คำพิพากษาที่เกี่ยวข้องกับกฎหมาย
ป.วิ.พ. ม. 183

พบผลลัพธ์ทั้งหมด 2,529 รายการ

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 312/2534

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ หนังสือมอบอำนาจไม่ชอบด้วยกฎหมาย และผลของการรับสินค้าโดยปราศจากอำนาจ สัญญาซื้อขาย
คำให้การของจำเลยที่ว่า หนังสือมอบอำนาจของโจทก์ไม่ชอบด้วยกฎหมาย โจทก์ไม่บรรยายฟ้องว่า โจทก์มีใครเป็นกรรมการผู้มีอำนาจกระทำการแทนโจทก์และลายมือชื่อของผู้มอบอำนาจในหนังสือมอบอำนาจท้ายฟ้องเป็นลายมือชื่อของผู้ใด มีอำนาจกระทำการแทนโจทก์ได้หรือไม่อย่างไร ทำให้จำเลยไม่สามารถเข้าใจและให้การแก้คดีได้ถูกต้อง จึงเป็นฟ้องเคลือบคลุมนั้น เป็นการต่อสู้ว่าฟ้องของโจทก์เคลือบคลุมเพียงอย่างเดียวจำเลยมิได้ให้การถึงเหตุที่อ้างว่าหนังสือมอบอำนาจของโจทก์ไม่ชอบด้วยกฎหมายอย่างไรจึงไม่มีประเด็นที่จะต้องวินิจฉัยในปัญหาดังกล่าว การที่ศาลล่างทั้งสองวินิจฉัยในปัญหาข้อนี้ให้เป็นการไม่ชอบด้วยกระบวนพิจารณาศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัย โจทก์กล่าวในฟ้องว่า จำเลยที่ 1 ได้สั่งซื้อสินค้าตามฟ้องจากโจทก์ต่อมาโจทก์ได้จัดส่งสินค้าดังกล่าวมาให้จำเลยรับไว้แล้วจำเลยให้การเพียงว่า จำเลยที่ 1 ไม่ได้สั่งซื้อสินค้าตามฟ้องโดยมิได้กล่าวถึงเรื่องที่โจทก์อ้างว่าได้ส่งสินค้ามาให้จำเลยรับไว้แล้ว จึงต้องถือว่าจำเลยที่ 1 ได้รับสินค้าดังกล่าวตามที่โจทก์ส่งมาให้แล้ว ข้อบังคับของจำเลยที่ 1 ซึ่งเป็นนิติบุคคลประเภทบริษัท-จำกัดกำหนดไว้ว่า กรรมการสองคนลงลายมือชื่อร่วมกันและประทับตราสำคัญของบริษัท จึงจะทำการผูกพันบริษัทได้ ดังนั้น การที่กรรมการเพียงคนเดียวของจำเลยที่ 1 สั่งซื้อสินค้าจึงเป็นการกระทำของตัวแทนที่กระทำโดยปราศจากอำนาจ แต่เมื่อจำเลยที่ 1 ยอมรับสินค้าไว้โดยมิได้อิดเอื้อน หรือส่งสินค้าคืนโจทก์ ถือได้ว่าเป็นการให้สัตยาบันอันมีผลผูกพันจำเลยที่ 1 ในฐานะตัวการที่จะต้องชำระราคาสินค้าให้โจทก์ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 823 โจทก์ฟ้องว่า จำเลยที่ 1 สั่งซื้อสินค้าจากโจทก์ การที่โจทก์นำสืบว่า กรรมการของจำเลยที่ 1 เป็นตัวแทนสั่งซื้อสินค้าให้จำเลยที่ 1 ถือว่าอยู่ในประเด็นตามที่โจทก์ฟ้อง หาใช่เป็นการนำสืบนอกฟ้องนอกประเด็นไม่

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 267/2534 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ประเด็นข้อพิพาทที่ไม่ได้ยกขึ้นในชั้นศาล และการเปลี่ยนแปลงประเด็นข้อสู้ในชั้นฎีกา ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัย
ศาลชั้นต้นไม่ได้กำหนดเรื่องอายุความเป็นประเด็นข้อพิพาทไว้ในการชี้สองสถาน และจำเลยไม่ได้คัดค้าน จึงไม่มีประเด็นที่จะวินิจฉัยว่าคดีขาดอายุความแล้วหรือไม่ จำเลยให้การว่าโจทก์ไม่ได้มอบอำนาจให้ อ. ฟ้องคดีนี้จำเลยจะฎีกาว่าหนังสือมอบอำนาจไม่ชอบด้วยกฎหมาย เนื่องจากผู้รับมอบอำนาจมิได้ลงลายมือชื่อในฐานะผู้รับมอบอำนาจหาได้ไม่เพราะไม่ใช่ประเด็นที่จำเลยให้การต่อสู้คดีไว้

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 267/2534

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การยกประเด็นใหม่ในชั้นฎีกาที่ต่างจากที่ให้การไว้ในชั้นต้นและอุทธรณ์ ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัย
ฎีกาของจำเลยทั้งสามในประเด็นที่ว่าคดีขาดอายุความแล้วปรากฏว่าในการชี้สองสถาน ศาลมิได้กำหนดเรื่องอายุความเป็นประเด็นข้อพิพาทไว้ และไม่ปรากฏว่าจำเลยโต้แย้งคำสั่งในการกำหนดประเด็นข้อพิพาท จึงไม่มีประเด็นที่จะวินิจฉัย ศาลฎีกาไม่วินิจฉัยให้ จำเลยทั้งสามให้การว่า โจทก์มิได้มอบอำนาจให้ อ. ฟ้องคดีแต่ยกขึ้นเป็นประเด็นในชั้นฎีกาว่าหนังสือมอบอำนาจไม่ชอบด้วยกฎหมายเพราะผู้รับมอบอำนาจมิได้ลงลายมือชื่อในฐานะผู้รับมอบอำนาจเหตุที่จำเลยทั้งสามยกขึ้นฎีกาจึงเป็นคนละเรื่องกับที่จำเลยทั้งสามให้การสู้คดีไว้ ศาลฎีกาไม่วินิจฉัยให้.

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 230/2534

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ประเด็นผิดสัญญาซื้อขายที่ดิน: ศาลวินิจฉัยตามฟ้องและข้อต่อสู้ของคู่ความ ไม่ถือว่าวินิจฉัยนอกประเด็น
โจทก์ฟ้องกล่าวหาว่าจำเลยเป็นฝ่ายผิดสัญญาจะซื้อจะขายที่ดินเพราะจำเลยรังวัดแบ่งแยกหน้า ที่ดิน กว้าง ไม่ถึง 52 เมตร ซึ่งเป็นสาระสำคัญแห่งสัญญาตามโครงการที่โจทก์วางไว้ จำเลยให้การว่าฝ่ายโจทก์เป็นฝ่ายผิดสัญญา แม้ศาลชั้นต้นจะมิได้วินิจฉัยว่าโจทก์เป็นฝ่ายผิดสัญญาก็ตาม การที่ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยว่าโจทก์เป็นฝ่ายผิดสัญญานั้นก็เป็นการวินิจฉัยตามคำฟ้องของโจทก์และข้อต่อสู้ของจำเลยที่ว่าฝ่ายใดผิดสัญญาจะซื้อจะขายที่ดินตามฟ้องนั่นเองหาใช่เป็นการวินิจฉัยนอกประเด็นไม่.

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 137/2534

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ สิทธิในเครื่องหมายการค้า: การใช้ก่อนและการจดทะเบียนโดยไม่สุจริต ทำให้เจ้าของเครื่องหมายการค้าเดิมมีสิทธิเรียกร้องได้
โจทก์ได้ใช้เครื่องหมายการค้าคำว่า mita มาก่อนจำเลยทั้งได้จดทะเบียนเครื่องหมายการค้านั้นไว้ในต่างประเทศหลายประเทศ และได้ส่งสินค้าที่มีเครื่องหมายการค้าดังกล่าวเข้ามาจำหน่ายในประเทศไทยก่อนที่จำเลยจะจดทะเบียนเครื่องหมายการค้า โจทก์จึงมีสิทธิในเครื่องหมายการค้าคำว่า mita ดีกว่าจำเลย จำเลยเป็นกรรมการของบริษัท ร. ซึ่งเป็นตัวแทนจำหน่ายสินค้าของโจทก์ที่มีเครื่องหมายการค้าดังกล่าว จำเลยย่อมรู้ถึงเครื่องหมายการค้าของโจทก์ จำเลยขอจดทะเบียนเครื่องหมายการค้าคำว่า mita โดยรู้อยู่แล้วว่าโจทก์เป็นเจ้าของ แม้เครื่องหมายการค้าที่จำเลยขอจดทะเบียนจะได้รับการจดทะเบียนแล้วก็ไม่ทำให้จำเลยมีสิทธิดีกว่าโจทก์ โจทก์ย่อมมีอำนาจฟ้องขอให้ศาลเพิกถอนเครื่องหมายการค้านั้นได้ตามพระราชบัญญัติเครื่องหมายการค้า พ.ศ. 2474 มาตรา 41(1) ข้อที่จำเลยฎีกาว่าโจทก์ไม่ได้รับความคุ้มครองเนื่องจากโจทก์จดทะเบียนเครื่องหมายการค้าไว้ในประเทศญี่ปุ่น และประเทศไทยไม่มีความตกลงคุ้มครองเครื่องหมายการค้าในลักษณะที่บัญญัติไว้ตามมาตรา 20 แห่งพระราชบัญญัติดังกล่าว กับรัฐบาลต่างประเทศนั้นเป็นข้อเท็จจริงที่จำเลยมิได้ต่อสู้ไว้ในคำให้การ เป็นเรื่องนอกประเด็น แม้จำเลยได้นำสืบต่อสู้ไว้ในศาลชั้นต้น และยกขึ้นกล่าวอ้างในชั้นอุทธรณ์ด้วยก็ตาม ก็ถือไม่ได้ว่าเป็นข้อที่ได้ยกขึ้นว่ากันมาแล้วในศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัย.

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 107/2534 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ อำนาจฟ้องสัญญาเช่า, การบังคับคดี, และการข้ามขั้นตอนศาล
แม้ทรัพย์สินที่ให้เช่าจะมิใช่ของโจทก์ แต่เมื่อจำเลยยอมทำสัญญาเช่ากับโจทก์แล้วย่อมต้องผูกพันตามสัญญา และเมื่อจำเลยผิดสัญญา โจทก์ก็มีอำนาจฟ้องบังคับจำเลยตามสัญญาเช่าได้ ส่วนเจ้าของทรัพย์สินจะให้อำนาจโจทก์นำทรัพย์สินออกให้เช่าหรือให้เช่าช่วงได้หรือไม่มิใช่ข้อสำคัญ เพราะมิใช่เป็นเรื่องพิพาทกันระหว่างเจ้าของทรัพย์สินกับจำเลยผู้เช่า และเจ้าของทรัพย์สินก็มิได้โต้แย้งอำนาจของโจทก์ในการนำทรัพย์สินออกให้จำเลยเช่า ข้อที่จำเลยต่อสู้ว่าจำเลยทำสัญญาเช่าในฐานะตัวแทนของบริษัทฉ.นั้นมิได้อยู่ในคำให้การ และประเด็นข้อนี้มิใช่ส่วนหนึ่งของข้อต่อสู้ในเรื่องอำนาจฟ้อง จึงเป็นข้อที่ไม่ได้ว่ากล่าวกันมาแล้วในศาลชั้นต้น ชอบที่ศาลอุทธรณ์จะไม่รับวินิจฉัยในประเด็นดังกล่าว ปัญหาว่าเมื่อศาลชั้นต้นมีคำพิพากษาแล้วจำเลยได้ส่งมอบทรัพย์สินอันเป็นวัตถุแห่งหนี้ตามสัญญาเช่าคืนแก่โจทก์แล้วหรือไม่นั้น เป็นเรื่องอันเกี่ยวด้วยการบังคับคดีตามคำพิพากษาหรือคำสั่งซึ่งอยู่ในอำนาจของศาลที่ได้พิจารณาและชี้ขาดตัดสินคดีในชั้นต้นที่จะทำคำวินิจฉัยชี้ขาดตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา 302 วรรคแรก เมื่อศาลชั้นต้นอันเป็นศาลที่ได้พิจารณาและชี้ขาดตัดสินคดีในชั้นต้นยังไม่ได้วินิจฉัยชี้ขาดปัญหาข้อนี้ จำเลยจะฎีกาข้ามขั้นขึ้นมาให้ศาลฎีกาวินิจฉัยหาได้ไม่

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 7/2534

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การนำสืบพยานหลักฐานนอกเหนือจากคำให้การ ศาลต้องห้ามรับฟังตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 87(1)
จำเลยให้การว่าไม่เคยกู้และรับเงินจากโจทก์ สัญญากู้เป็นเอกสารปลอมโดยโจทก์กรอกข้อความอันเป็นเท็จและจำเลยไม่รู้เห็นหรือยินยอมจึงเป็นโมฆะ แต่นำสืบว่ากู้เงินโจทก์เพียงบางส่วนและชำระหนี้แล้ว ดังนี้เป็นการนำสืบในข้อเท็จจริงที่มิได้ให้การไว้และมิใช่เป็นการนำพยานหลักฐานมาสืบเพื่อสนับสนุนคำให้การ จึงเป็นพยานหลักฐานที่ไม่เกี่ยวถึงข้อเท็จจริงที่คู่ความฝ่ายหนึ่งฝ่ายใดในคดีจะต้องนำสืบ ต้องห้ามมิให้ศาลรับฟังพยานหลักฐานที่นำสืบดังกล่าวตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 87(1)

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 6017/2533 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การแก้ไขคำฟ้องเลขที่บ้านและการวินิจฉัยอุทธรณ์ ศาลอุทธรณ์ต้องพิจารณาข้ออุทธรณ์ของจำเลย
โจทก์ยื่นคำร้องขอแก้ไขคำฟ้องจากบ้านเลขที่ 73 หมู่ที่ 5เป็นบ้านเลขที่ 73/1 หมู่ 5 เพื่อให้เป็นไปตามคำให้การของจำเลยเมื่อมีการชี้ สองสถาน จำเลยไม่มาศาล ศาลนัดสืบพยานจำเลย ถึงวันนัดทนายจำเลยรับสำเนาคำร้องดังกล่าวก็ไม่ได้คัดค้าน แสดงว่าคู่ความเต็ม ใจที่จะดำเนินคดีกันตามประเด็นข้อพิพาทที่ศาลได้ชี้ สองสถานไว้ไม่ต้องการให้ดำเนินกระบวนพิจารณาล่าช้าเพราะเหตุนี้ ประเด็นเรื่องแก้ไขคำฟ้องจึงยุติแล้ว แม้ว่าศาลชั้นต้นจะมิได้ส่งสำเนาคำร้องขอแก้ไขคำฟ้องให้แก่จำเลยทราบล่วงหน้าอย่างน้อย3 วัน ก่อนกำหนดนัดพิจารณาคำร้องนั้นก็ตาม แต่การขอแก้ไขเลขบ้านตามคำฟ้องหาใช่การขอแก้ไขคำฟ้องตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 181 ไม่ ศาลอุทธรณ์จึงไม่ชอบที่จะหยิบยกมาเป็นเหตุยกคำพิพากษาศาลชั้นต้น หากแต่ควรจะวินิจฉัยอุทธรณ์ของจำเลยไปให้สิ้นกระแสความ.

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 6017/2533

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การแก้ไขคำฟ้องเลขที่บ้าน ศาลไม่ควรยกคำพิพากษาเดิมหากไม่มีผลต่อประเด็นข้อพิพาท และควรพิจารณาอุทธรณ์ให้สิ้นสุด
โจทก์ยื่นคำร้องขอแก้ไขคำฟ้องจากบ้านเลขที่ 73 หมู่ 5 เป็นบ้านเลขที่ 73/1 หมู่ 5 เพื่อให้เป็นไปตามคำให้การของจำเลย เมื่อมีการชี้สองสถาน จำเลยไม่มาศาล ศาลนัดสืบพยานจำเลย ถึงวันนัดทนายจำเลยรับสำเนาคำร้องดังกล่าวก็ไม่ได้คัดค้าน แสดงว่าคู่ความเต็มใจที่จะดำเนินคดีกันตามประเด็นข้อพิพาทที่ศาลได้ชี้สองสถานไว้ ไม่ต้องการให้ดำเนินกระบวนพิจารณาล่าช้าเพราะเหตุนี้ ประเด็นเรื่องแก้ไขคำฟ้องจึงยุติแล้ว แม้ว่าศาลชั้นต้นจะมิได้ส่งสำเนาคำร้องขอแก้ไขคำฟ้องให้แก่จำเลยทราบล่วงหน้าอย่างน้อย 3 วันก่อนกำหนดนัดพิจารณาคำร้องนั้นก็ตามแต่การขอแก้ไขเลขบ้านตามคำฟ้องหาใช่การขอแก้ไขคำฟ้องตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา181 ไม่ ศาลอุทธรณ์จึงไม่ชอบที่จะหยิบยกมาเป็นเหตุยกคำพิพากษาศาลชั้นต้น แต่ศาลอุทธรณ์ควรจะวินิจฉัยอุทธรณ์ของจำเลยไปให้สิ้นกระแสความ.

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 5564/2533

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ข้อจำกัดการนำสืบข้อเท็จจริงนอกคำให้การ: ห้ามนำสืบข้อเท็จจริงขัดแย้งกับที่อ้างไว้เดิม แม้เป็นข้อกฎหมาย
จำเลยให้การว่าที่ดินพิพาทเป็นของจำเลยซึ่งผู้ตายยกให้แต่กลับนำสืบว่าที่ดินพิพาทเป็นที่สาธารณะ ข้อเท็จจริงดังกล่าวจึงเป็นข้อเท็จจริงที่ปรากฏจากพยานนอกข้อต่อสู้ในคำให้การและนอกประเด็นพิพาทที่ศาลกำหนดไว้ ไม่เกี่ยวกับที่คู่ความจะต้องนำสืบ ศาลจะรับฟังมาวินิจฉัยเป็นข้อกฎหมายตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 142(5) ไม่ได้ เพราะเป็นข้อเท็จจริงที่ได้มาโดยไม่ชอบด้วยกระบวนพิจารณา ต้องห้ามตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 87.
of 253