คำพิพากษาที่เกี่ยวข้องกับกฎหมาย
ป.พ.พ. ม. 566

พบผลลัพธ์ทั้งหมด 306 รายการ

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 236/2509

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ เจตนาแกล้งตั้งราคาสูง ทำให้จำเลยไม่ผิดสัญญาซื้อโรงเรือน
โจทก์ทำสัญญาเช่าที่ดินจากจำเลยเพื่อปลูกสร้างโรงเรือนทำการค้าโดยไม่มีกำหนดเวลาแต่มีข้อกำหนดว่า หากจำเลยต้องการที่เช่าคืน จะต้องบอกกล่าวเป็นลายลักษณ์อักษรให้โจทก์ทราบล่วงหน้า 1 ปี และจำเลยจะต้องรับซื้อโรงเรือนหรือสิ่งปลูกสร้างซึ่งโจทก์ได้ปลูกสร้างลงไว้ในที่เช่ามิฉะนั้นจะต้องยอมให้โจทก์เช่าที่ดินต่อไปต่อมาจำเลยได้บอกเลิกการเช่า โจทก์เรียกร้องให้จำเลยซื้อโรงเรือนจากโจทก์ในราคาสูงเกินกว่าราคาตลาดมาก ดังนี้ ส่อแสดงให้เห็นเจตนาของโจทก์ว่าแกล้งเล่นแง่ตั้งราคาสูง จนจำเลยไม่อาจตกลงรับซื้อได้อันจะทำให้จำเลยใช้สิทธิเลิกสัญญาเช่ากับโจทก์ไม่ได้ ฉะนั้นที่โจทก์อ้างว่าจำเลยที่ 1 ไม่ยอมรับซื้อเรือนของโจทก์ในราคาตลาดเป็นการผิดสัญญาจึงฟังไม่ได้

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 162/2509 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ อำนาจฟ้องคดีที่ดินและสิ่งปลูกสร้าง, การบอกเลิกสัญญาเช่า, และขอบเขตอำนาจของหญิงที่มีสามีในการฟ้องร้อง
เมื่อมีการมอบอำนาจให้จัดการฟ้องร้องเกี่ยวกับที่ดินแล้ว ก็เท่ากับมอบอำนาจให้ฟ้องเกี่ยวกับตึกซึ่งปลูกอยู่บนที่ดินด้วย
หญิงมีสามีได้รับมอบอำนาจให้ฟ้องคดีแทนบุคคลอื่นโดยมิได้กระทำการใด ๆ ผูกพันสินบริคณห์แต่อย่างใด จึงมีอำนาจฟ้องคดีได้โดยไม่ต้องได้รับความยินยอมจากสามี
เจ้าของตึกพิพาทเป็นผู้ทำสัญญาให้เช่า เมื่อจะบอกเลิกการเช่า ผู้ให้เช่าต้องเป็นผู้บอกเลิก
เมื่อจำเลยมิได้ยกประเด็นขึ้นต่อสู้มาแต่ต้น ศาลฎีกาก็ไม่รับวินิจฉัย
เมื่อจำเลยจะอ้างสิทธิพิเศษว่าตึกพิพาทเป็นเคหะควบคุม จำเลยได้รับความคุ้มครองตามพระราชบัญญัติควบคุมการเช่าเคหะและที่ดิน พ.ศ. 2504 จำเลยจะต้องให้การตั้งประเด็นต่อสู้คดี อ้างสิทธิพิเศษขึ้นมาโดยชัดแจ้ง.

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 162/2509

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ อำนาจฟ้องคดีที่ดินและสิ่งปลูกสร้าง, การบอกเลิกสัญญาเช่า, และอำนาจฟ้องของสตรี
เมื่อมีการมอบอำนาจให้จัดการฟ้องร้องเกี่ยวกับที่ดินแล้วก็เท่ากับมอบอำนาจให้ฟ้องเกี่ยวกับตึกซึ่งปลูกอยู่บนที่ดินด้วย.
หญิงมีสามีได้รับมอบอำนาจให้ฟ้องคดีแทนบุคคลอื่นโดยมิได้กระทำการใดๆผูกพันสินบริคณห์แต่อย่างใด จึงมีอำนาจฟ้องคดีได้โดยไม่ต้องได้รับความยินยอมจากสามี
เจ้าของตึกพิพาทเป็นผู้ทำสัญญาให้เช่า เมื่อจะบอกเลิกการเช่า ผู้ให้เช่าต้องเป็นผู้บอกเลิก
เมื่อจำเลยมิได้ยกประเด็นขึ้นต่อสู้มาแต่ต้น ศาลฎีกาก็ไม่รับวินิจฉัย
เมื่อจำเลยจะอ้างสิทธิพิเศษว่าตึกพิพาทเป็นเคหะควบคุมจำเลยได้รับความคุ้มครองตามพระราชบัญญัติควบคุมการเช่าเคหะและที่ดิน พ.ศ.2504 จำเลยจะต้องให้การตั้งประเด็นต่อสู้คดี อ้างสิทธิพิเศษขึ้นมาโดยชัดแจ้ง

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1470/2508

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การไม่ยกข้อต่อสู้ตามกฎหมายพิเศษในคำให้การ ทำให้ศาลวินิจฉัยตามกฎหมายสามัญ
โดยปกติการเช่าทรัพย์ไม่ว่าจะใช้ทรัพย์สินนั้นเพื่ออยู่อาศัยหรือเพื่อทำการค้าย่อมอยู่ในบังคับแห่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ลักษณะเช่าทรัพย์ หากจำเลยจะอ้างความคุ้มครองตามกฎหมายพิเศษอย่างไร ก็ต้องยกขึ้นสู้คดี เพราะตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 177 บัญญัติให้จำเลยแสดงโดยชัดแจ้งในคำให้การว่าจำเลยยอมรับหรือปฏิเสธข้ออ้างของโจทก์ทั้งสิ้นหรือแต่บางส่วน รวมทั้งเหตุแห่งการนั้น เมื่อจำเลยมิได้อ้างสิทธิหรือความคุ้มครองตามกฎหมายพิเศษ ก็ต้องวินิจฉัยคดีตามกฎหมายสามัญ เพราะสิทธิหรือความคุ้มครองตามกฎหมายอื่นนั้น จำเลยมิได้ยกขึ้นต่อสู้ให้เป็นประเด็นไว้
พระราชบัญญัติควบคุมการเช่าเคหะและที่ดิน พ.ศ.2504 มิใช่มีกรณีเกี่ยวกับความสงบเรียบร้อยของประชาชนไปเสียทั้งหมด การที่ผู้เช่ายินยอมเลิกใช้ทรัพย์สินที่เช่าหรือไม่อ้างเอาประโยชน์จากพระราชบัญญัตินี้ ก็หาเกี่ยวกับความสงบเรียบร้อยของประชาชนแต่อย่างใดไม่

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1470/2508 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การเช่าทรัพย์: จำเลยต้องยกข้อต่อสู้ตามกฎหมายพิเศษในคำให้การ มิเช่นนั้น ศาลวินิจฉัยตามกฎหมายสามัญ
โดยปกติการเช่าทรัพย์ไม่ว่าจะใช้ทรัพย์สินนั้นเพื่ออยู่อาศัยหรือเพื่อทำการค้า ย่อมอยู่ในบังคับแห่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ลักษณะเช่าทรัพย์ หากจำเลยจะอ้างความคุ้มครองตามกฎหมายพิเศษอย่างไร ก็ต้องยกขึ้นสู้คดี เพราะตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา 177 บัญญัติให้จำเลยแสดงโดยชัดแจ้งในคำให้การว่าจำเลยยอมรับหรือปฏิเสธข้ออ้างของโจทก์ทั้งสิ้นหรือแต่บางส่วน รวมทั้งเหตุแห่งการนั้น เมื่อจำเลยมิได้อ้างสิทธิหรือความคุ้มครองตามกฎหมายพิเศษ ก็ต้องวินิจฉัยคดีตามกฎหมายสามัญ เพราะสิทธิหรือความคุ้มครองตามกฎหมายอื่นนั้น จำเลยมิได้ยกขึ้นต่อสู้ให้เป็นประเด็นไว้
พระราชบัญญัติควบคุมการเช่าเคหะและที่ดิน พ.ศ.2504 มิใช่มีกรณีเกี่ยวกับความสงบเรียบร้อยของประชาชนไปเสียทั้งหมด การที่ผู้เช่ายินยอมเลิกใช้ทรัพย์สินที่เช่าหรือไม่อ้างเอาประโยชน์จากพระราชบัญญัตินี้ ก็หาเกี่ยวกับความสงบเรียบร้อยของประชาชนแต่อย่างใดไม่

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1410/2508 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ห้องเช่าเพื่อค้า ไม่เป็นเคหะควบคุม สัญญาเช่าระงับ โจทก์มีสิทธิฟ้องขับไล่ได้ทันที
จำเลยเช่าห้องพิพาททำการค้าและได้ประกอบการค้าด้วย จึงไม่เป็นเคหะควบคุมและไม่ได้รับความคุ้มครองตามพระราชบัญญัติควบคุมการเช่าเคหะและที่ดิน ฯ
เมื่อห้องพิพาทมิใช่เคหะควบคุม แม้จำเลยจะได้แจ้งความจำนงขอเช่าไปให้โจทก์ทราบตามพระราชบัญญัติควบคุมการเช่าเคหะและที่ดิน ฯ การกระทำของจำเลยก็ไม่ผูกมัดโจทก์ เพราะกรณีนี้ไมอยู่ในบทบังคับแห่งพระราชบัญญัตินี้
เมื่อจำเลยอยู่ในที่เช่าโดยไม่มีสัญญาเช่าหรือสิทธิอะไรตามกฎหมาย โจทก์จะฟ้องขอให้ศาลบังคับให้จำเลยออกไปเมื่อไรก็ย่อมทำได้ ไม่จำเป็นต้องทำการบอกกล่าวกันก่อนแต่ประการใด
เมื่อปรากฏว่าจำเลยขืนอยู่ในห้องพิพาทโดยไม่มีสิทธิที่จะอ้างอิงแต่อย่างใด ถือได้ว่าจำเลยได้ละเมิดสิทธิโจทก์และโจทก์ได้รับความเสียหายแล้ว

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1410/2508

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ห้องเช่าเพื่อค้าไม่เป็นเคหะควบคุม สิทธิเช่าไม่อ้างอิง พ.ร.บ.ควบคุมเคหะ ผู้เช่าละเมิดสิทธิเจ้าของ
จำเลยเช่าห้องพิพาททำการค้าและได้ประกอบการค้าด้วยจึงไม่เป็นเคหะควบคุม และไม่ได้รับความคุ้มครองตามพระราชบัญญัติควบคุมการเช่าเคหะและที่ดินฯ
เมื่อห้องพิพาทมิใช่เคหะควบคุม แม้จำเลยจะได้แจ้งความจำนงขอเช่าไปให้โจทก์ทราบตามพระราชบัญญัติควบคุมการเช่าเคหะและที่ดินฯ การกระทำของจำเลยก็ไม่ผูกมัดโจทก์ เพราะกรณีนี้ไม่อยู่ในบทบังคับแห่งพระราชบัญญัตินี้
เมื่อจำเลยอยู่ในที่เช่าโดยไม่มีสัญญาเช่าหรือสิทธิอะไรตามกฎหมาย โจทก์จะฟ้องขอให้ศาลบังคับให้จำเลยออกไปเมื่อไรก็ย่อมทำได้ ไม่จำเป็นต้องทำการบอกกล่าวกันก่อนแต่ประการใด
เมื่อปรากฏว่าจำเลยขืนอยู่ในห้องพิพาทโดยไม่มีสิทธิที่จะอ้างอิงแต่อย่างใดถือได้ว่าจำเลยได้ละเมิดสิทธิโจทก์และโจทก์ได้รับความเสียหายแล้ว

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1070/2508

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การบอกเลิกสัญญาเช่ารายปีและการมีสิทธิฟ้องขับไล่ แม้บอกกล่าวไม่ครบ 2 เดือน หากฟ้องคดีพ้น 2 เดือนแล้ว
การเช่าที่คิดค่าเช่ากันเป็นรายปี การบอกเลิกการเช่าจะต้องบอกกล่าวแก่อีกฝ่ายหนึ่งให้รู้ตัวก่อนชั่วกำหนดเวลาชำระค่าเช่าระยะเวลาหนึ่งเป็นอย่างน้อย แต่ไม่จำต้องบอกกล่าวล่วงหน้ากว่าสองเดือน
โจทก์บอกเลิกการเช่ารายปี โดยกำหนดให้จำเลยออกจากที่เช่าหลังจากได้รับหนังสือบอกกล่าวไม่ถึงสองเดือน แต่เมื่อโจทก์ฟ้องคดีหลังจากที่จำเลยได้รับหนังสือบอกกล่าวเลิกการเช่ากว่าสองเดือนแล้ว โจทก์ย่อมมีสิทธิฟ้องขับไล่จำเลยได้โดยชอบด้วยกฎหมาย (อ้างฎีกาที่ 845/2490 และ 398/2502)

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1070/2508 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การบอกเลิกสัญญาเช่ารายปีและการมีสิทธิฟ้องขับไล่ หากฟ้องคดีพ้นกำหนดเวลาบอกกล่าว
การเช่าที่คิดค่าเช่ากันเป็นรายปี การบอกเลิกการเช่าจะต้องบอกกล่าวแก่อีกฝ่ายหนึ่งให้รู้ตัวก่อนชั่วกำหนดเวลาชำระค่าเช่าระยะเวลาหนึ่งเป้นอย่างน้อยแต่ไม่จำต้องบอกกล่าวล่วงหน้ากว่าสองเดือน
โจทก์บอกเลิกการเช่ารายปี โดยกำหนดให้จำเลยออกจากที่เช่าหลังจากได้รับหนังสือบอกกล่าวไม่ถึงสองเดือน แต่เมื่อโจทก์ฟ้องคดีหลังจากที่จำเลยได้รับหนังสือบอกกล่าวเลิกการเช่ากว่าสองเดือนแล้ว โจทก์ย่อมมีสิทธิฟ้องขับไล่จำเลยได้โดยชอบด้วยกฎหมาย (อ้างฎีกาที่ 845/2490 และ 398/2502)

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 928/2508

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ตัวแทนเชิด, สัญญาเช่า, การรับซื้อฝาก, สิทธิและหน้าที่ตามสัญญาเช่า, สิทธิการฟ้องขับไล่
จำเลยบอกเลิกสัญญาเช่ากับโจทก์ โจทก์มีหนังสือยอมตกลงเลิกสัญญาเช่ากับจำเลย ถือว่าสัญญาเช่าระหว่างโจทก์กับจำเลยระงับแล้ว
จำเลยที่ 2 กับจำเลยที่ 1 เป็นแม่ลูกกันและอยู่บ้านเดียวกัน จำเลยที่ 2 ได้ทำสัญญาให้เช่าตึกแถวซึ่งจำเลยที่ 1 เป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์ และจำเลยที่ 1 ได้ยอมผูกพันและปฏิบัติตนตามสัญญาเช่าที่จำเลยที่ 2 ทำกับผู้เช่า ถือได้ว่าจำเลยที่ 1 ได้เชิดจำเลยที่ 2 เป็นตัวแทนไปทำสัญญาเช่ากับผู้เช่า สัญญาเช่านั้นจึงมีผลผูกพันจำเลยที่ 1 ด้วย
โจทก์รับซื้อฝากตึกพิพาทจากจำเลยทั้งๆที่รู้ดีแล้วว่าตึกพิพาทนั้นจำเลยได้ให้คนเช่าอยู่ โจทก์จึงต้องรับโอนตึกพิพาทนั้นไปทั้งสิทธิและหน้าที่ สัญญาเช่าจึงมีผลผูกพันโจทก์ด้วย เมื่อยังไม่ครบกำหนดตามสัญญาเช่า โจทก์จึงยังไม่มีสิทธิฟ้องขับไล่ผู้เช่า
เมื่อจำเลยต่อสู้ว่า จำเลยทำสัญญาเช่ากับจำเลยที่2 และมีผลผูกพันโจทก์สัญญาเช่านั้นมีผลผูกพันโจทก์หรือไม่ ศาลจะต้องวินิจฉัยถึงมูลฐานซึ่งเป็นต้นเหตุให้จำเลยที่ 2 ไปทำสัญญาเช่า การที่ศาลวินิจฉัยว่าจำเลยที่ 1 เชิดจำเลยที่ 2 ให้ไปทำสัญญาเช่าจึงไม่เป็นเรื่องนอกประเด็น
โจทก์ขอให้ศาลพิพากษาขับไล่จำเลยออกไปจากทรัพย์พิพาทปรากฏว่าสัญญาระหว่างโจทก์จำเลยระงับแล้ว และจำเลยมิได้เกี่ยวข้องกับทรัพย์พิพาท ก็ไม่จำต้องพิพากษาบังคับ
of 31