คำพิพากษาที่เกี่ยวข้องกับกฎหมาย
ป.วิ.พ. ม. 183

พบผลลัพธ์ทั้งหมด 2,529 รายการ

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1149/2534

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การแบ่งแยกกรรมสิทธิ์รวม: สิทธิครอบครองเป็นสัดส่วนและการไม่จำเป็นต้องแสดงเจตนาใหม่
ในคดีฟ้องขอแบ่งแยกกรรมสิทธิ์รวม เมื่อโจทก์ได้บรรยายฟ้องว่าโจทก์ได้กรรมสิทธิ์รวมมาโดย ล.เจ้าของกรรมสิทธิ์รวมเดิมได้โอนขายเฉพาะส่วนของตนให้แก่โจทก์ และโจทก์ได้เข้าครอบครองเป็นสัดส่วนตลอดมา เช่นนี้ หาใช่เป็นการกล่าวอ้างว่า โจทก์ได้กรรมสิทธิ์มาด้วยการครอบครองปรปักษ์ไม่ ดังนั้น โจทก์จึงไม่จำต้องบรรยายฟ้องว่าได้เปลี่ยนเจตนาการครอบครอง และคำขอท้ายฟ้องก็ไม่จำต้องขอให้ศาลสั่งแสดงกรรมสิทธิ์ หรือขอให้นำทรัพย์ออกขายทอดตลาดนำเงินมาแบ่งปันกันแต่อย่างใด โจทก์ฟ้องอ้างว่า โจทก์เป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์ร่วมกับจำเลยในที่ดินมีโฉนดตามฟ้อง และได้ครอบครองเป็นสัดส่วนตลอดมาตามรูปที่ดินท้ายฟ้อง โจทก์ได้บอกกล่าวให้จำเลยไปทำการแบ่งแยกกรรมสิทธิ์รวมแล้ว จำเลยไม่ยินยอม ขอให้ศาลพิพากษาแบ่งแยกกรรมสิทธิ์รวมจำเลยให้การว่าโจทก์เป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์ร่วมกับจำเลยจริงแต่ปฏิเสธว่าโจทก์มิได้ครอบครองเป็นสัดส่วน รูปที่ดินท้ายฟ้องไม่ถูกต้อง และจำเลยไม่เคยได้รับคำบอกกล่าวให้ไปแบ่งแยก ดังนี้ การที่ศาลชั้นต้นชี้สองสถานกำหนดประเด็นข้อพิพาทว่า "โจทก์เป็นเจ้าของผู้ครอบครองที่ดินตามเส้นสีดำ หมายสีเขียว หมายเลข 4 ในแผนที่พิพาทหรือไม่" จึงเป็นการถูกต้อง มิได้ทำให้จำเลยเสียเปรียบแต่อย่างใด ส่วนประเด็นว่าโจทก์ได้บอกกล่าวให้จำเลยไปแบ่งแยกกรรมสิทธิ์รวมแล้วหรือไม่ นั้น แม้ศาลชั้นต้นจะมิได้กำหนดเป็นประเด็นพิพาทไว้ก็ตาม แต่ก็ได้ความว่าก่อนที่ ล. จะโอนกรรมสิทธิ์เฉพาะส่วนของตนให้แก่โจทก์ ล. ได้เคยมีการยื่นคำร้องขอแบ่งแยกที่ดินทางทิศเหนือเป็นของ ล. แล้ว แต่ยังไม่ได้ดำเนินการ ล.ก็ขายที่ดินเฉพาะส่วนของตนที่ขอแบ่งแยกให้แก่โจทก์เสียก่อน และโจทก์ได้เข้าครอบครองโดยปลูกบ้านและทำรั้วเป็นสัดส่วนตามรูปที่ดินในแผนที่พิพาทตลอดมาโดยจำเลยมิได้คัดค้าน เมื่อโจทก์ยืนยันว่าได้บอกกล่าวให้จำเลยซึ่งเป็นผู้ถือโฉนดที่ดินไปแบ่งแยกกรรมสิทธิ์รวมแล้ว และไม่ปรากฏว่าการขอแบ่งแยกกรรมสิทธิ์รวมนี้ได้กระทำในเวลาที่ไม่เป็นโอกาสอันควร โจทก์ย่อมฟ้องขอให้ศาลพิพากษาแบ่งแยกกรรมสิทธิ์รวมและศาลชั้นต้นพิพากษาไปตามรูปคดีได้ ไม่ถือว่าเป็นการพิพากษานอกฟ้อง

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1058/2534

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การวินิจฉัยประเด็นกรรมสิทธิ์โดยการครอบครองนอกประเด็นคำให้การ ศาลต้องพิจารณาประเด็นตามที่คู่ความยกขึ้น
จำเลยให้การเกี่ยวกับการครอบครองว่า ที่ดินอันเป็นสาธารณสมบัติของแผ่นดินถึงแม้จำเลยซึ่งเป็นผู้ครอบครองและอยู่อาศัยจะอ้างใช้ยันต่อรัฐไม่ได้ แต่กรณีนี้จำเลยครอบครองและอยู่อาศัยตลอดมาเกินกว่า30 ปี จำเลยจึงมีสิทธิดีกว่าโจทก์ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา 1304(1) ทั้งไม่มีข้อความตอนใดในคำให้การของจำเลยที่จะมีความหมายให้แปลได้ว่าจำเลยได้ยกประเด็นเรื่องการได้กรรมสิทธิ์ในที่พิพาทโดยการครอบครองขึ้นเป็นข้อต่อสู้ คำให้การของจำเลยจึงไม่มีประเด็นในเรื่องการได้กรรมสิทธิ์ในที่พิพาทโดยการครอบครองตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1382.

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 859/2534

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ฎีกาต้องห้าม: การฎีกาขัดกับคำให้การเดิมในประเด็นกรรมสิทธิ์ที่ดิน
จำเลยให้การว่า จำเลยและภริยาจำเลยได้กรรมสิทธิ์ในที่พิพาทโดยตกลงแบ่งการครอบครองกับทายาทอื่นเป็นสัดส่วนและด้วยการครอบครองปรปักษ์ แต่ที่จำเลยฎีกาว่า ที่พิพาทเป็นทรัพย์มรดกยังมิได้แบ่งปันกัน ถือว่าทายาทมีสิทธิครอบครองร่วมกันและแทนกันตลอดทั้งแปลงเป็นฎีกาที่ขัดกับคำให้การซึ่งไม่มีประเด็นและเป็นข้อที่มิได้ยกขึ้นว่ากันมาแล้วในศาลชั้นต้น ต้องห้ามตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 249 วรรคแรก

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 834/2534

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ข้อพิพาทเรื่องยืมหรือซื้อขายทรัพย์สิน การพิสูจน์ข้อเท็จจริงตามสัญญาซื้อขายมีน้ำหนักกว่า
โจทก์ฟ้องว่า จำเลยยืมเครื่องรับ-ส่งวิทยุไปแล้วไม่คืนขอให้บังคับจำเลยคืนทรัพย์ที่ยืมหรือใช้ค่าเสียหาย เป็นการฟ้องอ้างมูลเรื่องยืมเป็นหลักแห่งคำขอบังคับจำเลย เมื่อทางนำสืบฟังได้ว่า โจทก์จำเลยตกลงซื้อขายเครื่องรับ-ส่งวิทยุพิพาทเสร็จเด็ดขาดแล้ว ถือว่าโจทก์นำสืบไม่ได้ตามฟ้อง จึงบังคับจำเลยตามคำขอของโจทก์ไม่ได้

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 834/2534 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การฟ้องยืมทรัพย์ที่ไม่สอดคล้องกับข้อเท็จจริง หากมีหลักฐานการซื้อขาย ย่อมไม่สามารถบังคับตามฟ้องได้
โจทก์ฟ้องว่า จำเลยยืมเครื่องรับ - ส่งวิทยุไปแล้วไม่คืน ขอให้บังคับจำเลยคืนทรัพย์ที่ยืมหรือใช้ค่าเสียหาย เป็นการฟ้องอ้างมูลเรื่องยืมเป็นหลักแห่งคำขอบังคับจำเลย เมื่อทางนำสืบฟังได้ว่า โจทก์จำเลยตกลงซื้อขายเครื่องรับ - ส่งวิทยุพิพาทเสร็จเด็ดขาดแล้ว ถือว่าโจทก์นำสืบไม่ได้ตามฟ้อง จึงบังคับจำเลยตามคำขอของโจทก์ไม่ได้

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 823/2534 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ อำนาจฟ้องของโจทก์และขอบเขตความรับผิดของผู้รับประกันภัยค้ำจุน กรณีความเสียหายจากอุบัติเหตุทางรถยนต์
การที่จำเลยให้การแต่เพียงว่า โจทก์จะเป็นนิติบุคคลตามกฎหมาย มีสาขาในประเทศไทยหรือไม่และมอบอำนาจให้ พ. ฟ้องคดีหรือไม่ ไม่รับรู้และรับรอง เป็นคำให้การที่มิได้ปฏิเสธชัดแจ้งว่าโจทก์ไม่เป็นนิติบุคคลอย่างไร และไม่ได้คัดค้านความไม่ถูกต้องของหนังสือมอบอำนาจให้ฟ้องคดี คำให้การของจำเลยดังกล่าวจึงไม่เป็นประเด็นข้อพิพาท โจทก์นำสืบ ม. ซึ่งเป็นเพียงพนักงานประเมินความเสียหายของโจทก์รับรองหนังสือมอบอำนาจ ดังนี้รับฟังได้ว่าเป็นหนังสือมอบอำนาจให้ฟ้องคดีที่ถูกต้องแท้จริง ไม่จำเป็นต้องนำสืบผู้รับมอบอำนาจ โจทก์ฟ้องจำเลยที่ 2 ให้รับผิดในฐานะที่เป็นผู้รับประกันภัยค้ำจุนรถยนต์คันที่ก่อให้เกิดความเสียหายโดยโจทก์มิได้บรรยายฟ้องว่า จำเลยที่ 1 ขับรถยนต์ของ ล. ในฐานะอะไร และมีนิติสัมพันธ์กันอย่างไรกับ ล. เจ้าของรถยนต์คันดังกล่าว อัน ล. ต้องร่วมรับผิดในการกระทำละเมิดของจำเลยที่ 1 เมื่อ ล. ไม่ต้องรับผิดต่อโจทก์ จำเลยที่ 2 ในฐานะผู้รับประกันภัยค้ำจุนจึงไม่ต้องรับผิดด้วย.

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 805/2534 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ฎีกานอกฟ้อง: การยกประเด็นใหม่ในชั้นฎีกาที่ไม่เคยถูกยกขึ้นในศาลชั้นต้น ถือเป็นการฎีกานอกประเด็นต้องห้ามตามกฎหมาย
โจทก์ฟ้องว่า จำเลยที่ 1 โดยจำเลยที่ 2 ร่วมกันแทนกันว่าจ้างโจทก์ทำเต็นท์จอดรถยนต์ มิได้ฟ้องว่าจำเลยที่ 2 เป็นตัวแทนของตัวการไม่เปิดเผยชื่อว่าจ้างโจทก์ ศาลชั้นต้นกำหนดประเด็นว่าจำเลยทั้งสองว่าจ้างโจทก์ทำเต็นท์จอดรถตามฟ้องหรือไม่ การที่ศาลชั้นต้นวินิจฉัยว่าจำเลยที่ 2 เป็นตัวแทนของตัวการไม่เปิดเผยชื่อว่าจ้างโจทก์ จึงเป็นการวินิจฉัยนอกประเด็น เมื่อศาลอุทธรณ์วินิจฉัยว่าจำเลยที่ 2 มิได้ว่าจ้างโจทก์ โจทก์มิได้ฎีกาว่าจำเลยที่ 2 ได้ว่าจ้างโจทก์ตามฟ้อง แต่โจทก์ฎีกาว่า จำเลยที่ 2 เป็นตัวแทนของตัวการไม่เปิดเผยชื่อว่าจ้างโจทก์ ดังนี้เป็นการฎีกานอกฟ้องนอกประเด็นต้องห้ามตาม ป.วิ.พ. มาตรา 249.

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 805/2534

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ฎีกานอกฟ้องนอกประเด็น: โจทก์เปลี่ยนฐานข้อกล่าวหาในชั้นฎีกา
โจทก์ฟ้องว่า จำเลยที่ 1 โดยจำเลยที่ 2 ร่วมกันแทนกันว่าจ้างโจทก์ทำเต็นท์ จอดรถยนต์ มิได้ฟ้องว่าจำเลยที่ 2 เป็นตัวแทนของตัวการไม่เปิดเผยชื่อว่าจ้างโจทก์ และศาลชั้นต้นก็ได้กำหนดประเด็นว่าจำเลยทั้งสองว่าจ้างโจทก์ทำเต็นท์ จอดรถตามฟ้องหรือไม่ การที่ศาลชั้นต้นวินิจฉัยว่าจำเลยที่ 2 เป็นตัวแทนของตัวการไม่เปิดเผยชื่อว่าจ้างโจทก์ จึงเป็นการวินิจฉัยนอกประเด็น เมื่อศาลอุทธรณ์วินิจฉัยว่า จำเลยที่ 2 มิได้ว่าจ้างโจทก์ โจทก์มิได้ฎีกาว่าจำเลยที่ 2 ได้ว่าจ้างโจทก์ตามฟ้อง แต่โจทก์ฎีกาว่า จำเลยที่ 2 เป็นตัวแทนของตัวการไม่เปิดเผยชื่อว่าจ้างโจทก์ เป็นการฎีกานอกฟ้องนอกประเด็น.

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 753/2534

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ประเด็นข้อพิพาทสัญญาจะซื้อจะขาย: การนำสืบและวินิจฉัยนอกประเด็น
โจทก์ฟ้องขับไล่จำเลยผู้อาศัยออกจากที่ดินพิพาทซึ่งโจทก์อ้างว่าเป็นของโจทก์ จำเลยให้การต่อสู้ไว้โดยชัดแจ้งว่าโจทก์ตกลงขายที่ดินพิพาทให้จำเลยที่ 1 โดยจำเลยที่ 1 ได้ชำระเงินงวดแรกให้โจทก์แล้ว ส่วนที่เหลือตกลงจะชำระให้เมื่อโจทก์โอนกรรมสิทธิ์ที่ดินให้จำเลยที่ 1 ดังนั้น ที่ศาลชั้นต้นพิเคราะห์คำฟ้องคำให้การแล้ว กำหนดประเด็นข้อพิพาทไว้ว่า โจทก์ตกลงขายที่พิพาทให้แก่จำเลยโดยชำระราคาบางส่วนแล้วจริงหรือไม่ จึงเป็นการกำหนดประเด็นอย่างกว้าง ๆ ตามคำให้การของจำเลย ซึ่งย่อมรวมถึงการซื้อขายที่ดินพิพาทระหว่างโจทก์ จำเลยที่ 1 ที่ชำระราคาบางส่วน และที่เหลือเมื่อมีการโอนกรรมสิทธิ์ อันเป็นลักษณะของสัญญาจะซื้อจะขายนั่นเองการที่จำเลยทั้งสองนำสืบตามคำให้การและศาลอุทธรณ์วินิจฉัยว่าจำเลยทั้งสองอยู่ในที่พิพาทโดยสิทธิตามสัญญาจะซื้อจะขาย จึงหาเป็นการนำสืบและวินิจฉัยนอกประเด็นไม่.

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 753/2534 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ประเด็นข้อพิพาทสัญญาจะซื้อจะขาย: การนำสืบและวินิจฉัยนอกประเด็นหรือไม่
โจทก์ฟ้องขอให้บังคับจำเลยผู้อาศัยให้รื้อถอนบ้านออกไปจากที่ดินพิพาทของโจทก์ จำเลยให้การต่อสู้ไว้ว่าโจทก์ตกลงขายที่พิพาทให้จำเลยที่ 1 ในราคา 20,000 บาท จำเลยที่ 1 ได้ชำระเงินงวดแรกให้โจทก์ 14,000 บาท ส่วนที่เหลือตกลงจะชำระให้เมื่อโจทก์โอนกรรมสิทธิ์ที่ดินให้จำเลยที่ 1 ดังนั้นที่ศาลชั้นต้นพิเคราะห์คำฟ้องคำให้การแล้วกำหนดประเด็นข้อพิพาทไว้ว่าโจทก์ตกลงขายที่พิพาทให้แก่จำเลยโดยชำระราคาบางส่วนแล้วจริงหรือไม่ จึงเป็นการกำหนดประเด็นอย่างกว้าง ๆ ตามคำให้การของจำเลย ซึ่งย่อมรวมถึงการซื้อขายที่ดินพิพาทระหว่างโจทก์จำเลยที่ 1 ที่ชำระราคาบางส่วนและที่เหลือเมื่อมีการโอนกรรมสิทธิ์ อันเป็นลักษณะของสัญญาจะซื้อจะขายนั่นเองการที่จำเลยทั้งสองนำสืบตามคำให้การและศาลอุทธรณ์วินิจฉัยว่าจำเลยทั้งสองอยู่ในที่พิพาทโดยสิทธิตามสัญญาจะซื้อจะขาย จึงหาเป็นการนำสืบและวินิจฉัยนอกประเด็นไม่.
of 253