พบผลลัพธ์ทั้งหมด 404 รายการ
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2617/2543 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การริบทรัพย์สินในคดียาเสพติด: กระบวนการตาม พ.ร.บ. มาตรการปราบปรามยาเสพติด และสิทธิของผู้เกี่ยวข้อง
ผู้ร้องยื่นคำร้องขอให้ริบรถยนต์ของจำเลยที่ 1 ตาม พ.ร.บ.มาตรการในการปราบปรามผู้กระทำความผิดเกี่ยวกับยาเสพติด พ.ศ. 2534 มาตรา30, 31 อันเป็นกฎหมายพิเศษที่บัญญัติเรื่องการริบทรัพย์สินของกลางในคดีความผิดเกี่ยวกับยาเสพติดไว้โดยเฉพาะ การดำเนินกระบวนพิจารณาจึงต้องปฏิบัติตามที่บัญญัติไว้ในมาตรา 30 วรรคสอง ดังนี้ เมื่อพนักงานเจ้าหน้าที่ได้ประกาศในหนังสือพิมพ์รายวันที่มีจำหน่ายแพร่หลายในท้องถิ่นอย่างน้อยสองวันติดต่อกันเพื่อให้บุคคลซึ่งอาจอ้างว่าเป็นเจ้าของทรัพย์สินมายื่นคำร้องขอเข้ามาในคดีเพื่อคัดค้านก่อนศาลชั้นต้นมีคำพิพากษาหรือมีคำสั่ง และศาลชั้นต้นได้ส่งสำเนาคำร้องให้จำเลยที่ 1 โดยชอบ ทั้งเมื่อศาลชั้นต้นได้มีคำพิพากษาในคดีที่จำเลยที่ 1 กับพวกถูกฟ้องในความผิดฐานร่วมกันมีเฮโรอีนไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่าย ผู้ร้องได้แถลงเพื่อให้ศาลชั้นต้นไต่สวนคำร้องโดยศาลชั้นต้นมีคำสั่งให้นัดไต่สวนคำร้องและได้ส่งหมายนัดให้จำเลยที่ 1 โดยชอบการดำเนินกระบวนพิจารณาของศาลชั้นต้นจึงชอบแล้ว
การดำเนินคดีขอริบทรัพย์สินในคดีนี้เป็นการดำเนินการตามพ.ร.บ.มาตรการในการปราบปรามผู้กระทำความผิดเกี่ยวกับยาเสพติด พ.ศ. 2534อันเป็นกระบวนการพิเศษ พ.ร.บ.ดังกล่าวกำหนดให้ศาลชั้นต้นดำเนินกระบวนพิจารณาแตกต่างไปจากการดำเนินกระบวนพิจารณาคดีอาญาทั่วไป กล่าวคือตามมาตรา 30วรรคสอง จะมีบุคคลซึ่งอาจอ้างว่าเป็นเจ้าของทรัพย์สินยื่นคำร้องขอเข้ามาในคดีเพื่อคัดค้านหรือไม่ก็ได้ ในกรณีที่ไม่มีผู้ใดอ้างตัวเป็นเจ้าของทรัพย์สินก่อนที่ศาลชั้นต้นมีคำพิพากษาหรือคำสั่ง มาตรา 30 วรรคสาม บัญญัติให้ศาลชั้นต้นสั่งริบทรัพย์สินได้เมื่อพ้นกำหนดสามสิบวันนับแต่วันแรกของวันประกาศในหนังสือพิมพ์รายวันตามมาตรา30 วรรคสอง ส่วนกรณีมีบุคคลซึ่งอาจอ้างว่าเป็นเจ้าของทรัพย์สินยื่นคำร้องขอเข้ามาในคดีเพื่อคัดค้านตามมาตรา 30 วรรคสอง บุคคลที่ยื่นคำร้องขอเข้ามาในคดีอาจจะเป็นจำเลยในคดีความผิดเกี่ยวกับยาเสพติดหรือบุคคลอื่นที่อยู่นอกคดีดังกล่าวก็ได้ บุคคลที่ยื่นคำร้องขอเข้ามาในคดีในกรณีนี้จึงไม่ได้เข้ามาในคดีในฐานะจำเลยในคดีความผิดเกี่ยวกับยาเสพติด แต่เข้ามาในฐานะอ้างว่าตนเป็นเจ้าของทรัพย์สิน การไต่สวนคำร้องของศาลชั้นต้นจึงไม่ใช่เป็นการดำเนินกระบวนพิจารณาคดีอาญาที่จำเลยที่ 1กับพวกถูกฟ้องเป็นจำเลยในคดีความผิดเกี่ยวกับยาเสพติด
การไต่สวนคำร้องที่ขอให้ริบทรัพย์สินในคดีความผิดเกี่ยวกับยาเสพติดที่จำเลยที่ 1 กับพวกถูกฟ้องเป็นจำเลยในความผิดฐานร่วมกันมีเฮโรอีนไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่าย ซึ่งมีอัตราโทษที่ศาลต้องตั้งทนายความให้จำเลยหากกรณีมีบุคคลเข้ามาในกระบวนการที่กำหนดไว้ใน พ.ร.บ.มาตรการในการปราบปรามผู้กระทำความผิดเกี่ยวกับยาเสพติด พ.ศ. 2534 มาตรา 30 วรรคสองและบุคคลดังกล่าวไม่มีทนายความ ก็ไม่อยู่ภายใต้บังคับของ ป.วิ.อ.มาตรา 173ที่ศาลจะต้องตั้งทนายความให้ก่อนเริ่มพิจารณา แม้จำเลยที่ 1 จะมาศาลในวันนัดไต่สวนคำร้องนัดแรก และในวันที่ศาลชั้นต้นอ่านคำสั่งก็ตาม เมื่อจำเลยที่ 1 ไม่ได้ยื่นคำร้องขอเข้ามาในคดีเพื่อคัดค้านก่อนศาลชั้นต้นมีคำพิพากษาหรือคำสั่งตามมาตรา30 วรรคสอง จึงถือไม่ได้ว่าจำเลยที่ 1 ได้เข้ามาในกระบวนการที่กำหนดไว้ในมาตรา 30 วรรคสอง การที่ศาลชั้นต้นไต่สวนคำร้องนัดแรกโดยไม่เลื่อนคดีไปนั้นชอบแล้ว
ที่จำเลยที่ 1 ฎีกาว่า ผู้ร้องไม่มีพยานหลักฐานมานำสืบให้เห็นว่าจำเลยที่ 1 ใช้รถยนต์ของกลางเข้าไปเกี่ยวข้องในความผิดที่จำเลยที่ 1 กับพวกถูกฟ้องเป็นจำเลยในความผิดเกี่ยวกับยาเสพติดโดยสมัครใจและมีส่วนได้เสียหรือไม่และคดีที่จำเลยที่ 1 กับพวกถูกฟ้องดังกล่าวยังไม่ถึงที่สุด ศาลจะสั่งริบรถยนต์ของกลางไม่ได้นั้น เท่ากับจำเลยที่ 1 ฎีกาในเนื้อหาแห่งคดีว่า จำเลยที่ 1 ไม่มีโอกาสทราบหรือไม่มีเหตุอันควรสงสัยว่าจะมีการกระทำความผิดในคดีที่จำเลยที่ 1 กับพวกถูกฟ้องข้อหามีเฮโรอีนไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่าย และจะมีการนำรถยนต์ของกลางไปใช้ในการกระทำความผิดหรือใช้เป็นอุปกรณ์ให้ได้รับผลในการกระทำความผิดตามพ.ร.บ.มาตรการในการปราบปรามผู้กระทำความผิดเกี่ยวกับยาเสพติด พ.ศ. 2534มาตรา 30 วรรคสาม หากข้อเท็จจริงเป็นดังที่จำเลยที่ 1 กล่าวอ้าง ก็มีผลให้ศาลไม่อาจสั่งริบรถยนต์ของกลางนั่นเอง การที่บุคคลใดจะพิสูจน์ว่าตนไม่มีโอกาสทราบหรือไม่มีเหตุอันควรสงสัยว่าจะมีการกระทำความผิด และจะมีการนำทรัพย์สินของกลางไปใช้ในการกระทำความผิด หรือได้ใช้เป็นอุปกรณ์ให้ได้รับผลในการกระทำความผิดตามมาตรา 30 วรรคสาม จะต้องเป็นผู้ที่เข้ามาในกระบวนการที่กำหนดไว้ในมาตรา 30 วรรคสองเสียก่อน คือต้องยื่นคำร้องขอคัดค้านเข้ามาในคดีก่อนศาลชั้นต้นมีคำพิพากษาหรือคำสั่ง เพราะมิฉะนั้นหากศาลชั้นต้นมีคำพิพากษาหรือคำสั่งแล้ว ยังให้ผู้ที่เป็นเจ้าของหรือที่อ้างว่าเป็นเจ้าของทรัพย์สินของกลางอุทธรณ์ฎีกาในเนื้อหาแห่งคดีได้อีก ก็ย่อมมีผลเท่ากับให้บุคคลดังกล่าวร้องขอทรัพย์สินของกลางคืนตาม ป.อ.มาตรา36 โดยปริยาย อันเป็นการฝ่าฝืน พ.ร.บ.มาตรการในการปราบปรามผู้กระทำความผิดเกี่ยวกับยาเสพติด พ.ศ. 2534 มาตรา 30 วรรคสาม ตอนท้ายที่ห้ามมิให้นำป.อ.มาตรา 36 มาใช้บังคับ เมื่อจำเลยที่ 1 ยังไม่ได้เข้ามาในกระบวนการที่กำหนดไว้ตามมาตรา 30 วรรคสอง จำเลยที่ 1 จึงอุทธรณ์ฎีกาในเนื้อหาแห่งคดีดังกล่าวไม่ได้
การดำเนินคดีขอริบทรัพย์สินในคดีนี้เป็นการดำเนินการตามพ.ร.บ.มาตรการในการปราบปรามผู้กระทำความผิดเกี่ยวกับยาเสพติด พ.ศ. 2534อันเป็นกระบวนการพิเศษ พ.ร.บ.ดังกล่าวกำหนดให้ศาลชั้นต้นดำเนินกระบวนพิจารณาแตกต่างไปจากการดำเนินกระบวนพิจารณาคดีอาญาทั่วไป กล่าวคือตามมาตรา 30วรรคสอง จะมีบุคคลซึ่งอาจอ้างว่าเป็นเจ้าของทรัพย์สินยื่นคำร้องขอเข้ามาในคดีเพื่อคัดค้านหรือไม่ก็ได้ ในกรณีที่ไม่มีผู้ใดอ้างตัวเป็นเจ้าของทรัพย์สินก่อนที่ศาลชั้นต้นมีคำพิพากษาหรือคำสั่ง มาตรา 30 วรรคสาม บัญญัติให้ศาลชั้นต้นสั่งริบทรัพย์สินได้เมื่อพ้นกำหนดสามสิบวันนับแต่วันแรกของวันประกาศในหนังสือพิมพ์รายวันตามมาตรา30 วรรคสอง ส่วนกรณีมีบุคคลซึ่งอาจอ้างว่าเป็นเจ้าของทรัพย์สินยื่นคำร้องขอเข้ามาในคดีเพื่อคัดค้านตามมาตรา 30 วรรคสอง บุคคลที่ยื่นคำร้องขอเข้ามาในคดีอาจจะเป็นจำเลยในคดีความผิดเกี่ยวกับยาเสพติดหรือบุคคลอื่นที่อยู่นอกคดีดังกล่าวก็ได้ บุคคลที่ยื่นคำร้องขอเข้ามาในคดีในกรณีนี้จึงไม่ได้เข้ามาในคดีในฐานะจำเลยในคดีความผิดเกี่ยวกับยาเสพติด แต่เข้ามาในฐานะอ้างว่าตนเป็นเจ้าของทรัพย์สิน การไต่สวนคำร้องของศาลชั้นต้นจึงไม่ใช่เป็นการดำเนินกระบวนพิจารณาคดีอาญาที่จำเลยที่ 1กับพวกถูกฟ้องเป็นจำเลยในคดีความผิดเกี่ยวกับยาเสพติด
การไต่สวนคำร้องที่ขอให้ริบทรัพย์สินในคดีความผิดเกี่ยวกับยาเสพติดที่จำเลยที่ 1 กับพวกถูกฟ้องเป็นจำเลยในความผิดฐานร่วมกันมีเฮโรอีนไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่าย ซึ่งมีอัตราโทษที่ศาลต้องตั้งทนายความให้จำเลยหากกรณีมีบุคคลเข้ามาในกระบวนการที่กำหนดไว้ใน พ.ร.บ.มาตรการในการปราบปรามผู้กระทำความผิดเกี่ยวกับยาเสพติด พ.ศ. 2534 มาตรา 30 วรรคสองและบุคคลดังกล่าวไม่มีทนายความ ก็ไม่อยู่ภายใต้บังคับของ ป.วิ.อ.มาตรา 173ที่ศาลจะต้องตั้งทนายความให้ก่อนเริ่มพิจารณา แม้จำเลยที่ 1 จะมาศาลในวันนัดไต่สวนคำร้องนัดแรก และในวันที่ศาลชั้นต้นอ่านคำสั่งก็ตาม เมื่อจำเลยที่ 1 ไม่ได้ยื่นคำร้องขอเข้ามาในคดีเพื่อคัดค้านก่อนศาลชั้นต้นมีคำพิพากษาหรือคำสั่งตามมาตรา30 วรรคสอง จึงถือไม่ได้ว่าจำเลยที่ 1 ได้เข้ามาในกระบวนการที่กำหนดไว้ในมาตรา 30 วรรคสอง การที่ศาลชั้นต้นไต่สวนคำร้องนัดแรกโดยไม่เลื่อนคดีไปนั้นชอบแล้ว
ที่จำเลยที่ 1 ฎีกาว่า ผู้ร้องไม่มีพยานหลักฐานมานำสืบให้เห็นว่าจำเลยที่ 1 ใช้รถยนต์ของกลางเข้าไปเกี่ยวข้องในความผิดที่จำเลยที่ 1 กับพวกถูกฟ้องเป็นจำเลยในความผิดเกี่ยวกับยาเสพติดโดยสมัครใจและมีส่วนได้เสียหรือไม่และคดีที่จำเลยที่ 1 กับพวกถูกฟ้องดังกล่าวยังไม่ถึงที่สุด ศาลจะสั่งริบรถยนต์ของกลางไม่ได้นั้น เท่ากับจำเลยที่ 1 ฎีกาในเนื้อหาแห่งคดีว่า จำเลยที่ 1 ไม่มีโอกาสทราบหรือไม่มีเหตุอันควรสงสัยว่าจะมีการกระทำความผิดในคดีที่จำเลยที่ 1 กับพวกถูกฟ้องข้อหามีเฮโรอีนไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่าย และจะมีการนำรถยนต์ของกลางไปใช้ในการกระทำความผิดหรือใช้เป็นอุปกรณ์ให้ได้รับผลในการกระทำความผิดตามพ.ร.บ.มาตรการในการปราบปรามผู้กระทำความผิดเกี่ยวกับยาเสพติด พ.ศ. 2534มาตรา 30 วรรคสาม หากข้อเท็จจริงเป็นดังที่จำเลยที่ 1 กล่าวอ้าง ก็มีผลให้ศาลไม่อาจสั่งริบรถยนต์ของกลางนั่นเอง การที่บุคคลใดจะพิสูจน์ว่าตนไม่มีโอกาสทราบหรือไม่มีเหตุอันควรสงสัยว่าจะมีการกระทำความผิด และจะมีการนำทรัพย์สินของกลางไปใช้ในการกระทำความผิด หรือได้ใช้เป็นอุปกรณ์ให้ได้รับผลในการกระทำความผิดตามมาตรา 30 วรรคสาม จะต้องเป็นผู้ที่เข้ามาในกระบวนการที่กำหนดไว้ในมาตรา 30 วรรคสองเสียก่อน คือต้องยื่นคำร้องขอคัดค้านเข้ามาในคดีก่อนศาลชั้นต้นมีคำพิพากษาหรือคำสั่ง เพราะมิฉะนั้นหากศาลชั้นต้นมีคำพิพากษาหรือคำสั่งแล้ว ยังให้ผู้ที่เป็นเจ้าของหรือที่อ้างว่าเป็นเจ้าของทรัพย์สินของกลางอุทธรณ์ฎีกาในเนื้อหาแห่งคดีได้อีก ก็ย่อมมีผลเท่ากับให้บุคคลดังกล่าวร้องขอทรัพย์สินของกลางคืนตาม ป.อ.มาตรา36 โดยปริยาย อันเป็นการฝ่าฝืน พ.ร.บ.มาตรการในการปราบปรามผู้กระทำความผิดเกี่ยวกับยาเสพติด พ.ศ. 2534 มาตรา 30 วรรคสาม ตอนท้ายที่ห้ามมิให้นำป.อ.มาตรา 36 มาใช้บังคับ เมื่อจำเลยที่ 1 ยังไม่ได้เข้ามาในกระบวนการที่กำหนดไว้ตามมาตรา 30 วรรคสอง จำเลยที่ 1 จึงอุทธรณ์ฎีกาในเนื้อหาแห่งคดีดังกล่าวไม่ได้
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1530/2543
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การเลื่อนคดีหลายครั้งโดยมีเหตุผลอันสมควร ศาลต้องพิจารณาเหตุผลประกอบการตัดสินว่าเป็นการประวิงคดีหรือไม่
โจทก์ฟ้องขอให้บังคับจำเลยทั้งสองมีทุนทรัพย์ถึง 2,560,462.57 บาท แม้จะปรากฏว่ามีการเลื่อนคดีติดต่อกัน ตั้งแต่นัดแรกจนถึงวันนัดสุดท้าย รวม 7 นัด เป็นเวลา 1 ปีเศษ แต่ทนายโจทก์ขอเลื่อนคดีเนื่องจากไม่มีพยานมาศาลในนัดที่สองเพียงนัดเดียว ส่วนนัดแรกเหตุเลื่อนคดีก็เนื่องมาจากทนายจำเลยที่ 1 และทนายจำเลยที่ 2 ขออนุญาตยื่นคำให้การส่วนวันนัดสืบพยานโจทก์ครั้งที่สาม ทนายโจทก์คนใหม่ติดว่าความที่ศาลอื่นซึ่งนับว่ามีเหตุจำเป็น เพราะทนายโจทก์คนใหม่เพิ่งได้รับการแต่งตั้ง การนัดความในวันดังกล่าวทนายโจทก์คนใหม่มิได้มีส่วนรับรู้ด้วย การเลื่อนคดีในนัดสืบพยานโจทก์ครั้งที่สี่ที่พยานโจทก์มาศาลก็เนื่องมาจากทนายจำเลยทั้งสองเพิ่งมาแถลงต่อศาลในวันนัดว่ายังไม่ได้รับสำเนาเอกสารบางฉบับซึ่งเป็นเอกสารสำคัญจากโจทก์หากไม่มีเหตุดังกล่าวก็คงจะมีการสืบพยานโจทก์ไปได้ ศาลชั้นต้นเห็นว่าการส่งสำเนาเอกสารยังไม่เรียบร้อยจึงให้เลื่อนคดีไป เมื่อถึงในวันนัดครั้งที่ห้าทนายโจทก์ขอถอนตัวเนื่องจาก มีความคิดเห็นไม่ตรงกับโจทก์และไม่สามารถตกลงกันเรื่องค่าทนายความได้ นัดนี้ทนายจำเลยที่ 2 ขอเลื่อนคดีเช่นกันโดยอ้างว่าติดว่าความที่ศาลอื่นและมีนัดที่ต่างจังหวัด การเลื่อนคดีในนัดนี้จึงไม่ใช่ความผิดของโจทก์ ส่วนวันนัดสืบพยานโจทก์ครั้งที่หก ซึ่งทนายโจทก์ขอเลื่อนคดีเนื่องจากเพิ่งได้รับการแต่งตั้งและยังไม่ได้รับเอกสารจากโจทก์ และวันนัดสืบพยานครั้งที่เจ็ดทนายโจทก์ขอเลื่อนคดีเนื่องจากเอกสารสัญญาเช่าซื้อและสัญญาค้ำประกันยังไม่ได้รับคืนจากทนายโจทก์คนเดิมและยังติดตามตัวทนายโจทก์คนเดิมไม่พบ กรณีดังกล่าวแม้จะนับได้ว่าเป็นความบกพร่องของ ทนายโจทก์ที่ไม่จัดเตรียมเอกสารให้เรียบร้อยก่อนวัดนัดก็ตาม แต่เมื่อเอกสารที่ต้องการใช้อยู่กับทนายโจทก์คนเดิม และเหตุที่ไม่ได้เอกสารมาก็เนื่องจากติดตามตัวทนายโจทก์คนเดิมไม่ได้ ตามข้อเท็จจริงดังกล่าวยังไม่พอฟังว่าโจทก์มีเจตนาประวิงคดีให้ล่าช้า
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1232/2543
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การขอเลื่อนคดีล้มละลายและการสืบพยานจำเลย ศาลมีสิทธิไม่อนุญาตเลื่อนคดีหากจำเลยไม่เตรียมพยาน
คดีล้มละลาย ในวันนัดสืบพยานโจทก์นัดแรก จำเลยไม่มาศาลศาลชั้นต้นสั่งว่าจำเลยขาดนัดพิจารณาและโจทก์นำพยานเข้าสืบในวันนัดแรกเพียงปากเดียวแล้วเลื่อนไปสืบพยานโจทก์ที่เหลือในนัดต่อไปการสืบพยานโจทก์จึงยังไม่เสร็จบริบูรณ์ ในนัดต่อมาทนายจำเลยมาศาลและได้ถามค้านพยานโจทก์ที่มาเบิกความ เมื่อโจทก์สืบพยานเสร็จทนายจำเลยขอสืบพยานตัวจำเลย ศาลชั้นต้นอนุญาตและนัดสืบพยานจำเลยต่อไปเช่นนี้ จำเลยนำพยานคือตัวจำเลยเข้าเบิกความได้เพราะจำเลยมาศาลเมื่อยังไม่พ้นเวลาที่จะนำพยานของตนเข้าสืบ และถือได้ว่าศาลชั้นต้นอนุญาตให้จำเลยที่ขาดนัดพิจารณาหักล้างพยานหลักฐานโจทก์ที่นำสืบภายหลังที่ตนมาศาลตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา 205 วรรคสาม (2) ประกอบพระราชบัญญัติล้มละลาย พ.ศ. 2483มาตรา 153 ดังนั้น ในวันนัดสืบพยานเมื่อจำเลยขอเลื่อนคดีและศาลชั้นต้นเห็นว่าการขอเลื่อนคดีไม่มีเหตุสมควรจึงไม่อนุญาตให้เลื่อนคดี ศาลชั้นต้นก็ต้องสั่งให้สืบพยานจำเลยในวันนั้น เพราะตัวจำเลยซึ่งอ้างตนเองเป็นพยานจำเลยได้มาศาล ศาลชั้นต้นจะถือว่าจำเลยไม่ได้เตรียมพยานมาพร้อมสืบตามที่ศาลชั้นต้นกำชับไว้ไม่ได้
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1232/2543 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การขอเลื่อนคดีซ้ำๆ และสิทธิในการสืบพยานหลังขาดนัดพิจารณาในคดีล้มละลาย
จำเลยขอเลื่อนคดีในการนัดสืบพยานจำเลยมา 2 ครั้ง แล้วซึ่งศาลอนุญาตให้เลื่อนคดีโดยกำชับให้จำเลยเตรียมพยานให้พร้อมสืบเมื่อถึงวันนัดทนายจำเลยก็ขอเลื่อนคดีอีก เมื่อไม่ปรากฏว่ามีเหตุจำเป็นอันมิอาจก้าวล่วงเสียได้และจำเลยมิได้แสดงให้เป็นที่พอใจของศาลว่าถ้าศาลไม่อนุญาตให้เลื่อนคดีต่อไปอีกจะทำให้เสียความยุติธรรมดังที่บัญญัติไว้ในประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 40 วรรคหนึ่ง ประกอบพระราชบัญญัติล้มละลาย พ.ศ. 2483มาตรา 153 ศาลชั้นต้นมีคำสั่งไม่อนุญาตให้เลื่อนคดี จึงชอบแล้ว
นัดสืบพยานโจทก์นัดแรก จำเลยไม่มาศาล ศาลชั้นต้นสั่งว่าจำเลยขาดนัดพิจารณาและโจทก์นำพยานเข้าสืบในวันนัดแรกเพียงปากเดียว แล้วเลื่อนไปสืบพยานโจทก์ที่เหลือในนัดต่อไปการสืบพยานโจทก์จึงยังไม่เสร็จบริบูรณ์ในนัดต่อมาทนายจำเลยมาศาลและได้ถามค้านพยานโจทก์ที่มาเบิกความ เมื่อโจทก์สืบพยานเสร็จทนายจำเลยขอสืบพยานตัวจำเลย ศาลชั้นต้นอนุญาตและนัดสืบพยานจำเลยต่อไป เช่นนี้ จำเลยนำพยานคือตัวจำเลยทั้งสองเข้าเบิกความได้เพราะจำเลยมาศาลเมื่อยังไม่พ้นเวลาที่จะนำพยานของตนเข้าสืบ และถือได้ว่าศาลชั้นต้นอนุญาตให้จำเลยที่ขาดนัดพิจารณาหักล้างพยานหลักฐานโจทก์ที่นำสืบภายหลังที่ตนมาศาลตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 205 วรรคสาม(2)(เดิม) ประกอบพระราชบัญญัติล้มละลาย พ.ศ. 2483 มาตรา 153ดังนั้น ในวันนัดสืบพยานจำเลย เมื่อจำเลยขอเลื่อนคดีและศาลชั้นต้นเห็นว่าการขอเลื่อนคดีไม่มีเหตุสมควร ศาลชั้นต้นก็ต้องสั่งให้สืบตัวจำเลยในวันนั้น เพราะตัวจำเลยซึ่งอ้างตนเองเป็นพยานจำเลยได้มาศาลศาลชั้นต้นจะถือว่าจำเลยไม่ได้เตรียมพยานมาพร้อมสืบตามที่ศาลชั้นต้นกำชับไว้ไม่ได้
นัดสืบพยานโจทก์นัดแรก จำเลยไม่มาศาล ศาลชั้นต้นสั่งว่าจำเลยขาดนัดพิจารณาและโจทก์นำพยานเข้าสืบในวันนัดแรกเพียงปากเดียว แล้วเลื่อนไปสืบพยานโจทก์ที่เหลือในนัดต่อไปการสืบพยานโจทก์จึงยังไม่เสร็จบริบูรณ์ในนัดต่อมาทนายจำเลยมาศาลและได้ถามค้านพยานโจทก์ที่มาเบิกความ เมื่อโจทก์สืบพยานเสร็จทนายจำเลยขอสืบพยานตัวจำเลย ศาลชั้นต้นอนุญาตและนัดสืบพยานจำเลยต่อไป เช่นนี้ จำเลยนำพยานคือตัวจำเลยทั้งสองเข้าเบิกความได้เพราะจำเลยมาศาลเมื่อยังไม่พ้นเวลาที่จะนำพยานของตนเข้าสืบ และถือได้ว่าศาลชั้นต้นอนุญาตให้จำเลยที่ขาดนัดพิจารณาหักล้างพยานหลักฐานโจทก์ที่นำสืบภายหลังที่ตนมาศาลตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 205 วรรคสาม(2)(เดิม) ประกอบพระราชบัญญัติล้มละลาย พ.ศ. 2483 มาตรา 153ดังนั้น ในวันนัดสืบพยานจำเลย เมื่อจำเลยขอเลื่อนคดีและศาลชั้นต้นเห็นว่าการขอเลื่อนคดีไม่มีเหตุสมควร ศาลชั้นต้นก็ต้องสั่งให้สืบตัวจำเลยในวันนั้น เพราะตัวจำเลยซึ่งอ้างตนเองเป็นพยานจำเลยได้มาศาลศาลชั้นต้นจะถือว่าจำเลยไม่ได้เตรียมพยานมาพร้อมสืบตามที่ศาลชั้นต้นกำชับไว้ไม่ได้
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1232/2543 เวอร์ชัน 3 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การขอเลื่อนคดีและการสืบพยานจำเลยหลังขาดนัด: ศาลชอบที่จะไม่เลื่อนและให้สืบพยานได้
จำเลยขอเลื่อนคดีในการนัดสืบพยานจำเลยมา 2 ครั้ง แล้ว ซึ่งศาลอนุญาตให้เลื่อนคดีโดยกำชับให้จำเลยเตรียมพยานให้พร้อมสืบ เมื่อถึงวันนัดทนายจำเลยก็ขอเลื่อนคดีอีก เมื่อไม่ปรากฏว่ามีเหตุจำเป็นอันมิอาจก้าวล่วงเสียได้และจำเลยมิได้แสดงให้เป็นที่พอใจของศาลว่าถ้าศาลไม่อนุญาตให้เลื่อนคดีต่อไปอีกจะทำให้เสียความยุติธรรมดังที่บัญญัติไว้ใน ป.วิ.พ.มาตรา 40 วรรคหนึ่ง ประกอบพ.ร.บ.ล้มละลาย พ.ศ.2483 มาตรา 153 ศาลชั้นต้นมีคำสั่งไม่อนุญาตให้เลื่อนคดีจึงชอบแล้ว
นัดสืบพยานโจทก์นัดแรก จำเลยไม่มาศาล ศาลชั้นต้นสั่งว่าจำเลยขาดนัดพิจารณาและโจทก์นำพยานเข้าสืบในวันนัดแรกเพียงปากเดียว แล้วเลื่อนไปสืบพยานโจทก์ที่เหลือในนัดต่อไป การสืบพยานโจทก์จึงยังไม่เสร็จบริบูรณ์ในนัดต่อมาทนายจำเลยมาศาลและได้ถามค้านพยานโจทก์ที่มาเบิกความ เมื่อโจทก์สืบพยานเสร็จทนายจำเลยขอสืบพยานตัวจำเลย ศาลชั้นต้นอนุญาตและนัดสืบพยานจำเลยต่อไป เช่นนี้ จำเลยนำพยานคือตัวจำเลยทั้งสองเข้าเบิกความได้เพราะจำเลยมาศาลเมื่อยังไม่พ้นเวลาที่จะนำพยานของตนเข้าสืบ และถือได้ว่าศาลชั้นต้นอนุญาตให้จำเลยที่ขาดนัดพิจารณาหักล้างพยานหลักฐานโจทก์ที่นำสืบภายหลังที่ตนมาศาลตาม ป.วิ.พ.มาตรา 205 วรรคสาม (2) (เดิม) ประกอบ พ.ร.บ.ล้มละลายพ.ศ.2483 มาตรา 153 ดังนั้น ในวันนัดสืบพยานจำเลย เมื่อจำเลยขอเลื่อนคดีและศาลชั้นต้นเห็นว่าการขอเลื่อนคดีไม่มีเหตุสมควร ศาลชั้นต้นก็ต้องสั่งให้สืบตัวจำเลยในวันนั้น เพราะตัวจำเลยซึ่งอ้างตนเองเป็นพยานจำเลยได้มาศาล ศาลชั้นต้นจะถือว่าจำเลยไม่ได้เตรียมพยานมาพร้อมสืบตามที่ศาลชั้นต้นกำชับไว้ไม่ได้
นัดสืบพยานโจทก์นัดแรก จำเลยไม่มาศาล ศาลชั้นต้นสั่งว่าจำเลยขาดนัดพิจารณาและโจทก์นำพยานเข้าสืบในวันนัดแรกเพียงปากเดียว แล้วเลื่อนไปสืบพยานโจทก์ที่เหลือในนัดต่อไป การสืบพยานโจทก์จึงยังไม่เสร็จบริบูรณ์ในนัดต่อมาทนายจำเลยมาศาลและได้ถามค้านพยานโจทก์ที่มาเบิกความ เมื่อโจทก์สืบพยานเสร็จทนายจำเลยขอสืบพยานตัวจำเลย ศาลชั้นต้นอนุญาตและนัดสืบพยานจำเลยต่อไป เช่นนี้ จำเลยนำพยานคือตัวจำเลยทั้งสองเข้าเบิกความได้เพราะจำเลยมาศาลเมื่อยังไม่พ้นเวลาที่จะนำพยานของตนเข้าสืบ และถือได้ว่าศาลชั้นต้นอนุญาตให้จำเลยที่ขาดนัดพิจารณาหักล้างพยานหลักฐานโจทก์ที่นำสืบภายหลังที่ตนมาศาลตาม ป.วิ.พ.มาตรา 205 วรรคสาม (2) (เดิม) ประกอบ พ.ร.บ.ล้มละลายพ.ศ.2483 มาตรา 153 ดังนั้น ในวันนัดสืบพยานจำเลย เมื่อจำเลยขอเลื่อนคดีและศาลชั้นต้นเห็นว่าการขอเลื่อนคดีไม่มีเหตุสมควร ศาลชั้นต้นก็ต้องสั่งให้สืบตัวจำเลยในวันนั้น เพราะตัวจำเลยซึ่งอ้างตนเองเป็นพยานจำเลยได้มาศาล ศาลชั้นต้นจะถือว่าจำเลยไม่ได้เตรียมพยานมาพร้อมสืบตามที่ศาลชั้นต้นกำชับไว้ไม่ได้
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1186/2543 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การขอเลื่อนคดีซ้ำๆ โดยไม่แสดงเหตุผลที่สมควร ศาลชอบที่จะไม่อนุญาตและงดสืบพยาน
++ เรื่อง ประนีประนอมยอมความ ค้ำประกัน ++
++ (ชั้นฎีกาคำสั่งที่ไม่ให้เลื่อนคดี)
++ ทดสอบการทำงานในระบบ CW เพื่อค้นหาข้อมูลทาง online ++
++ ย่อข้อกฎหมายอย่างไม่เป็นทางการ
++ พิมพ์จากสำเนาชุดพิเศษ ++
++
++
++ จำเลยทั้งสามได้ขอเลื่อนคดีโดยอ้างเหตุว่าทนายจำเลยป่วยบ้างจำเลยที่ 2 ซึ่งจะมาเบิกความเป็นพยานป่วยบ้าง ติดต่อกับพยานที่จะมาเบิกความไม่ได้บ้าง รวมแล้วจำเลยทั้งสามขอเลื่อนคดีและศาลชั้นต้นอนุญาตมาแล้วถึง 4 ครั้งครั้งสุดท้ายทนายจำเลยขอเลื่อนคดีโดยแถลงรับรองว่าในนัดหน้าจะนำพยานมาสืบให้ได้หากถึงวันนัดไม่มีพยานมาศาลจำเลยทั้งสามไม่ติดใจสืบพยาน ศาลชั้นต้นมีคำสั่งอนุญาตให้เลื่อนคดีโดยได้กำชับทนายจำเลยว่า ถึงวันนัดหากไม่มีพยานมาสืบถือว่าจำเลยทั้งสามไม่ติดใจสืบพยาน แต่ทนายจำเลยก็ขอเลื่อนคดีอีกและไม่ปรากฏว่ามีพยานจำเลยมาศาลที่ทนายจำเลยกล่าวอ้างว่า พยานจำเลยมาศาลนั้นก็ไม่ปรากฏในรายงานกระบวนพิจารณาของศาลชั้นต้น พฤติการณ์เช่นนี้เป็นการไม่นำพาต่อกำหนดนัดของศาล เป็นการประวิงคดี ประกอบกับในคำร้องขอเลื่อนคดีของทนายจำเลยอ้างเหตุว่าทนายจำเลยป่วยท้องเสียกะทันหัน ไม่สามารถจะมาศาลได้ จึงขอเลื่อนการพิจารณาเพื่อประโยชน์แห่งความยุติธรรม จำเลยทั้งสามขอเลื่อนคดีเป็นครั้งที่ 5 ถึงแม้ทนายโจทก์ไม่ได้คัดค้านว่าทนายจำเลยไม่ป่วยจริงและปรากฏตามใบรับรองแพทย์ซึ่งยื่นในภายหลังตามเอกสารท้ายคำร้องของจำเลยทั้งสามว่าทนายจำเลยป่วย แม้ข้อเท็จจริงฟังได้ว่าทนายจำเลยป่วยจริงซึ่งเป็นเหตุจำเป็นอันไม่อาจก้าวล่วงเสียได้ แต่คำร้องขอเลื่อนคดีระบุเพียงว่าขอเลื่อนคดีเพื่อประโยชน์แห่งความยุติธรรมโดยไม่ได้แสดงให้เห็นอย่างชัดแจ้งในคำร้องว่าหากศาลไม่อนุญาตให้เลื่อนคดีแล้วจะทำให้เสียความยุติธรรมอย่างไรเป็นกรณีที่จำเลยทั้งสามไม่ได้แสดงให้เป็นที่พอใจของศาลได้ว่าถ้าศาลไม่อนุญาตให้เลื่อนคดีจะทำให้เสียความยุติธรรม จึงไม่ชอบด้วย ป.วิ.พ.มาตรา 40 วรรคหนึ่งศาลชั้นต้นไม่อนุญาตให้จำเลยทั้งสามเลื่อนคดีและมีคำสั่งงดสืบพยานจำเลยชอบแล้ว
++ (ชั้นฎีกาคำสั่งที่ไม่ให้เลื่อนคดี)
++ ทดสอบการทำงานในระบบ CW เพื่อค้นหาข้อมูลทาง online ++
++ ย่อข้อกฎหมายอย่างไม่เป็นทางการ
++ พิมพ์จากสำเนาชุดพิเศษ ++
++
++
++ จำเลยทั้งสามได้ขอเลื่อนคดีโดยอ้างเหตุว่าทนายจำเลยป่วยบ้างจำเลยที่ 2 ซึ่งจะมาเบิกความเป็นพยานป่วยบ้าง ติดต่อกับพยานที่จะมาเบิกความไม่ได้บ้าง รวมแล้วจำเลยทั้งสามขอเลื่อนคดีและศาลชั้นต้นอนุญาตมาแล้วถึง 4 ครั้งครั้งสุดท้ายทนายจำเลยขอเลื่อนคดีโดยแถลงรับรองว่าในนัดหน้าจะนำพยานมาสืบให้ได้หากถึงวันนัดไม่มีพยานมาศาลจำเลยทั้งสามไม่ติดใจสืบพยาน ศาลชั้นต้นมีคำสั่งอนุญาตให้เลื่อนคดีโดยได้กำชับทนายจำเลยว่า ถึงวันนัดหากไม่มีพยานมาสืบถือว่าจำเลยทั้งสามไม่ติดใจสืบพยาน แต่ทนายจำเลยก็ขอเลื่อนคดีอีกและไม่ปรากฏว่ามีพยานจำเลยมาศาลที่ทนายจำเลยกล่าวอ้างว่า พยานจำเลยมาศาลนั้นก็ไม่ปรากฏในรายงานกระบวนพิจารณาของศาลชั้นต้น พฤติการณ์เช่นนี้เป็นการไม่นำพาต่อกำหนดนัดของศาล เป็นการประวิงคดี ประกอบกับในคำร้องขอเลื่อนคดีของทนายจำเลยอ้างเหตุว่าทนายจำเลยป่วยท้องเสียกะทันหัน ไม่สามารถจะมาศาลได้ จึงขอเลื่อนการพิจารณาเพื่อประโยชน์แห่งความยุติธรรม จำเลยทั้งสามขอเลื่อนคดีเป็นครั้งที่ 5 ถึงแม้ทนายโจทก์ไม่ได้คัดค้านว่าทนายจำเลยไม่ป่วยจริงและปรากฏตามใบรับรองแพทย์ซึ่งยื่นในภายหลังตามเอกสารท้ายคำร้องของจำเลยทั้งสามว่าทนายจำเลยป่วย แม้ข้อเท็จจริงฟังได้ว่าทนายจำเลยป่วยจริงซึ่งเป็นเหตุจำเป็นอันไม่อาจก้าวล่วงเสียได้ แต่คำร้องขอเลื่อนคดีระบุเพียงว่าขอเลื่อนคดีเพื่อประโยชน์แห่งความยุติธรรมโดยไม่ได้แสดงให้เห็นอย่างชัดแจ้งในคำร้องว่าหากศาลไม่อนุญาตให้เลื่อนคดีแล้วจะทำให้เสียความยุติธรรมอย่างไรเป็นกรณีที่จำเลยทั้งสามไม่ได้แสดงให้เป็นที่พอใจของศาลได้ว่าถ้าศาลไม่อนุญาตให้เลื่อนคดีจะทำให้เสียความยุติธรรม จึงไม่ชอบด้วย ป.วิ.พ.มาตรา 40 วรรคหนึ่งศาลชั้นต้นไม่อนุญาตให้จำเลยทั้งสามเลื่อนคดีและมีคำสั่งงดสืบพยานจำเลยชอบแล้ว
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1186/2543
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การขอเลื่อนคดีซ้ำๆ โดยไม่มีเหตุผลอันสมควร และการไม่นำพาต่อกำหนดนัดของศาล เป็นเหตุให้ศาลสั่งงดสืบพยานได้
จำเลยทั้งสามได้ขอเลื่อนคดีโดยอ้างเหตุว่าทนายจำเลยป่วยบ้างจำเลยที่ 2 ซึ่งจะมาเบิกความเป็นพยานป่วยบ้าง ติดต่อกับพยานที่จะมาเบิกความไม่ได้บ้าง รวมแล้วจำเลยทั้งสามขอเลื่อนคดีและศาลชั้นต้นอนุญาตมาแล้วถึง 4 ครั้ง ครั้งสุดท้ายทนายจำเลยขอเลื่อนคดีโดยแถลงรับรองว่าในนัดหน้าจะนำพยานมาสืบให้ได้ หากถึงวันนัดไม่มีพยานมาศาลจำเลยทั้งสามไม่ติดใจสืบพยาน ศาลชั้นต้นมีคำสั่งอนุญาตให้เลื่อนคดีโดยได้กำชับทนายจำเลยว่า ถึงวันนัดหากไม่มีพยานมาสืบถือว่าจำเลยทั้งสามไม่ติดใจสืบพยาน แต่ทนายจำเลยก็ขอเลื่อนคดีอีกและไม่ปรากฏว่ามีพยานจำเลยมาศาลที่ทนายจำเลยกล่าวอ้างว่า พยานจำเลยมาศาลนั้นก็ไม่ปรากฏในรายงานกระบวนพิจารณาของศาลชั้นต้น พฤติการณ์เช่นนี้เป็นการไม่นำพาต่อกำหนดนัดของศาล เป็นการประวิงคดี ประกอบกับในคำร้องขอเลื่อนคดีของทนายจำเลยอ้างเหตุว่าทนายจำเลยป่วยท้องเสียกะทันหัน ไม่สามารถจะมาศาลได้ จึงขอเลื่อนการพิจารณาเพื่อประโยชน์แห่งความยุติธรรม จำเลยทั้งสามขอเลื่อนคดีเป็นครั้งที่ 5 ถึงแม้ทนายโจทก์ไม่ได้คัดค้านว่าทนายจำเลยไม่ป่วยจริงและปรากฏตามใบรับรองแพทย์ซึ่งยื่นในภายหลังตามเอกสารท้ายคำร้องของจำเลยทั้งสามว่าทนายจำเลยป่วย แม้ข้อเท็จจริงฟังได้ว่าทนายจำเลยป่วยจริงซึ่งเป็นเหตุจำเป็นอันไม่อาจก้าวล่วงเสียได้ แต่คำร้องขอเลื่อนคดีระบุเพียงว่า ขอเลื่อนคดีเพื่อประโยชน์แห่งความยุติธรรมโดยไม่ได้แสดงให้เห็นอย่างชัดแจ้งในคำร้องว่าหากศาลไม่อนุญาตให้เลื่อนคดีแล้วจะทำให้เสียความยุติธรรมอย่างไร เป็นกรณีที่จำเลยทั้งสามไม่ได้แสดงให้เป็นที่พอใจของศาลได้ว่าถ้าศาลไม่อนุญาตให้เลื่อนคดีจะทำให้เสียความยุติธรรม จึงไม่ชอบด้วยประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 40 วรรคหนึ่ง ศาลชั้นต้นไม่อนุญาตให้จำเลยทั้งสามเลื่อนคดีและมีคำสั่งงดสืบพยานจำเลยชอบแล้ว
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 831/2543
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การประวิงคดีและการใช้ดุลพินิจศาลในการงดสืบพยาน กรณีจำเลยไม่ปฏิบัติตามคำสั่งศาลและไม่มีเหตุจำเป็นในการขอเลื่อนคดี
จำเลยเคยยื่นคำร้องต่อศาลชั้นต้นขอให้ออกหมายเรียกพยานปาก อ. และ น. กรรมการของโจทก์มาครั้งหนึ่งแล้ว ศาลชั้นต้นสั่งให้จำเลยแถลงศาลก่อนว่า พยานที่ขอออกหมายเรียกที่ประสงค์จะนำสืบข้อเท็จจริงอันเกี่ยวกับประเด็นแห่งคดีอย่างไรแล้วจะพิจารณาสั่งต่อไป แต่จำเลยก็ไม่ได้แถลงถึงเหตุที่ต้องขอหมายเรียกพยานดังกล่าวให้ศาลชั้นต้นทราบ จนถึงวันนัดสืบพยานจำเลยนัดแรก จำเลยขอเลื่อนคดีอ้างเหตุที่ศาลชั้นต้นไม่อนุญาตให้ออกหมายเรียก อ. และ น. มาเป็นพยานจำเลย และจำเลยไม่ได้เตรียมพยานอื่นมา ซึ่งศาลชั้นต้นก็อนุญาตให้จำเลยเลื่อนคดีโดยกำชับว่าให้จำเลยเตรียมพยานมาให้พร้อมสืบตามนัด เนื่องจากศาลเลื่อนคดีไปเป็นระยะเวลานานเกือบ 3 เดือน หากในวันนัดไม่สามารถนำพยานอื่นมาสืบได้ก็ให้นำตัวจำเลยเข้าสืบก่อน แต่ครั้นถึงกำหนดจำเลยก็ยื่นคำร้องขอเลื่อนคดีอีกอ้างเหตุว่าประสงค์จะนำ อ. เข้าสืบเป็นพยานจำเลยปากแรกเกี่ยวกับประเด็นเรื่องอำนาจฟ้อง แต่เกิดเหตุขัดข้องในด้านธุรการศาล เจ้าหน้าที่ศาลไม่สามารถนำหมายเรียกพยานบุคคลดังกล่าวมาให้ทนายจำเลยได้ และไม่มีพยานอื่นของจำเลยมาศาล พฤติการณ์ของจำเลยดังกล่าวเป็นการประวิงคดี
ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 40 วรรคหนึ่ง มีเจตนารมณ์จะให้ศาลดำเนินกระบวนพิจารณาโดยมิชักช้า การเลื่อนคดีก็อนุญาตให้เลื่อนได้เพียงครั้งเดียว คู่ความที่ได้รับอนุญาตให้เลื่อนคดีไปแล้ว จะขอเลื่อนคดีอีกได้ก็ต่อเมื่อเข้าข้อยกเว้น คือมีเหตุจำเป็นอันไม่อาจก้าวล่วงเสียได้ เมื่อการขอเลื่อนคดี ตามคำร้อง และคำแถลงของทนายจำเลยต่อศาลชั้นต้นไม่มีเหตุจำเป็นอันมิอาจก้าวล่วงได้ ทั้งมิได้แสดงให้เป็นที่พอใจของศาลชั้นต้นว่า ถ้าศาลไม่อนุญาตให้เลื่อนคดีต่อไปอีกจะทำให้เสียความยุติธรรม พฤติการณ์จึงเป็นการประวิงคดี ชอบที่ศาลชั้นต้นให้งดสืบพยานจำเลย โดยไม่อนุญาตให้เลื่อนคดีต่อไป และเมื่อศาลชั้นต้นมีคำสั่งว่า ให้งดสืบพยานจำเลยทั้งสอง คดีเป็นอันเสร็จการพิจารณากำหนดนัดฟังคำพิพากษา จึงมีความหมายในตัวว่ากำหนดนัดสืบพยานจำเลยที่เหลือล่วงหน้าเป็นอันยกเลิกไปในตัว ศาลชั้นต้นหาจำต้องสั่งยกเลิกวันนัดสืบพยานจำเลยทั้งสองอีกไม่ กรณีมิใช่การดำเนินกระบวนพิจารณาที่ผิดระเบียบ จึงไม่มีเหตุที่จะเพิกถอนตามที่บัญญัติไว้ในประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 27 ได้
จำเลยไม่ได้ให้การต่อสู้ว่า อ. ไม่ใช่กรรมการผู้มีสิทธิมอบอำนาจกระทำการแทนโจทก์ หรือลายมือชื่อผู้มอบอำนาจเป็นลายมือชื่อปลอม อันมีเหตุอันควรสงสัยว่าใบมอบอำนาจนั้นไม่ใช่ใบมอบอำนาจที่แท้จริง ที่จะนำเข้าสู่ประเด็นการวินิจฉัยเรื่องอำนาจฟ้องของโจทก์ และข้อต่อสู้ของจำเลยเกี่ยวกับใบมอบอำนาจในเรื่องวันที่ สถานที่ ที่ทำใบมอบอำนาจ และผู้รับมอบอำนาจผู้รับมอบอำนาจ และพยานร่วมกันลงชื่อตามวันและสถานที่ตามใบมอบอำนาจหรือไม่ ยังไม่เป็นเหตุที่จะทำให้ใบมอบอำนาจไม่สมบูรณ์และไม่มีผลใช้บังคับได้ตามกฎหมาย ที่ศาลชั้นต้นวินิจฉัยว่า ที่จำเลยขอหมายเรียก อ. มาเบิกความเป็นพยานจำเลยในเรื่องอำนาจฟ้องเป็นพยานที่ไม่เกี่ยวกับประเด็นสำคัญในคดี จึงงดสืบพยานดังกล่าวเป็นการใช้ดุลพินิจที่ชอบตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 86 วรรคสอง และมาตรา 104 แล้ว
คำร้องขอเลื่อนคดีของจำเลยไม่ได้กล่าวถึงเหตุที่จำเลยมาศาลไม่ได้ในวันนัดสืบพยานจำเลย เมื่อศาลชั้นต้นสอบถามทนายจำเลยถึงการไม่นำตัวจำเลยมาเบิกความเป็นพยาน ทนายจำเลยแถลงเพียงว่า จำเลยติดธุระสำคัญไม่อาจมาศาลได้เท่านั้น ถือได้ว่าข้อเท็จจริงปรากฏต่อศาลชั้นต้นแล้วว่า คำร้องขอเลื่อนคดีและคำแถลงของทนายจำเลยไม่มีเหตุจำเป็นอันไม่อาจก้าวล่วงได้และไม่แสดงให้เป็นที่พอใจของศาลว่าถ้าศาลไม่อนุญาตให้เลื่อนคดีต่อไปอีก จะทำให้เสียความยุติธรรม ประกอบกับศาลชั้นต้นได้กำชับให้นำตัวจำเลยเข้าเบิกความ หากไม่มีพยานอื่นของจำเลยมาศาลในนัดก่อนหน้านี้แล้ว ศาลชั้นต้นหาจำต้องไต่สวนคำร้องขอเลื่อนคดีของจำเลยอีกแต่อย่างใดไม่
ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 40 วรรคหนึ่ง มีเจตนารมณ์จะให้ศาลดำเนินกระบวนพิจารณาโดยมิชักช้า การเลื่อนคดีก็อนุญาตให้เลื่อนได้เพียงครั้งเดียว คู่ความที่ได้รับอนุญาตให้เลื่อนคดีไปแล้ว จะขอเลื่อนคดีอีกได้ก็ต่อเมื่อเข้าข้อยกเว้น คือมีเหตุจำเป็นอันไม่อาจก้าวล่วงเสียได้ เมื่อการขอเลื่อนคดี ตามคำร้อง และคำแถลงของทนายจำเลยต่อศาลชั้นต้นไม่มีเหตุจำเป็นอันมิอาจก้าวล่วงได้ ทั้งมิได้แสดงให้เป็นที่พอใจของศาลชั้นต้นว่า ถ้าศาลไม่อนุญาตให้เลื่อนคดีต่อไปอีกจะทำให้เสียความยุติธรรม พฤติการณ์จึงเป็นการประวิงคดี ชอบที่ศาลชั้นต้นให้งดสืบพยานจำเลย โดยไม่อนุญาตให้เลื่อนคดีต่อไป และเมื่อศาลชั้นต้นมีคำสั่งว่า ให้งดสืบพยานจำเลยทั้งสอง คดีเป็นอันเสร็จการพิจารณากำหนดนัดฟังคำพิพากษา จึงมีความหมายในตัวว่ากำหนดนัดสืบพยานจำเลยที่เหลือล่วงหน้าเป็นอันยกเลิกไปในตัว ศาลชั้นต้นหาจำต้องสั่งยกเลิกวันนัดสืบพยานจำเลยทั้งสองอีกไม่ กรณีมิใช่การดำเนินกระบวนพิจารณาที่ผิดระเบียบ จึงไม่มีเหตุที่จะเพิกถอนตามที่บัญญัติไว้ในประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 27 ได้
จำเลยไม่ได้ให้การต่อสู้ว่า อ. ไม่ใช่กรรมการผู้มีสิทธิมอบอำนาจกระทำการแทนโจทก์ หรือลายมือชื่อผู้มอบอำนาจเป็นลายมือชื่อปลอม อันมีเหตุอันควรสงสัยว่าใบมอบอำนาจนั้นไม่ใช่ใบมอบอำนาจที่แท้จริง ที่จะนำเข้าสู่ประเด็นการวินิจฉัยเรื่องอำนาจฟ้องของโจทก์ และข้อต่อสู้ของจำเลยเกี่ยวกับใบมอบอำนาจในเรื่องวันที่ สถานที่ ที่ทำใบมอบอำนาจ และผู้รับมอบอำนาจผู้รับมอบอำนาจ และพยานร่วมกันลงชื่อตามวันและสถานที่ตามใบมอบอำนาจหรือไม่ ยังไม่เป็นเหตุที่จะทำให้ใบมอบอำนาจไม่สมบูรณ์และไม่มีผลใช้บังคับได้ตามกฎหมาย ที่ศาลชั้นต้นวินิจฉัยว่า ที่จำเลยขอหมายเรียก อ. มาเบิกความเป็นพยานจำเลยในเรื่องอำนาจฟ้องเป็นพยานที่ไม่เกี่ยวกับประเด็นสำคัญในคดี จึงงดสืบพยานดังกล่าวเป็นการใช้ดุลพินิจที่ชอบตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 86 วรรคสอง และมาตรา 104 แล้ว
คำร้องขอเลื่อนคดีของจำเลยไม่ได้กล่าวถึงเหตุที่จำเลยมาศาลไม่ได้ในวันนัดสืบพยานจำเลย เมื่อศาลชั้นต้นสอบถามทนายจำเลยถึงการไม่นำตัวจำเลยมาเบิกความเป็นพยาน ทนายจำเลยแถลงเพียงว่า จำเลยติดธุระสำคัญไม่อาจมาศาลได้เท่านั้น ถือได้ว่าข้อเท็จจริงปรากฏต่อศาลชั้นต้นแล้วว่า คำร้องขอเลื่อนคดีและคำแถลงของทนายจำเลยไม่มีเหตุจำเป็นอันไม่อาจก้าวล่วงได้และไม่แสดงให้เป็นที่พอใจของศาลว่าถ้าศาลไม่อนุญาตให้เลื่อนคดีต่อไปอีก จะทำให้เสียความยุติธรรม ประกอบกับศาลชั้นต้นได้กำชับให้นำตัวจำเลยเข้าเบิกความ หากไม่มีพยานอื่นของจำเลยมาศาลในนัดก่อนหน้านี้แล้ว ศาลชั้นต้นหาจำต้องไต่สวนคำร้องขอเลื่อนคดีของจำเลยอีกแต่อย่างใดไม่
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 831/2543 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การประวิงคดีและการใช้ดุลพินิจของศาลในการงดสืบพยานที่ไม่เกี่ยวข้องกับประเด็นสำคัญ
จำเลยเคยยื่นคำร้องต่อศาลชั้นต้นขอให้ออกหมายเรียกพยานปากอ.และ น.กรรมการของโจทก์มาครั้งหนึ่งแล้ว ศาลชั้นต้นสั่งให้จำเลยแถลงศาลก่อนว่าพยานที่ขอออกหมายเรียกที่ประสงค์จะนำสืบข้อเท็จจริงอันเกี่ยวกับประเด็นแห่งคดีอย่างไรแล้วจะพิจารณาสั่งต่อไป แต่จำเลยก็ไม่ได้แถลงถึงเหตุที่ต้องขอหมายเรียกพยานดังกล่าวให้ศาลชั้นต้นทราบ จนถึงวันนัดสืบพยานจำเลยนัดแรก จำเลยขอเลื่อนคดีอ้างเหตุที่ศาลชั้นต้นไม่อนุญาตให้ออกหมายเรียก อ.และ น.มาเป็นพยานจำเลย และจำเลยไม่ได้เตรียมพยานอื่นมา ซึ่งศาลชั้นต้นก็อนุญาตให้จำเลยเลื่อนคดีโดยกำชับว่าให้จำเลยเตรียมพยานมาให้พร้อมสืบตามนัด เนื่องจากศาลเลื่อนคดีไปเป็นระยะเวลานานเกือบ 3 เดือน หากในวันนัดไม่สามารถนำพยานอื่นมาสืบได้ก็ให้นำตัวจำเลยเข้าสืบก่อน แต่ครั้นถึงกำหนด จำเลยก็ยื่นคำร้องขอเลื่อนคดีอีกอ้างเหตุว่าประสงค์จะนำ อ.เข้าสืบเป็นพยานจำเลยปากแรกเกี่ยวกับประเด็นเรื่องอำนาจฟ้อง แต่เกิดเหตุขัดข้องในด้านธุรการศาล เจ้าหน้าที่ศาลไม่สามารถนำหมายเรียกพยานบุคคลดังกล่าวมาให้ทนายจำเลยได้ และไม่มีพยานอื่นของจำเลยมาศาล พฤติการณ์ของจำเลยดังกล่าวเป็นการประวิงคดี
ป.วิ.พ.มาตรา 40 วรรคหนึ่ง มีเจตนารมณ์จะให้ศาลดำเนินกระบวนพิจารณาโดยมิชักช้า การเลื่อนคดีก็อนุญาตให้เลื่อนได้เพียงครั้งเดียว คู่ความที่ได้รับอนุญาตให้เลื่อนคดีไปแล้ว จะขอเลื่อนคดีอีกได้ก็ต่อเมื่อเข้าข้อยกเว้น คือมีเหตุจำเป็นอันไม่อาจก้าวล่วงเสียได้ เมื่อการขอเลื่อนคดี ตามคำร้อง และคำแถลงของทนายจำเลยต่อศาลชั้นต้นไม่มีเหตุจำเป็นอันมิอาจก้าวล่วงได้ ทั้งมิได้แสดงให้เป็นที่พอใจของศาลชั้นต้นว่า ถ้าศาลไม่อนุญาตให้เลื่อนคดีต่อไปอีกจะทำให้เสียความยุติธรรม พฤติการณ์จึงเป็นการประวิงคดี ชอบที่ศาลชั้นต้นให้งดสืบพยานจำเลยโดยไม่อนุญาตให้เลื่อนคดีต่อไป และเมื่อศาลชั้นต้นมีคำสั่งว่า ให้งดสืบพยานจำเลยทั้งสอง คดีเป็นอันเสร็จการพิจารณากำหนดนัดฟังคำพิพากษา จึงมีความหมายในตัวว่ากำหนดนัดสืบพยานจำเลยที่เหลือล่วงหน้าเป็นอันยกเลิกไปในตัว ศาลชั้นต้นหาจำต้องสั่งยกเลิกวันนัดสืบพยานจำเลยทั้งสองอีกไม่ กรณีมิใช่การดำเนินกระบวนพิจารณาที่ผิดระเบียบ จึงไม่มีเหตุที่จะเพิกถอนตามที่บัญญัติไว้ใน ป.วิ.พ.มาตรา 27ได้
จำเลยไม่ได้ให้การต่อสู้ว่า อ.ไม่ใช่กรรมการผู้มีสิทธิมอบอำนาจกระทำการแทนโจทก์ หรือลายมือชื่อผู้มอบอำนาจเป็นลายมือชื่อปลอม อันมีเหตุอันควรสงสัยว่าใบมอบอำนาจนั้นไม่ใช่ใบมอบอำนาจที่แท้จริง ที่จะนำเข้าสู่ประเด็นการวินิจฉัยเรื่องอำนาจฟ้องของโจทก์ และข้อต่อสู้ของจำเลยเกี่ยวกับใบมอบอำนาจในเรื่องวันที่ สถานที่ ที่ทำใบมอบอำนาจ และผู้มอบอำนาจ ผู้รับมอบอำนาจ และพยานร่วมกันลงชื่อตามวันและสถานที่ตามใบมอบอำนาจหรือไม่ ยังไม่เป็นเหตุที่จะทำให้ใบมอบอำนาจไม่สมบูรณ์และไม่มีผลใช้บังคับได้ตามกฎหมาย ที่ศาลชั้นต้นวินิจฉัยว่า ที่จำเลยขอหมายเรียก อ.มาเบิกความเป็นพยานจำเลยในเรื่องอำนาจฟ้องเป็นพยานที่ไม่เกี่ยวกับประเด็นสำคัญในคดี จึงงดสืบพยานดังกล่าวเป็นการใช้ดุลพินิจที่ชอบตาม ป.วิ.พ.มาตรา 86 วรรคสอง และ มาตรา 104 แล้ว
คำร้องขอเลื่อนคดีของจำเลยไม่ได้กล่าวถึงเหตุที่จำเลยมาศาลไม่ได้ในวันนัดสืบพยานจำเลย เมื่อศาลชั้นต้นสอบถามทนายจำเลยถึงการไม่นำตัวจำเลยมาเบิกความเป็นพยาน ทนายจำเลยแถลงเพียงว่า จำเลยติดธุระสำคัญไม่อาจมาศาลได้เท่านั้น ถือได้ว่าข้อเท็จจริงปรากฏต่อศาลชั้นต้นแล้วว่า คำร้องขอเลื่อนคดีและคำแถลงของทนายจำเลยไม่มีเหตุจำเป็นอันไม่อาจก้าวล่วงได้และไม่แสดงให้เป็นที่พอใจของศาลว่าถ้าศาลไม่อนุญาตให้เลื่อนคดีต่อไปอีก จะทำให้เสียความยุติธรรมประกอบกับศาลชั้นต้นได้กำชับให้นำตัวจำเลยเข้าเบิกความ หากไม่มีพยานอื่นของจำเลยมาศาลในนัดก่อนหน้านี้แล้ว ศาลชั้นต้นหาจำต้องไต่สวนคำร้องขอเลื่อนคดีของจำเลยอีกแต่อย่างใดไม่
ป.วิ.พ.มาตรา 40 วรรคหนึ่ง มีเจตนารมณ์จะให้ศาลดำเนินกระบวนพิจารณาโดยมิชักช้า การเลื่อนคดีก็อนุญาตให้เลื่อนได้เพียงครั้งเดียว คู่ความที่ได้รับอนุญาตให้เลื่อนคดีไปแล้ว จะขอเลื่อนคดีอีกได้ก็ต่อเมื่อเข้าข้อยกเว้น คือมีเหตุจำเป็นอันไม่อาจก้าวล่วงเสียได้ เมื่อการขอเลื่อนคดี ตามคำร้อง และคำแถลงของทนายจำเลยต่อศาลชั้นต้นไม่มีเหตุจำเป็นอันมิอาจก้าวล่วงได้ ทั้งมิได้แสดงให้เป็นที่พอใจของศาลชั้นต้นว่า ถ้าศาลไม่อนุญาตให้เลื่อนคดีต่อไปอีกจะทำให้เสียความยุติธรรม พฤติการณ์จึงเป็นการประวิงคดี ชอบที่ศาลชั้นต้นให้งดสืบพยานจำเลยโดยไม่อนุญาตให้เลื่อนคดีต่อไป และเมื่อศาลชั้นต้นมีคำสั่งว่า ให้งดสืบพยานจำเลยทั้งสอง คดีเป็นอันเสร็จการพิจารณากำหนดนัดฟังคำพิพากษา จึงมีความหมายในตัวว่ากำหนดนัดสืบพยานจำเลยที่เหลือล่วงหน้าเป็นอันยกเลิกไปในตัว ศาลชั้นต้นหาจำต้องสั่งยกเลิกวันนัดสืบพยานจำเลยทั้งสองอีกไม่ กรณีมิใช่การดำเนินกระบวนพิจารณาที่ผิดระเบียบ จึงไม่มีเหตุที่จะเพิกถอนตามที่บัญญัติไว้ใน ป.วิ.พ.มาตรา 27ได้
จำเลยไม่ได้ให้การต่อสู้ว่า อ.ไม่ใช่กรรมการผู้มีสิทธิมอบอำนาจกระทำการแทนโจทก์ หรือลายมือชื่อผู้มอบอำนาจเป็นลายมือชื่อปลอม อันมีเหตุอันควรสงสัยว่าใบมอบอำนาจนั้นไม่ใช่ใบมอบอำนาจที่แท้จริง ที่จะนำเข้าสู่ประเด็นการวินิจฉัยเรื่องอำนาจฟ้องของโจทก์ และข้อต่อสู้ของจำเลยเกี่ยวกับใบมอบอำนาจในเรื่องวันที่ สถานที่ ที่ทำใบมอบอำนาจ และผู้มอบอำนาจ ผู้รับมอบอำนาจ และพยานร่วมกันลงชื่อตามวันและสถานที่ตามใบมอบอำนาจหรือไม่ ยังไม่เป็นเหตุที่จะทำให้ใบมอบอำนาจไม่สมบูรณ์และไม่มีผลใช้บังคับได้ตามกฎหมาย ที่ศาลชั้นต้นวินิจฉัยว่า ที่จำเลยขอหมายเรียก อ.มาเบิกความเป็นพยานจำเลยในเรื่องอำนาจฟ้องเป็นพยานที่ไม่เกี่ยวกับประเด็นสำคัญในคดี จึงงดสืบพยานดังกล่าวเป็นการใช้ดุลพินิจที่ชอบตาม ป.วิ.พ.มาตรา 86 วรรคสอง และ มาตรา 104 แล้ว
คำร้องขอเลื่อนคดีของจำเลยไม่ได้กล่าวถึงเหตุที่จำเลยมาศาลไม่ได้ในวันนัดสืบพยานจำเลย เมื่อศาลชั้นต้นสอบถามทนายจำเลยถึงการไม่นำตัวจำเลยมาเบิกความเป็นพยาน ทนายจำเลยแถลงเพียงว่า จำเลยติดธุระสำคัญไม่อาจมาศาลได้เท่านั้น ถือได้ว่าข้อเท็จจริงปรากฏต่อศาลชั้นต้นแล้วว่า คำร้องขอเลื่อนคดีและคำแถลงของทนายจำเลยไม่มีเหตุจำเป็นอันไม่อาจก้าวล่วงได้และไม่แสดงให้เป็นที่พอใจของศาลว่าถ้าศาลไม่อนุญาตให้เลื่อนคดีต่อไปอีก จะทำให้เสียความยุติธรรมประกอบกับศาลชั้นต้นได้กำชับให้นำตัวจำเลยเข้าเบิกความ หากไม่มีพยานอื่นของจำเลยมาศาลในนัดก่อนหน้านี้แล้ว ศาลชั้นต้นหาจำต้องไต่สวนคำร้องขอเลื่อนคดีของจำเลยอีกแต่อย่างใดไม่
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 39/2543
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การขอเลื่อนคดีซ้ำๆ และการงดสืบพยาน: ศาลมีอำนาจพิจารณาตามความเหมาะสมเพื่อป้องกันการประวิงคดี
กรณีที่คู่ความจะมีคำขอให้พิจารณาใหม่ได้ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 207 ซึ่งนำมาใช้บังคับโดยอนุโลมแก่กระบวนพิจารณาคดีล้มละลายตามพระราชบัญญัติล้มละลาย พ.ศ. 2483 มาตรา 153 จะต้องเป็นคู่ความซึ่งศาลแสดงว่า ขาดนัดพิจารณาและมีคำพิพากษาหรือคำสั่งให้แพ้คดีในประเด็นที่พิพาท
ฎีกาจำเลยที่ขอให้ไต่สวนคำร้องขอให้พิจารณาใหม่ พอถือได้ว่าจำเลยมุ่งหมายจะให้ยกคำสั่งศาลชั้นต้นที่ไม่อนุญาตให้จำเลยเลื่อนคดีแล้วให้จำเลยนำพยานเข้าสืบตามที่จำเลยได้โต้แย้งคำสั่งศาลชั้นต้นไว้จึงต้องพิจารณาว่า ที่ศาลชั้นต้นมีคำสั่งไม่อนุญาตให้จำเลยเลื่อนคดีและงดสืบพยานจำเลยชอบด้วยกระบวนพิจารณาหรือไม่
ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 40 วรรคหนึ่งซึ่งนำมาใช้บังคับโดยอนุโลมแก่กระบวนพิจารณาคดีล้มละลายตามพระราชบัญญัติล้มละลาย พ.ศ. 2483 มาตรา 153 ซึ่งใช้บังคับในขณะที่จำเลยยื่นคำร้องขอเลื่อนคดี มีเจตนารมณ์จะให้ศาลดำเนินกระบวนพิจารณาโดยไม่ชักช้า การเลื่อนคดีก็อนุญาตให้เลื่อนได้เพียง ครั้งเดียว คู่ความที่ได้รับอนุญาตให้เลื่อนคดีไปแล้วจะขอเลื่อนคดีอีกได้ก็ต่อเมื่อเข้าข้อยกเว้นตามที่กำหนดไว้ในบทบัญญัติดังกล่าว
ฎีกาจำเลยที่ขอให้ไต่สวนคำร้องขอให้พิจารณาใหม่ พอถือได้ว่าจำเลยมุ่งหมายจะให้ยกคำสั่งศาลชั้นต้นที่ไม่อนุญาตให้จำเลยเลื่อนคดีแล้วให้จำเลยนำพยานเข้าสืบตามที่จำเลยได้โต้แย้งคำสั่งศาลชั้นต้นไว้จึงต้องพิจารณาว่า ที่ศาลชั้นต้นมีคำสั่งไม่อนุญาตให้จำเลยเลื่อนคดีและงดสืบพยานจำเลยชอบด้วยกระบวนพิจารณาหรือไม่
ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 40 วรรคหนึ่งซึ่งนำมาใช้บังคับโดยอนุโลมแก่กระบวนพิจารณาคดีล้มละลายตามพระราชบัญญัติล้มละลาย พ.ศ. 2483 มาตรา 153 ซึ่งใช้บังคับในขณะที่จำเลยยื่นคำร้องขอเลื่อนคดี มีเจตนารมณ์จะให้ศาลดำเนินกระบวนพิจารณาโดยไม่ชักช้า การเลื่อนคดีก็อนุญาตให้เลื่อนได้เพียง ครั้งเดียว คู่ความที่ได้รับอนุญาตให้เลื่อนคดีไปแล้วจะขอเลื่อนคดีอีกได้ก็ต่อเมื่อเข้าข้อยกเว้นตามที่กำหนดไว้ในบทบัญญัติดังกล่าว