พบผลลัพธ์ทั้งหมด 2,050 รายการ
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4578/2543
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การเพิกถอนสัญญาประนีประนอมยอมความที่เกิดจากการฉ้อฉลโดยผู้ชำระบัญชี ทำให้เจ้าหนี้เสียเปรียบ
โจทก์บรรยายฟ้องว่า โจทก์ทั้งห้าเป็นผู้ถือหุ้นของบริษัท ซ. ซึ่งศาลได้มีคำสั่งให้เลิกบริษัท และตั้งจำเลยที่ 2 และที่ 3 เป็นผู้ชำระบัญชีต่อมาจำเลยที่ 1 ฟ้องบริษัทเรียกค่าจ้างว่าความซึ่งเป็นหนี้ที่ไม่มีอยู่จริงจำเลยที่ 2 และที่ 3 สมยอมกับจำเลยที่ 1 ทำสัญญาประนีประนอมยอมความให้บริษัทชำระเงินจำนวนหนึ่งแก่จำเลยที่ 1 และศาลมีคำพิพากษาตามยอมยังผลให้โจทก์ทั้งห้าซึ่งเป็นเจ้าหนี้ที่แท้จริงต้องเสียเปรียบ สัญญาที่จำเลยทั้งสามได้ร่วมกันทำขึ้นดังกล่าวเป็นนิติกรรมที่เกิดจากการฉ้อฉล ขอให้ศาลเพิกถอนสัญญาประนีประนอมยอมความนั้น เป็นคำฟ้องที่แสดงสภาพแห่งข้อหาและข้ออ้างที่อาศัยเป็นหลักแห่งข้อหาโดยแจ้งชัดว่าโจทก์ทั้งห้าร้องขอให้ศาลเพิกถอนซึ่งนิติกรรมอันเกิดจากการฉ้อฉล หาใช่กล่าวหาว่าจำเลยทั้งสามละเมิดต่อโจทก์ทั้งห้าไม่ โจทก์ทั้งห้าชอบที่จะกระทำได้ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 237
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4578/2543 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การเพิกถอนสัญญาประนีประนอมยอมความที่เกิดจากการฉ้อฉล โดยเจ้าหนี้ถูกทำให้เสียเปรียบ
โจทก์ทั้งห้าบรรยายฟ้องว่า โจทก์ทั้งห้าเป็นผู้ถือหุ้นของบริษัท ซ. จำกัด ซึ่งศาลได้มีคำสั่งให้เลิกบริษัทแล้ว และตั้งจำเลยที่ 2 และที่ 3 เป็นผู้ชำระบัญชี ต่อมาจำเลยที่ 1 ฟ้องบริษัทดังกล่าวในข้อหาผิดสัญญาจ้างทำของเรียกค่าจ้าง ว่าความซึ่งเป็นหนี้ที่ไม่มีอยู่จริง ปรากฏว่า จำเลยที่ 2 และที่ 3 สมยอมกับจำเลยที่ 1 ทำสัญญาประนีประนอมยอมความให้บริษัทชำระเงินจำนวน 8,000,000 บาท แก่จำเลยที่ 1 และศาลมีคำพิพากษาตามยอม ยังผลให้โจทก์ทั้งห้าซึ่งเป็น เจ้าหนี้ที่แท้จริงต้องเสียเปรียบ สัญญาที่จำเลยทั้งสามได้ร่วมกันทำขึ้นดังกล่าวเป็นนิติกรรมที่เกิดจากการฉ้อฉล ขอให้ศาลเพิกถอนสัญญาประนีประนอมยอมความ ดังนี้ ย่อมเห็นได้ว่า โจทก์ทั้งห้าซึ่งอ้างว่าเป็นเจ้าหนี้ของบริษัทได้ร้องขอให้ศาลเพิกถอนสัญญาประนีประนอมยอมความที่ทำขึ้นระหว่างลูกหนี้อันได้แก่บริษัทซึ่งมีจำเลยที่ 2 และที่ 3 ในฐานะผู้ชำระบัญชีเป็นผู้ทำการแทนกับบุคคลซึ่งเป็นผู้ได้ลาภงอกอันได้แก่จำเลยที่ 1 โดยกล่าวหาว่าสัญญาดังกล่าวเป็นนิติกรรมที่ลูกหนี้ได้กระทำลงทั้งรู้อยู่ว่าเป็นทางให้โจทก์ทั้งห้าซึ่งเป็นเจ้าหนี้เสียเปรียบ กับมีคำขอท้ายฟ้องให้ศาลพิพากษาเพิกถอนหรือทำลายสัญญาประนีประนอมยอมความดังกล่าว จึงเป็นคำฟ้องที่แสดงสภาพแห่งข้อหาและข้ออ้างที่อาศัยเป็นหลัก แห่งข้อหาโดยแจ้งชัดว่า โจทก์ทั้งห้าร้องขอให้ศาลเพิกถอนซึ่งนิติกรรมอันเกิดจากการฉ้อฉลของจำเลยทั้งสาม หาใช่กล่าวหาว่าจำเลยทั้งสามละเมิดต่อโจทก์ทั้งห้าไม่ โจทก์ทั้งห้าชอบที่จะกระทำได้ตาม ป.พ.พ. มาตรา 237 ส่วนปัญหาที่ว่าโจทก์ทั้งห้าเป็นเจ้าหนี้บริษัทจริงหรือไม่ และสัญญาประนีประนอมยอมความดังกล่าวกระทำลงโดยจำเลยทั้งสาม รู้เท่าถึงความจริง อันเป็นทางให้โจทก์ทั้งห้าต้องเสียเปรียบหรือไม่ ล้วนแต่เป็นข้อเท็จจริงที่ศาลต้องฟังพยานหลักฐานของคู่ความทั้งสองฝ่ายให้ครบถ้วนเสียก่อน
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4453/2543
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
อายุความสิทธิเรียกร้องบัตรเครดิต: เจตนาคู่กรณีสำคัญกว่าข้อตกลงภายนอก
แม้โจทก์กำหนดให้จำเลยเปิดบัญชีเงินฝากกระแสรายวันไว้กับโจทก์แต่ในคำขอเปิดบัญชีเงินฝากกระแสรายวันและสัญญากู้เบิกเงินเกินบัญชีเฉพาะสินเชื่อธนวัฏบัตรเครดิตระบุไว้ชัดเจนว่า เพื่อการชำระหนี้ค่าซื้อสินค้าและบริการต่าง ๆ อันเกิดขึ้นจากการใช้บัตรเครดิต รวมทั้งเพื่อถอนเงินสดจากบัญชีเงินฝากผ่านเครื่องฝาก - ถอนเงินอัตโนมัติ ซึ่งล้วนเป็นกิจกรรมเกี่ยวเนื่องจากใช้บัตรเครดิตทั้งสิ้น เป็นกรณีที่โจทก์ซึ่งเป็นผู้ประกอบธุรกิจในการรับทำการงานต่าง ๆ ให้แก่สมาชิกได้ชำระเงินให้เจ้าหนี้ของสมาชิกแทนสมาชิกไปก่อนแล้วจึงเรียกเก็บเงินจากสมาชิกภายหลัง เป็นการเรียกเอาค่าที่ได้ออกเงินทดรองไปก่อนตามลักษณะของการประกอบธุรกิจประเภทบัตรเครดิต อันเป็นเจตนาที่แท้จริงของคู่กรณีซึ่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 171 กำหนดให้เพ่งเล็งถึงเจตนาที่แท้จริงยิ่งกว่าถ้อยคำสำนวนหรือตัวอักษร เมื่อหลักฐานการแจ้งหนี้ที่จำเลยค้างชำระบัตรเครดิตครั้งสุดท้ายในวันที่ 25 สิงหาคม 2536 โดยไม่มีการเคลื่อนไหวทางบัญชีอีก ซึ่งโจทก์อาจบังคับสิทธิเรียกร้องได้เป็นต้นไป โจทก์ฟ้องคดีวันที่ 25เมษายน 2540 พ้นกำหนด 2 ปี จึงขาดอายุความ
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4409/2543
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
กรรมเดียวผิดกฎหมายหลายบท: บุกรุก, ทำให้เสียทรัพย์, และลักทรัพย์จากที่ดิน
จำเลยเข้าไปในที่ดินของผู้เสียหายแล้วตัดโค่นต้นยางพาราจำนวน 17 ต้นและเอาต้นยางพาราดังกล่าวไปโดยใช้รถยนต์บรรทุกอันเป็นความผิดฐานบุกรุกทำให้เสียทรัพย์ และลักทรัพย์ การที่จำเลยบุกรุกเข้าไปในที่ดินของผู้เสียหายแสดงให้เห็นอย่างชัดเจนว่า จำเลยมีความมุ่งหมายที่จะเข้าไปตัดโค่นต้นยางพาราซึ่งอยู่ในที่ดินดังกล่าวแล้วนำออกไปจากที่ดิน โดยใช้รถยนต์บรรทุกสิบล้อบรรทุกต้นยางพาราไป จึงเป็นการกระทำที่มีเจตนาเดียวต่อเนื่องกันตลอดมาไม่ขาดตอนอันเป็นการกระทำกรรมเดียวผิดกฎหมายหลายบทตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 90
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4409/2543 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
กรรมเดียวผิดกฎหมายหลายบท: บุกรุก, ทำให้เสียทรัพย์, และลักทรัพย์เจตนาต่อเนื่อง
จำเลยเข้าไปในที่ดินของผู้เสียหายแล้วตัดโค่นต้นยางพาราจำนวน 17 ต้น และเอาต้นยางพาราดังกล่าวไปโดยใช้รถยนต์บรรทุก อันเป็นความผิดฐานบุกรุก ทำให้เสียทรัพย์และลักทรัพย์ การที่จำเลยบุกรุกเข้าไปในที่ดินของผู้เสียหาย แสดงให้เห็นอย่างชัดเจนว่า จำเลยมีความมุ่งหมายที่จะเข้าไปตัดโค่นต้นยางพาราซึ่งอยู่ในที่ดินดังกล่าว แล้วนำออกไปจากที่ดิน โดยใช้รถยนต์บรรทุกสิบล้อบรรทุก ต้นยางพาราไป จึงเป็นการกระทำที่มีเจตนาเดียวต่อเนื่องกันตลอดมาไม่ขาดตอนอันเป็นการกระทำ กรรมเดียวผิดกฎหมายหลายบท ตาม ป.อ.มาตรา 90
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4299/2543
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การประเมินค่าเสียหายจากการละเมิด: ศาลใช้ดุลพินิจพิจารณาความเสียหายโดยตรงและพฤติการณ์แห่งละเมิด
แม้ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 438 วรรคสองได้ระบุถึงค่าเสียหายว่าได้แก่การคืนทรัพย์สินอันผู้เสียหายต้องเสียไปเพราะละเมิด หรือใช้ราคาทรัพย์สินนั้นเป็นสำคัญก็ตาม แต่ศาลก็จำต้องดูพฤติการณ์และความร้ายแรงแห่งละเมิดเป็นหลักในการคำนวณตามวรรคแรกอยู่ด้วย โดยเฉพาะต้องเป็นค่าเสียหายโดยตรงที่เกิดจากการที่จำเลยกระทำละเมิดต่อโจทก์
จำเลยเป็นลูกจ้างประจำของโจทก์ในตำแหน่งพนักงานอาณาบาลมีหน้าที่ว่าคดีให้แก่โจทก์ โจทก์แต่งตั้งให้จำเลยเป็นทนายความฟ้องขับไล่ป. และบริวารออกไปจากที่ดินพิพาท ซึ่งโจทก์ได้ดูแลรักษาและใช้ประโยชน์ในราชการตามประกาศกระแสร์พระบรมราชโองการ เรื่อง ขยายการหวงห้ามและจัดซื้อที่ดินสำหรับสร้างการทดน้ำไขน้ำในบริเวณเชียงรากน้อยและบางเหี้ยพ.ศ. 2467 ต่อมาศาลชั้นต้นมีคำพิพากษายกฟ้อง จำเลยมีหน้าที่ต้องรายงานผลแห่งคดี และเสนอความเห็นไปยังโจทก์ภายในกำหนดระยะเวลาอุทธรณ์แต่จำเลยมิได้รายงานและเสนอความเห็นไปยังโจทก์ และมิได้ยื่นอุทธรณ์เป็นผลให้คดีถึงที่สุดตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น ป. จึงนำเอาคำพิพากษาของศาลชั้นต้นไปขอออกโฉนดที่ดินจำนวน 3 แปลง ความเสียหายของโจทก์เป็นการสูญเสียสิทธิและโอกาสในการดำเนินคดีชั้นอุทธรณ์และชั้นฎีกาซึ่งโจทก์มิได้นำสืบให้ปรากฏชัดว่าโจทก์เสียหายเพียงใด ศาลย่อมมีอำนาจวินิจฉัยให้ตามควรแก่พฤติการณ์และความร้ายแรงแห่งละเมิด ที่โจทก์อ้างว่าการที่โจทก์มิได้อุทธรณ์เป็นผลทำให้โจทก์ต้องสูญเสียที่ดิน เพราะหากโจทก์อุทธรณ์ฎีกาให้ศาลฎีกาได้วินิจฉัยคดีให้ถึงที่สุดแล้ว คดีของโจทก์มีทางชนะอย่างยิ่งนั้น เป็นเพียงการคาดคะเนของโจทก์ ราคาของที่ดินที่โจทก์อ้างว่าต้องสูญเสียไปจึงมิใช่ค่าเสียหายโดยตรงที่เกิดจากการที่ จำเลยกระทำละเมิด
จำเลยเป็นลูกจ้างประจำของโจทก์ในตำแหน่งพนักงานอาณาบาลมีหน้าที่ว่าคดีให้แก่โจทก์ โจทก์แต่งตั้งให้จำเลยเป็นทนายความฟ้องขับไล่ป. และบริวารออกไปจากที่ดินพิพาท ซึ่งโจทก์ได้ดูแลรักษาและใช้ประโยชน์ในราชการตามประกาศกระแสร์พระบรมราชโองการ เรื่อง ขยายการหวงห้ามและจัดซื้อที่ดินสำหรับสร้างการทดน้ำไขน้ำในบริเวณเชียงรากน้อยและบางเหี้ยพ.ศ. 2467 ต่อมาศาลชั้นต้นมีคำพิพากษายกฟ้อง จำเลยมีหน้าที่ต้องรายงานผลแห่งคดี และเสนอความเห็นไปยังโจทก์ภายในกำหนดระยะเวลาอุทธรณ์แต่จำเลยมิได้รายงานและเสนอความเห็นไปยังโจทก์ และมิได้ยื่นอุทธรณ์เป็นผลให้คดีถึงที่สุดตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น ป. จึงนำเอาคำพิพากษาของศาลชั้นต้นไปขอออกโฉนดที่ดินจำนวน 3 แปลง ความเสียหายของโจทก์เป็นการสูญเสียสิทธิและโอกาสในการดำเนินคดีชั้นอุทธรณ์และชั้นฎีกาซึ่งโจทก์มิได้นำสืบให้ปรากฏชัดว่าโจทก์เสียหายเพียงใด ศาลย่อมมีอำนาจวินิจฉัยให้ตามควรแก่พฤติการณ์และความร้ายแรงแห่งละเมิด ที่โจทก์อ้างว่าการที่โจทก์มิได้อุทธรณ์เป็นผลทำให้โจทก์ต้องสูญเสียที่ดิน เพราะหากโจทก์อุทธรณ์ฎีกาให้ศาลฎีกาได้วินิจฉัยคดีให้ถึงที่สุดแล้ว คดีของโจทก์มีทางชนะอย่างยิ่งนั้น เป็นเพียงการคาดคะเนของโจทก์ ราคาของที่ดินที่โจทก์อ้างว่าต้องสูญเสียไปจึงมิใช่ค่าเสียหายโดยตรงที่เกิดจากการที่ จำเลยกระทำละเมิด
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4299/2543 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ความเสียหายจากการละเมิด: ศาลใช้ดุลพินิจชดเชยตามความร้ายแรงและค่าเสียหายโดยตรง ไม่ใช่การคาดการณ์อนาคต
ตาม ป.พ.พ. มาตรา 438 วรรคแรก แสดงให้เห็นโดยแจ้งชัดว่าศาลย่อมมีดุลพินิจกำหนดค่าเสียหายให้แก่โจทก์ตามควรแก่พฤติการณ์ที่เกิดขึ้นตลอดจนพิเคราะห์ถึงความร้ายแรงแห่งการกระทำของจำเลยประกอบด้วย แม้ ป.พ.พ. มาตรา 438 วรรคสองนั้นเองได้ระบุถึงค่าเสียหายว่าได้แก่การคืนทรัพย์สินอันผู้เสียหายต้องเสียไปเพราะละเมิด หรือใช้ราคาทรัพย์สินนั้นเป็นสำคัญก็ตาม แต่ศาลก็จำต้องดูพฤติการณ์และความร้ายแรงแห่งละเมิดเป็นหลักในการคำนวณตามวรรคแรกอยู่ด้วย โดยเฉพาะต้องเป็นค่าเสียหายโดยตรงที่เกิดจากการที่จำเลยกระทำละเมิดต่อโจทก์
จำเลยเป็นลูกจ้างประจำของโจทก์ในตำแหน่งพนักงานอาณาบาลมีหน้าที่ว่าคดีให้แก่โจทก์ โจทก์แต่งตั้งให้จำเลยเป็นทนายความฟ้องขับไล่ ป. และบริวารออกไปจากที่ดินพิพาทซึ่งโจทก์ได้ดูแลรักษาและใช้ประโยชน์ในราชการตามประกาศกระแสร์พระบรมราชโองการ เรื่องขยายการหวงห้ามและจัดซื้อที่ดินสำหรับสร้างการทดน้ำไขน้ำในบริเวณเชียงรากน้อยและบางเหี้ย พ.ศ. 2467 ต่อมาศาลชั้นต้นมีคำพิพากษายกฟ้อง จำเลยมีหน้าที่ต้องรายงานผลแห่งคดี และเสนอความเห็นไปยังโจทก์ภายในกำหนดระยะเวลาอุทธรณ์ แต่จำเลยมิได้รายงานและเสนอความเห็นไปยังโจทก์ และมิได้ยื่นอุทธรณ์เป็นผลให้คดีถึงที่สุดตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น ป. จึงนำเอาคำพิพากษาของศาลชั้นต้นไปขอออกโฉนดที่ดินจำนวน 3 แปลง รวมเนื้อที่ประมาณ 45 ไร่ เป็นเหตุให้โจทก์ได้รับความเสียหาย ที่โจทก์อ้างว่าการที่โจทก์มิได้อุทธรณ์เป็นผลทำให้โจทก์ต้องสูญเสียที่ดิน เพราะหากโจทก์อุทธรณ์ฎีกาให้ศาลฎีกาได้วินิจฉัยคดีให้ถึงที่สุดแล้ว คดีของโจทก์มีทางชนะอย่างยิ่ง เป็นเพียงการคาดคะเนของโจทก์ ตามพฤติการณ์แห่งคดีราคาที่ดินที่โจทก์อ้างว่าต้องสูญเสียไปจึงมิใช่ค่าเสียหายโดยตรงซึ่งเกิดจากการที่จำเลยกระทำละเมิด ความเสียหายของโจทก์เป็นการสูญเสียสิทธิและโอกาสในการดำเนินคดีชั้นอุทธรณ์และชั้นฎีกา ซึ่งโจทก์มิได้นำสืบให้ปรากฏชัดว่าโจทก์เสียหายเพียงใด ศาลจึงมีอำนาจวินิจฉัยให้ตามควรแก่พฤติการณ์และความร้ายแรงแห่งละเมิด
จำเลยเป็นลูกจ้างประจำของโจทก์ในตำแหน่งพนักงานอาณาบาลมีหน้าที่ว่าคดีให้แก่โจทก์ โจทก์แต่งตั้งให้จำเลยเป็นทนายความฟ้องขับไล่ ป. และบริวารออกไปจากที่ดินพิพาทซึ่งโจทก์ได้ดูแลรักษาและใช้ประโยชน์ในราชการตามประกาศกระแสร์พระบรมราชโองการ เรื่องขยายการหวงห้ามและจัดซื้อที่ดินสำหรับสร้างการทดน้ำไขน้ำในบริเวณเชียงรากน้อยและบางเหี้ย พ.ศ. 2467 ต่อมาศาลชั้นต้นมีคำพิพากษายกฟ้อง จำเลยมีหน้าที่ต้องรายงานผลแห่งคดี และเสนอความเห็นไปยังโจทก์ภายในกำหนดระยะเวลาอุทธรณ์ แต่จำเลยมิได้รายงานและเสนอความเห็นไปยังโจทก์ และมิได้ยื่นอุทธรณ์เป็นผลให้คดีถึงที่สุดตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น ป. จึงนำเอาคำพิพากษาของศาลชั้นต้นไปขอออกโฉนดที่ดินจำนวน 3 แปลง รวมเนื้อที่ประมาณ 45 ไร่ เป็นเหตุให้โจทก์ได้รับความเสียหาย ที่โจทก์อ้างว่าการที่โจทก์มิได้อุทธรณ์เป็นผลทำให้โจทก์ต้องสูญเสียที่ดิน เพราะหากโจทก์อุทธรณ์ฎีกาให้ศาลฎีกาได้วินิจฉัยคดีให้ถึงที่สุดแล้ว คดีของโจทก์มีทางชนะอย่างยิ่ง เป็นเพียงการคาดคะเนของโจทก์ ตามพฤติการณ์แห่งคดีราคาที่ดินที่โจทก์อ้างว่าต้องสูญเสียไปจึงมิใช่ค่าเสียหายโดยตรงซึ่งเกิดจากการที่จำเลยกระทำละเมิด ความเสียหายของโจทก์เป็นการสูญเสียสิทธิและโอกาสในการดำเนินคดีชั้นอุทธรณ์และชั้นฎีกา ซึ่งโจทก์มิได้นำสืบให้ปรากฏชัดว่าโจทก์เสียหายเพียงใด ศาลจึงมีอำนาจวินิจฉัยให้ตามควรแก่พฤติการณ์และความร้ายแรงแห่งละเมิด
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4121/2543 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การทำงานล่วงเวลาต้องได้รับความยินยอมจากลูกจ้าง และต้องมีข้อตกลงเรื่องช่วงเวลา หากไม่มีข้อตกลง สั่งให้ทำงานล่วงเวลาถือไม่ชอบ
อุทธรณ์จำเลยเป็นการโต้แย้งดุลพินิจในการรับฟังพยานหลักฐานของศาลแรงงาน นอกจากนี้จำเลยยังได้อ้างข้อเท็จจริงขึ้นมาใหม่ในอุทธรณ์อีก จึงเป็นอุทธรณ์ในข้อเท็จจริง ต้องห้ามอุทธรณ์ตาม พ.ร.บ.จัดตั้งศาลแรงงานและ วิธีพิจารณาคดีแรงงาน พ.ศ. 2522 มาตรา 54 วรรคหนึ่ง
สัญญาจ้างแรงงานนอกจากจะบังคับใช้ตามบรรพ 3 ลักษณะ 6 แห่ง ป.พ.พ. แล้ว ยังจะต้องบังคับใช้ตาม พ.ร.บ.คุ้มครองแรงงาน พ.ศ. 2541 ซึ่งเป็นกฎหมายเฉพาะให้สอดคล้องกันด้วย ในเรื่องการทำงานล่วงเวลาได้มีการบัญญัติไว้โดยเฉพาะในพระราชบัญญัติคุ้มครองแรงงาน พ.ศ. 2541 ฉะนั้น นายจ้างจะมีคำสั่งให้ลูกจ้างทำงานล่วงเวลาได้หรือไม่ เพียงใด ต้องอยู่ภายใต้บังคับแห่งกฎหมายฉบับนี้ คู่กรณีจะทำสัญญาให้แตกต่างไปจากที่กำหนดไว้ ในบทบัญญัติแห่งกฎหมายดังกล่าวซึ่งเป็นกฎหมายที่เกี่ยวกับความสงบเรียบร้อยหรือศีลธรรมอันดีของประชาชนหาได้ไม่
นายจ้างไม่มีอำนาจสั่งให้ลูกจ้างทำงานล่วงเวลาในวันทำงานนอกจากจะเข้าข้อยกเว้นตาม พ.ร.บ.คุ้มครอง แรงงาน พ.ศ. 2541 มาตรา 24 วรรคหนึ่ง ซึ่งบัญญัติว่า ห้ามมิให้นายจ้างให้ลูกจ้างทำงานล่วงเวลาในวันทำงานเว้นแต่ ได้รับความยินยอมจากลูกจ้างก่อนเป็นคราว ๆ ไป หมายความว่า เมื่อนายจ้างประสงค์ให้มีการทำงานล่วงเวลาในช่วงระยะเวลาใด นายจ้างจะต้องทำความตกลงกับลูกจ้างโดยชัดแจ้งหรือโดยปริยายให้มีสาระสำคัญครบถ้วนถึงกำหนดช่วง ระยะการเริ่มต้นและการสิ้นสุดของการทำงานล่วงเวลาไว้ก่อนล่วงหน้า หลังจากนั้นหากนายจ้างจะออกคำสั่ง ในเรื่องการทำงานล่วงเวลาอีกก็ต้องให้สอดคล้องกับข้อตกลงดังกล่าว ถ้าคำสั่งนั้นไม่สอดคล้องกับข้อตกลง ต้องถือว่าเป็นคำสั่งให้ทำงานล่วงเวลาที่ไม่ชอบด้วยบทบัญญัติดังกล่าว ลูกจ้างไม่จำต้องปฏิบัติตามก็ได้
เมื่อไม่ปรากฏว่ามีข้อตกลงเรื่องกำหนดช่วงระยะการเริ่มต้นและการสิ้นสุดของการทำงานล่วงเวลาระหว่างจำเลยกับลูกจ้างรวมทั้งโจทก์ คำสั่งของจำเลยให้ลูกจ้างทำงานล่วงเวลา จึงไม่ชอบด้วย พ.ร.บ.คุ้มครอง แรงงาน พ.ศ. 2541 มาตรา 24 วรรคหนึ่ง แม้โจทก์จะลงชื่อให้ความยินยอมว่าจะปฏิบัติตามก็ไม่ผูกพันโจทก์ให้ต้อง ทำงานล่วงเวลา การที่โจทก์ไม่ได้ทำงานล่วงเวลาทุกวันตามคำสั่งของจำเลยยังถือไม่ได้ว่าโจทก์ขัดคำสั่ง ของจำเลยเรื่องการทำงานล่วงเวลา
ศาลแรงงานวินิจฉัยว่า จำเลยเลิกจ้างโจทก์โดยไม่บอกกล่าวล่วงหน้าก่อนถึงกำหนดจ่ายสินจ้างคราวหนึ่ง จึงต้องจ่ายสินจ้างแทนการบอกกล่าวล่วงหน้าให้แก่โจทก์ แสดงอยู่ในตัวว่าศาลแรงงานวินิจฉัยคดีโดยปรับใช้บังคับตาม ป.พ.พ. มาตรา 582 ศาลแรงงานพิพากษาชอบแล้ว
สัญญาจ้างแรงงานนอกจากจะบังคับใช้ตามบรรพ 3 ลักษณะ 6 แห่ง ป.พ.พ. แล้ว ยังจะต้องบังคับใช้ตาม พ.ร.บ.คุ้มครองแรงงาน พ.ศ. 2541 ซึ่งเป็นกฎหมายเฉพาะให้สอดคล้องกันด้วย ในเรื่องการทำงานล่วงเวลาได้มีการบัญญัติไว้โดยเฉพาะในพระราชบัญญัติคุ้มครองแรงงาน พ.ศ. 2541 ฉะนั้น นายจ้างจะมีคำสั่งให้ลูกจ้างทำงานล่วงเวลาได้หรือไม่ เพียงใด ต้องอยู่ภายใต้บังคับแห่งกฎหมายฉบับนี้ คู่กรณีจะทำสัญญาให้แตกต่างไปจากที่กำหนดไว้ ในบทบัญญัติแห่งกฎหมายดังกล่าวซึ่งเป็นกฎหมายที่เกี่ยวกับความสงบเรียบร้อยหรือศีลธรรมอันดีของประชาชนหาได้ไม่
นายจ้างไม่มีอำนาจสั่งให้ลูกจ้างทำงานล่วงเวลาในวันทำงานนอกจากจะเข้าข้อยกเว้นตาม พ.ร.บ.คุ้มครอง แรงงาน พ.ศ. 2541 มาตรา 24 วรรคหนึ่ง ซึ่งบัญญัติว่า ห้ามมิให้นายจ้างให้ลูกจ้างทำงานล่วงเวลาในวันทำงานเว้นแต่ ได้รับความยินยอมจากลูกจ้างก่อนเป็นคราว ๆ ไป หมายความว่า เมื่อนายจ้างประสงค์ให้มีการทำงานล่วงเวลาในช่วงระยะเวลาใด นายจ้างจะต้องทำความตกลงกับลูกจ้างโดยชัดแจ้งหรือโดยปริยายให้มีสาระสำคัญครบถ้วนถึงกำหนดช่วง ระยะการเริ่มต้นและการสิ้นสุดของการทำงานล่วงเวลาไว้ก่อนล่วงหน้า หลังจากนั้นหากนายจ้างจะออกคำสั่ง ในเรื่องการทำงานล่วงเวลาอีกก็ต้องให้สอดคล้องกับข้อตกลงดังกล่าว ถ้าคำสั่งนั้นไม่สอดคล้องกับข้อตกลง ต้องถือว่าเป็นคำสั่งให้ทำงานล่วงเวลาที่ไม่ชอบด้วยบทบัญญัติดังกล่าว ลูกจ้างไม่จำต้องปฏิบัติตามก็ได้
เมื่อไม่ปรากฏว่ามีข้อตกลงเรื่องกำหนดช่วงระยะการเริ่มต้นและการสิ้นสุดของการทำงานล่วงเวลาระหว่างจำเลยกับลูกจ้างรวมทั้งโจทก์ คำสั่งของจำเลยให้ลูกจ้างทำงานล่วงเวลา จึงไม่ชอบด้วย พ.ร.บ.คุ้มครอง แรงงาน พ.ศ. 2541 มาตรา 24 วรรคหนึ่ง แม้โจทก์จะลงชื่อให้ความยินยอมว่าจะปฏิบัติตามก็ไม่ผูกพันโจทก์ให้ต้อง ทำงานล่วงเวลา การที่โจทก์ไม่ได้ทำงานล่วงเวลาทุกวันตามคำสั่งของจำเลยยังถือไม่ได้ว่าโจทก์ขัดคำสั่ง ของจำเลยเรื่องการทำงานล่วงเวลา
ศาลแรงงานวินิจฉัยว่า จำเลยเลิกจ้างโจทก์โดยไม่บอกกล่าวล่วงหน้าก่อนถึงกำหนดจ่ายสินจ้างคราวหนึ่ง จึงต้องจ่ายสินจ้างแทนการบอกกล่าวล่วงหน้าให้แก่โจทก์ แสดงอยู่ในตัวว่าศาลแรงงานวินิจฉัยคดีโดยปรับใช้บังคับตาม ป.พ.พ. มาตรา 582 ศาลแรงงานพิพากษาชอบแล้ว
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4121/2543
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การทำงานล่วงเวลาต้องได้รับความยินยอมจากลูกจ้าง และต้องมีข้อตกลงชัดเจน หากไม่มีข้อตกลง คำสั่งให้ทำงานล่วงเวลานั้นไม่ชอบด้วยกฎหมาย
อุทธรณ์จำเลยเป็นการโต้แย้งดุลพินิจในการรับฟังพยานหลักฐานของศาลแรงงานนอกจากนี้จำเลยยังได้อ้างข้อเท็จจริงขึ้นมาใหม่ในอุทธรณ์อีกจึงเป็นอุทธรณ์ในข้อเท็จจริง ต้องห้ามอุทธรณ์ตามพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลแรงงานและวิธีพิจารณาคดีแรงงาน พ.ศ. 2522 มาตรา 54 วรรคหนึ่ง
สัญญาจ้างแรงงานนอกจากจะบังคับใช้ตามบรรพ 3 ลักษณะ 6แห่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์แล้ว ยังจะต้องบังคับใช้ตามพระราชบัญญัติคุ้มครองแรงงาน พ.ศ. 2541 ซึ่งเป็นกฎหมายเฉพาะให้สอดคล้องกันด้วย
ในเรื่องการทำงานล่วงเวลาได้มีการบัญญัติไว้โดยเฉพาะในพระราชบัญญัติคุ้มครองแรงงาน พ.ศ. 2541 ฉะนั้น นายจ้างจะมีคำสั่งให้ลูกจ้างทำงานล่วงเวลาได้หรือไม่ เพียงใด ต้องอยู่ภายใต้บังคับแห่งกฎหมายฉบับนี้ คู่กรณีจะทำสัญญาให้แตกต่างไปจากที่กำหนดไว้ในบทบัญญัติแห่งกฎหมายดังกล่าวซึ่งเป็นกฎหมายที่เกี่ยวกับความสงบเรียบร้อยหรือศีลธรรมอันดีของประชาชนหาได้ไม่
นายจ้างไม่มีอำนาจสั่งให้ลูกจ้างทำงานล่วงเวลาในวันทำงานนอกจากจะเข้าข้อยกเว้นตามพระราชบัญญัติคุ้มครองแรงงาน พ.ศ. 2541มาตรา 24 วรรคหนึ่ง ซึ่งบัญญัติว่า ห้ามมิให้นายจ้างให้ลูกจ้างทำงานล่วงเวลาในวันทำงาน เว้นแต่ได้รับความยินยอมจากลูกจ้างก่อนเป็นคราว ๆ ไปหมายความว่า เมื่อนายจ้างประสงค์ให้มีการทำงานล่วงเวลาในช่วงระยะเวลาใดนายจ้างจะต้องทำความตกลงกับลูกจ้างโดยชัดแจ้งหรือโดยปริยายให้มีสาระสำคัญครบถ้วนถึงกำหนดช่วงระยะการเริ่มต้นและการสิ้นสุดของการทำงานล่วงเวลาไว้ก่อนล่วงหน้า หลังจากนั้นหากนายจ้างจะออกคำสั่งในเรื่องการทำงานล่วงเวลาอีกก็ต้องให้สอดคล้องกับข้อตกลงดังกล่าว ถ้าคำสั่งนั้นไม่สอดคล้องกับข้อตกลงต้องถือว่าเป็นคำสั่งให้ทำงานล่วงเวลาที่ไม่ชอบด้วยบทบัญญัติดังกล่าว ลูกจ้างไม่จำต้องปฏิบัติตามก็ได้
เมื่อไม่ปรากฏว่ามีข้อตกลงเรื่องกำหนดช่วงระยะเวลาเริ่มต้นและการสิ้นสุดของการทำงานล่วงเวลาระหว่างจำเลยกับลูกจ้างรวมทั้งโจทก์คำสั่งของจำเลยให้ลูกจ้างทำงานล่วงเวลา จึงไม่ชอบด้วยพระราชบัญญัติคุ้มครองแรงงาน พ.ศ. 2541 มาตรา 24 วรรคหนึ่ง แม้โจทก์จะลงชื่อให้ความยินยอมว่าจะปฏิบัติตาม ก็ไม่ผูกพันโจทก์ให้ต้องทำงานล่วงเวลา การที่โจทก์ไม่ได้ทำงานล่วงเวลาทุกวันตามคำสั่งของจำเลยยังถือไม่ได้ว่าโจทก์ขัดคำสั่งของจำเลยเรื่องการทำงานล่วงเวลา
ศาลแรงงานวินิจฉัยว่าจำเลยเลิกจ้างโจทก์โดยไม่บอกกล่าวล่วงหน้าก่อนถึงกำหนดจ่ายสินจ้างคราวหนึ่ง จึงต้องจ่ายสินจ้างแทนการบอกกล่าวล่วงหน้าให้แก่โจทก์ แสดงอยู่ในตัวว่าศาลแรงงานวินิจฉัยคดีโดยปรับใช้บังคับตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 582 แล้ว
สัญญาจ้างแรงงานนอกจากจะบังคับใช้ตามบรรพ 3 ลักษณะ 6แห่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์แล้ว ยังจะต้องบังคับใช้ตามพระราชบัญญัติคุ้มครองแรงงาน พ.ศ. 2541 ซึ่งเป็นกฎหมายเฉพาะให้สอดคล้องกันด้วย
ในเรื่องการทำงานล่วงเวลาได้มีการบัญญัติไว้โดยเฉพาะในพระราชบัญญัติคุ้มครองแรงงาน พ.ศ. 2541 ฉะนั้น นายจ้างจะมีคำสั่งให้ลูกจ้างทำงานล่วงเวลาได้หรือไม่ เพียงใด ต้องอยู่ภายใต้บังคับแห่งกฎหมายฉบับนี้ คู่กรณีจะทำสัญญาให้แตกต่างไปจากที่กำหนดไว้ในบทบัญญัติแห่งกฎหมายดังกล่าวซึ่งเป็นกฎหมายที่เกี่ยวกับความสงบเรียบร้อยหรือศีลธรรมอันดีของประชาชนหาได้ไม่
นายจ้างไม่มีอำนาจสั่งให้ลูกจ้างทำงานล่วงเวลาในวันทำงานนอกจากจะเข้าข้อยกเว้นตามพระราชบัญญัติคุ้มครองแรงงาน พ.ศ. 2541มาตรา 24 วรรคหนึ่ง ซึ่งบัญญัติว่า ห้ามมิให้นายจ้างให้ลูกจ้างทำงานล่วงเวลาในวันทำงาน เว้นแต่ได้รับความยินยอมจากลูกจ้างก่อนเป็นคราว ๆ ไปหมายความว่า เมื่อนายจ้างประสงค์ให้มีการทำงานล่วงเวลาในช่วงระยะเวลาใดนายจ้างจะต้องทำความตกลงกับลูกจ้างโดยชัดแจ้งหรือโดยปริยายให้มีสาระสำคัญครบถ้วนถึงกำหนดช่วงระยะการเริ่มต้นและการสิ้นสุดของการทำงานล่วงเวลาไว้ก่อนล่วงหน้า หลังจากนั้นหากนายจ้างจะออกคำสั่งในเรื่องการทำงานล่วงเวลาอีกก็ต้องให้สอดคล้องกับข้อตกลงดังกล่าว ถ้าคำสั่งนั้นไม่สอดคล้องกับข้อตกลงต้องถือว่าเป็นคำสั่งให้ทำงานล่วงเวลาที่ไม่ชอบด้วยบทบัญญัติดังกล่าว ลูกจ้างไม่จำต้องปฏิบัติตามก็ได้
เมื่อไม่ปรากฏว่ามีข้อตกลงเรื่องกำหนดช่วงระยะเวลาเริ่มต้นและการสิ้นสุดของการทำงานล่วงเวลาระหว่างจำเลยกับลูกจ้างรวมทั้งโจทก์คำสั่งของจำเลยให้ลูกจ้างทำงานล่วงเวลา จึงไม่ชอบด้วยพระราชบัญญัติคุ้มครองแรงงาน พ.ศ. 2541 มาตรา 24 วรรคหนึ่ง แม้โจทก์จะลงชื่อให้ความยินยอมว่าจะปฏิบัติตาม ก็ไม่ผูกพันโจทก์ให้ต้องทำงานล่วงเวลา การที่โจทก์ไม่ได้ทำงานล่วงเวลาทุกวันตามคำสั่งของจำเลยยังถือไม่ได้ว่าโจทก์ขัดคำสั่งของจำเลยเรื่องการทำงานล่วงเวลา
ศาลแรงงานวินิจฉัยว่าจำเลยเลิกจ้างโจทก์โดยไม่บอกกล่าวล่วงหน้าก่อนถึงกำหนดจ่ายสินจ้างคราวหนึ่ง จึงต้องจ่ายสินจ้างแทนการบอกกล่าวล่วงหน้าให้แก่โจทก์ แสดงอยู่ในตัวว่าศาลแรงงานวินิจฉัยคดีโดยปรับใช้บังคับตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 582 แล้ว
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4082/2543
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การขยายระยะเวลายื่นฎีกา: พิจารณาความล่าช้าจากเหตุผลที่สมควรและเจตนาของผู้ร้อง
จำเลยให้การรับสารภาพ คำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 3 ที่รอการลงโทษจำเลยให้เหตุผลเพียงว่าพฤติการณ์แห่งคดีถือว่าไม่ร้ายแรง ประกอบกับจำเลยไม่เคยต้องโทษจำคุกมาก่อน ทั้งคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 3 ก็ไม่ยุ่งยากที่โจทก์จะคัดสำเนาส่งไปให้อัยการศาลสูงพิจารณา แต่โจทก์กลับยื่นคำร้องขอถ่ายสำเนาคำพิพากษาเมื่อวันที่ 10 กุมภาพันธ์ 2542 หลังจากศาลชั้นต้นอ่านคำพิพากษาแล้วหนึ่งเดือนเศษ และในการสั่งอนุญาตให้ขยายระยะเวลายื่นฎีกาครั้งที่ 2 ตามคำร้องของโจทก์ ศาลชั้นต้นก็ได้สั่งกำชับโจทก์ว่า อนุญาตให้ขยายระยะเวลายื่นฎีกาเป็นครั้งสุดท้ายถึงวันที่ 11 มีนาคม 2542 ทั้งระยะเวลาที่ขยายให้ก็มากพอที่โจทก์จะดำเนินการได้ทัน ความล่าช้าต่าง ๆ ตามที่โจทก์อ้างก็เนื่องมาจากการปฏิบัติงานของโจทก์เองทั้งสิ้น จึงไม่ใช่พฤติการณ์พิเศษอันควรขยายระยะเวลายื่นฎีกาให้แก่โจทก์อีก