทก์ระบุถึงสิทธิของโจทก์ว่า มีสิทธิใช้ทางพิพาทเป็นทางจำเป็นหรือทางภารจำยอมบนที่ดินจำเลย จากที่ดินโจทก์เพื่อออกไปสู่ทางสาธารณะ และในคำขอท้ายฟ้องก็ระบุให้จำเลยเปิดทางพิพาทให้โจทก์ใช้ได้อย่างเดิม ฟ้องโจทก์บรรยายไว้ครบทั้งเรื่องทางจำเป็นและทางภารจำยอมโดยไม่ขัดกัน ที่ศาลชั้นต้นกำหนดประเด็นข้อพิพาทว่า ทางพิพาทเป็นทางจำเป็นหรือทางภารจำยอมแล้ววินิจฉัยว่าทางพิพาทเป็นทางจำเป็น จึงมิใช่เป็นการวินิจฉัยนอกประเด็น การแบ่งแยกหรือแบ่งโอนทำให้ที่ดินโจทก์ซึ่งแบ่งออกมาไม่มีทางออกสู่ทางสาธารณะ โจทก์จึงมีสิทธิเรียกร้องเอาทางเดินซึ่งเป็นทางจำเป็นบนที่ดินจำเลยซึ่งเป็นแปลงที่แบ่งแยกหรือแบ่งโอนออกสู่ทางสาธารณะได้ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1350
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 7461/2537 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
สิทธิใช้ทางจำเป็นเมื่อที่ดินไม่มีทางออกสู่สาธารณะ
โจทก์บรรยายฟ้องว่า ที่ดินโจทก์และที่ดินจำเลยอยู่ติดกันและแบ่งแยกมาจากที่ดินโฉนดเดียวกัน โจทก์ใช้ทางผ่านที่ดินจำเลยออกสู่ถนนมาเป็นเวลา 10 ปีเศษ บ้านและที่ดินโจทก์อยู่ในวงล้อมของที่ดินบุคคลอื่นไม่มีทางออกสู่ถนนสาธารณะได้ โจทก์มีทางออกสู่ถนนสาธารณะต้องผ่านที่ดินจำเลยซึ่งเป็นทางจำเป็นหรือภาระจำยอม คำฟ้องของโจทก์ระบุถึงสิทธิของโจทก์ว่า มีสิทธิใช้ทางพิพาทเป็นทางจำเป็นหรือทางภาระจำยอมบนที่ดินจำเลย จากที่ดินโจทก์เพื่อออกไปสู่ทางสาธารณะ และในคำขอท้ายฟ้องก็ระบุว่าให้จำเลยเปิดทางพิพาทให้โจทก์ใช้ได้อย่างเดิม ฟ้องโจทก์บรรยายไว้ครบทั้งเรื่องทางจำเป็นและทางภาระจำยอมโดยไม่ขัดกัน ที่ศาลชั้นต้นกำหนดประเด็นข้อพิพาทว่า ทางพิพาทเป็นทางจำเป็นหรือทางภาระจำยอม แล้ววินิจฉัยว่าทางพิพาทเป็นทางจำเป็น จึงมิใช่เป็นการวินิจฉัยนอกประเด็น
การแบ่งแยกหรือแบ่งโอนทำให้ที่ดินโจทก์ซึ่งแบ่งออกมาไม่มีทางออกสู่ทางสาธารณะ โจทก์จึงมีสิทธิเรียกร้องเอาทางเดินซึ่งเป็นทางจำเป็นบนที่ดินจำเลยซึ่งเป็นแปลงที่แบ่งแยกหรือแบ่งโอนออกสู่ทางสาธารณะได้ตาม ป.พ.พ.มาตรา 1350
การแบ่งแยกหรือแบ่งโอนทำให้ที่ดินโจทก์ซึ่งแบ่งออกมาไม่มีทางออกสู่ทางสาธารณะ โจทก์จึงมีสิทธิเรียกร้องเอาทางเดินซึ่งเป็นทางจำเป็นบนที่ดินจำเลยซึ่งเป็นแปลงที่แบ่งแยกหรือแบ่งโอนออกสู่ทางสาธารณะได้ตาม ป.พ.พ.มาตรา 1350