คำพิพากษาที่เกี่ยวข้องกับกฎหมาย
ป.พ.พ. ม. 368

พบผลลัพธ์ทั้งหมด 854 รายการ

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 813/2534

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ สัญญาค้ำประกันเปลี่ยนแปลงความเสี่ยง – การค้ำประกันใหม่มีผลให้การค้ำประกันเดิมสิ้นสุด
จำเลยทำสัญญาค้ำประกัน ป. ในการเป็นพนักงานตำแหน่งเจ้าหน้าที่ของโจทก์ ต่อมาโจทก์แต่งตั้ง ป. ให้เป็นพนักงานในตำแหน่งผู้จัดการขึ้นใหม่โดยให้มีอำนาจหน้าที่รับผิดชอบในเรื่องการเงิน ซึ่งเป็นการเพิ่มความเสี่ยงภัยและความรับผิดให้แก่จำเลยโดยจำเลยมิได้ยินยอมด้วย ทั้งมีบริษัท ท. เป็นผู้ค้ำประกันโดยมิได้ระบุว่าเป็นการค้ำประกันเพิ่มเติมจากที่จำเลยได้ค้ำประกันไว้แล้ว แสดงว่าโจทก์ไม่ประสงค์จะให้จำเลยต้องผูกพันตามสัญญาค้ำประกันโดยให้บริษัท ท. เข้าเป็นผู้ค้ำประกันแทน จำเลยจึงไม่ต้องรับผิดต่อโจทก์ในกรณีที่ บ. ยักยอกเงินของโจทก์.

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 749/2534

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ สัญญาจะซื้อจะขาย & การช่วยเหลือการก่อสร้าง: จำเลยไม่ผิดสัญญา แม้ไม่ยื่นขอเลขบ้าน เพราะโจทก์สร้างไม่เสร็จ
สัญญาจะซื้อจะขายที่ดินข้อ 8 ระบุว่า "ผู้จะขายและผู้จะซื้อต่างฝ่ายต่างได้รับรองไว้ต่อกันว่าจะไม่ทำให้ฝ่ายหนึ่งฝ่ายใดเกิดการเสียหายเป็นอันขาด และถ้ามี เหตุการณ์ ที่ต้องขอความร่วมมือซึ่งกันและกันแล้ว ทั้งผู้จะขายและผู้จะซื้อยินดีร่วมมือช่วยเหลือซึ่งกันและกันจนกว่าการปลูกสร้างจะแล้วเสร็จบริบูรณ์" โจทก์ก่อสร้างตึกแถวพิพาทยังไม่เสร็จ แต่โจทก์ยื่นคำร้องขอเลขบ้านตึกแถวพิพาทซึ่งผู้ใหญ่บ้านไม่ออกให้เพราะผิดระเบียบถึงแม้จำเลยเจ้าของที่ดินจะเป็นผู้ยื่นคำร้องก็ไม่สามารถจะออกเลขบ้านตึกแถวพิพาทได้การที่จำเลยไม่ยื่นคำร้องขอเลขบ้านตึกแถวพิพาทเพื่อโจทก์จะได้ขอติดตั้งน้ำประปาและไฟฟ้าเพื่อจะได้ทำการก่อสร้างต่อไป จำเลยจึงไม่ผิดสัญญา

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 96/2534

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การใช้สิทธิบอกเลิกสัญญาซื้อขายและการเรียกร้องค่าปรับรายวัน กรณีผู้ขายไม่ส่งมอบของตามสัญญา
โจทก์จำเลยทำสัญญาซื้อขายเครื่องอบด้วยความร้อนไมโครเวฟตามสัญญาข้อ 8 กำหนดว่า ถ้าผู้ขายไม่ส่งมอบสิ่งของที่ตกลงขายหรือส่งมอบของทั้งหมดไม่ถูกต้อง หรือส่งมอบสิ่งของไม่ครบจำนวนผู้ซื้อมีสิทธิบอกเลิกสัญญาได้ ในกรณีที่ผู้ซื้อใช้สิทธิบอกเลิกสัญญาผู้ขายยอมให้ผู้ซื้อริบหลักประกันได้ และสัญญาข้อ 9กำหนดว่า ในกรณีที่ผู้ซื้อไม่ใช้สิทธิบอกเลิกสัญญาตามข้อ 8ผู้ขายยอมให้ผู้ซื้อปรับเป็นรายวันในอัตราร้อยละ 0.2 ของราคาสิ่งของที่ยังไม่ได้รับมอบ ในระหว่างที่มีการปรับนั้น ถ้าผู้ซื้อเห็นว่าผู้ขายไม่อาจปฏิบัติตามสัญญาต่อไปได้ ผู้ซื้อจะใช้สิทธิบอกเลิกสัญญาและริบหลักประกันกับเรียกร้องให้ชดใช้ราคาที่เพิ่มขึ้นจากราคาที่กำหนดไว้ในข้อ 8 วรรคสอง นอกเหนือจากการปรับด้วยก็ได้ การที่จำเลยส่งมอบของที่มีคุณลักษณะไม่ถูกต้องตามสัญญาแก่โจทก์ แล้วโจทก์ได้ส่งของคืนนั้นและแจ้งให้จำเลยส่งของที่มีคุณลักษณะถูกต้องตามสัญญาแก่โจทก์ใหม่แต่จำเลยไม่ได้ส่งของใหม่แก่โจทก์ ถือว่าจำเลยยังไม่ได้ส่งมอบสิ่งของให้แก่โจทก์เลย เมื่อโจทก์ได้ใช้สิทธิบอกเลิกสัญญาและริบหลักประกันที่จำเลยวางไว้แล้วโจทก์จึงไม่มีสิทธิที่จะเรียกเอาค่าปรับเป็นรายวันจากจำเลยตามสัญญาข้อ 9 ได้อีก

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 10/2534

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ความประมาทในการขับรถ ชนแล้วเลี้ยวกลับรถ กรมธรรม์ประกันภัยไม่คุ้มครองหากผู้เอาประกันภัยประมาท
ถนนที่เกิดเหตุมีเกาะกลางแบ่งครึ่งถนน แต่ละด้านมีช่องทางจราจร 2 ช่อง ก่อนเกิดเหตุชนกันรถยนต์บรรทุกฝ่ายจำเลยวิ่งมาทางช่องด้านซ้าย แล้วเลี้ยวขวาเข้าสู่ช่องกลับรถที่เกาะกึ่งกลางถนนส่วนรถยนต์ฝ่ายโจทก์วิ่งมาในทิศทางเดียวกันแต่วิ่งในช่องทางด้านขวา หัวรถฝ่ายโจทก์ชนที่ยางล้อหลังด้านขวาของรถฝ่ายจำเลยในขณะที่รถฝ่ายจำเลยขวางถนนอยู่ หากรถฝ่ายจำเลยจอดขวางถนนรอเลี้ยวกลับรถอยู่ก่อนแล้วจริง คนขับรถฝ่ายโจทก์ก็ไม่น่าจะขับรถเข้าชนรถฝ่ายจำเลยอย่างแรง การชนกันในลักษณะเช่นนี้น่าจะเกิดจากรถฝ่ายจำเลยเลี้ยวกลับรถโดยกะทันหันโดยไม่ดู ความปลอดภัยเสียก่อนว่ามีรถแล่นตามมาในช่องทางเดินรถช่องที่สองหรือไม่ และการที่จำเลยที่ 1ให้การรับสารภาพต่อพนักงานสอบสวนว่าขับรถยนต์ประมาทเป็นเหตุให้ทรัพย์สินผู้อื่นเสียหายและยอมให้เปรียบเทียบปรับ แสดงว่าจำเลยที่ 1รู้ดีอยู่แล้วว่าตนเป็นฝ่ายผิด ดังนี้เหตุรถชนกันเกิดเพราะความประมาทของจำเลยที่ 1 ตามรายงานเกี่ยวกับคดีที่บันทึกว่า จำเลยที่ 2 ช่วย ค่ารักษาพยาบาลแก่ ส. คนขับรถยนต์ฝ่ายโจทก์ ส่วนค่าเสียหายรถยนต์ของฝ่ายโจทก์นั้นจะดำเนินการฟ้องร้องในทางแพ่งเองหาใช่เป็นการตกลงใช้ค่าเสียหายเกี่ยวกับการซ่อมรถของฝ่ายโจทก์ดัง ที่ข้อสัญญาตามกรมธรรม์ประกันภัยห้ามไว้ไม่ เมื่อรถของฝ่ายจำเลยที่ 2 เป็นฝ่ายผิดแม้จำเลยที่ 2 จะตกลงใช้ค่าเสียหายแก่โจทก์จำเลยที่ 3 ก็หาอาจอ้างข้อสัญญาตามกรมธรรม์ประกันภัยมาบอกปัดความรับผิดได้ไม่ ศาลพิพากษาให้จำเลยทั้งสามร่วมกันใช้เงินแก่โจทก์ โดยให้จำเลยที่ 3 ร่วมรับผิดในเงินส่วนหนึ่งพร้อมดอกเบี้ยนั้น หาใช่เป็นการให้ดอกเบี้ยซ้ำซ้อน ไม่.

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 5/2534

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ สัญญาจะซื้อขายที่ดิน: หน้าที่รวบรวมที่ดินเพื่อขาย ไม่ใช่ต้องได้กรรมสิทธิ์ก่อน
จำเลยทั้งสองตกลงให้โจทก์รวบรวมที่ดินเพื่อนำมาขายให้แก่จำเลยที่ 1 โดยจำเลยที่ 1 ทำสัญญาจะซื้อขายที่ดินกับโจทก์ในราคาไร่ละ 22,000 บาท โจทก์ได้รวบรวมที่ดินตามสัญญาแล้วจำเลยที่ 1 ได้ตกลงซื้อที่ดินดังกล่าวจากเจ้าของที่ดินโดยตรงโดยโจทก์ยินยอม และโจทก์ได้พาเจ้าของที่ดินไปจดทะเบียนโอนขายให้แก่จำเลยที่ 1 แม้จำเลยที่ 1 ได้ชำระราคาที่ดินให้แก่เจ้าของที่ดินไปไร่ละ 18,000 บาทแล้ว จำเลยที่ 1 ก็มีหน้าที่ต้องชำระราคาที่ดินส่วนที่ยังขาดอยู่ไร่ละ 4,000 บาท ตามสัญญาจะซื้อขายที่ดินให้แก่โจทก์ การที่จำเลยที่ 1 ยังไม่ชำระเงินจำนวนดังกล่าวให้แก่โจทก์ จำเลยที่ 1 จึงเป็นฝ่ายผิดสัญญา สัญญาจะซื้อขายที่ดินมีข้อความว่า โจทก์ตกลงเป็นผู้รวบรวมที่ดินทั้งหกโฉนด เพื่อขายให้แก่จำเลยที่ 1 สาระสำคัญของสัญญาดังกล่าวจึงมีเพียงว่า โจทก์มีหน้าที่จัดการรวบรวมที่ดินทั้งหกโฉนด นั้นมาเพื่อขายให้แก่จำเลยที่ 1 เท่านั้น หาได้ผูกพันถึงขนาดว่าโจทก์จะต้องรวบรวมที่ดินทั้งหกโฉนด นั้นให้เป็นกรรมสิทธิ์ของโจทก์ก่อนเพื่อจัดการโอนขายให้แก่จำเลยที่ 1 ต่อไปแต่อย่างใดไม่.

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 5598/2533

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ขอบเขตความรับผิดชอบค่าภาษีตามสัญญาเช่า: ภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาที่ไม่ระบุในสัญญา
จำเลยได้ลงทุนก่อสร้างโรงแรมแล้วยกกรรมสิทธิ์ในสิ่งก่อสร้างให้แก่เจ้าของที่ดิน โดยมีข้อตกลงว่า จำเลยมีสิทธิเช่าโรงแรมที่ก่อสร้างเพื่อดำเนินกิจการโรงแรมเป็นเวลา 16 ปี 6 เดือน และตลอดเวลาการเช่า จำเลยจะเป็นผู้ชำระค่าภาษีโรงเรือน ภาษีการค้าหรือภาษีอื่นใด และภาษีส่วนที่ทางราชการประเมินสูงกว่าที่ปรากฏในสัญญาเช่า การที่จำเลยยกกรรมสิทธิ์ในที่ก่อสร้างให้แก่เจ้าของที่ดินนี้ กรมสรรพากรถือว่าเป็นรายได้พึงประเมินภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาของเจ้าของที่ดิน เจ้าของที่ดินมีหน้าที่ตามกฎหมายโดยตรงที่จะต้องเสียภาษี เมื่อพิจารณาถึงเจตนาของคู่สัญญาแล้ว ถ้าเจ้าของที่ดินมีเจตนาให้จำเลยชำระภาษีส่วนนี้แทนด้วยก็ควรจะต้องระบุไว้ให้ชัดแจ้งเพราะภาษีโรงเรือน ภาษีการค้า ยังระบุไว้ได้ หรือมิฉะนั้นระบุว่าภาษีใด ๆ ก็เพียงพอแล้วไม่ต้องระบุรายละเอียดว่าเป็นภาษีในกรณีใดบ้างอย่างเช่นที่ได้ระบุไว้ในสัญญาเช่า ทำให้เห็นเจตนาของคู่สัญญาว่ามิได้หมายความรวมถึงภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาด้วยจำเลยจึงไม่มีหน้าที่ต้องชำระภาษีส่วนนี้แทนเจ้าของที่ดิน โจทก์ซึ่งเป็นผู้รับมรดกของเจ้าของที่ดินย่อมไม่มีสิทธิยกเอาเหตุนี้มาบอกเลิกสัญญาเช่าได้.

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 5598/2533 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ เจตนาสัญญาเช่าและขอบเขตความรับผิดชอบภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา กรณีจำเลยไม่ต้องรับผิดชอบแทนเจ้าของที่ดิน
จำเลยได้ลงทุนก่อสร้างโรงแรมแล้วยกกรรมสิทธิ์ในสิ่งก่อสร้างให้แก่เจ้าของที่ดิน โดยมีข้อตกลงว่า จำเลยมีสิทธิเช่าโรงแรมที่ก่อสร้างเพื่อดำเนินกิจการโรงแรมเป็นเวลา 16 ปี 6 เดือน และตลอดเวลาการเช่า จำเลยจะเป็นผู้ชำระค่าภาษีโรงเรือน ภาษีการค้า หรือภาษีอื่นใด และภาษีส่วนที่ทางราชการประเมินสูงกว่าที่ปรากฏในสัญญาเช่า การที่จำเลยยกกรรมสิทธิ์ในที่ก่อสร้างให้แก่เจ้าของที่ดินนี้ กรมสรรพากรถือว่าเป็นรายได้พึงประเมินภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาของเจ้าของที่ดิน เจ้าของที่ดินมีหน้าที่ตามกฎหมายโดยตรงที่จะต้องเสียภาษี เมื่อพิจารณาถึงเจตนาของคู่สัญญาแล้ว ถ้าเจ้าของที่ดินมีเจตนาให้จำเลยชำระภาษีส่วนนี้แทนด้วยก็ควรจะต้องระบุไว้ให้ชัดแจ้งเพราะภาษีโรงเรือน ภาษีการค้า ยังระบุไว้ได้ หรือมิฉะนั้นระบุว่าภาษีใด ๆ ก็เพียงพอแล้วไม่ต้องระบุรายละเอียดว่าเป็นภาษีในกรณีใดบ้างอย่างเช่นที่ได้ระบุไว้ในสัญญาเช่า ทำให้เห็นเจตนาของคู่สัญญาว่ามิได้หมายความรวมถึงภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาด้วยจำเลยจึงไม่มีหน้าที่ต้องชำระภาษีส่วนนี้แทนเจ้าของที่ดิน โจทก์ซึ่งเป็นผู้รับมรดกของเจ้าของที่ดินย่อมไม่มีสิทธิยกเอาเหตุนี้มาบอกเลิกสัญญาเช่าได้.

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 5552/2533

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ สัญญาติดตั้งสายเทเล็กซ์: จำเลยต้องคืนเงินค่าติดตั้งหากไม่ได้ติดตั้งโดยไม่ใช่ความผิดของโจทก์
โจทก์ยื่นคำขอเช่าใช้บริการเทเลกช์ กับการสื่อสารแห่งประเทศไทยการสื่อสารแห่งประเทศไทยจึงมีหนังสือติดต่อขอเช่าคู่สายเคเบิลจากจำเลย จำเลยเรียกค่าใช้จ่ายในการติดตั้งคู่สายเคเบิลจากโจทก์7,000 บาท โจทก์ชำระให้โดยทราบเงื่อนไขการชำระเงินตามหนังสือเรื่องการสร้างคู่สายเคเบิลสำหรับบริการเทเล็กซ์ เอกสารหมาย จ.1แล้ว ปรากฏว่าจำเลยกำหนดคู่สายเพื่อจะติดตั้งแก่โจทก์แล้วแต่จำเลยได้รับหนังสือการเลิกเช่าสายเคเบิลเพื่อใช้บริการเทเล็กซ์จากการสื่อสารแห่งประเทศไทยเสียก่อน จึงยังไม่ได้ติดตั้งแก่โจทก์หนังสือเอกสารหมาย จ.1 นั้นมีข้อความว่า...เมื่อนำไปใช้บริการเทเล็กซ์ อาจไม่ได้รับความสะดวก จำเลยจะไม่รับผิดชอบแล้วมีข้อความต่อเนื่องเกี่ยวโยงกันว่า เมื่อโจทก์ได้ชำระค่าติดตั้งสายเทเล็กซ์แล้วเกิดขัดข้องจากการสื่อสารแห่งประเทศไทย ไม่สามารถติดตั้งใช้งานเทล็กซ์ได้ด้วยเหตุใดก็ตาม จำเลยสงวนสิทธิที่จะไม่คืนเงินค่าติดตั้ง แสดงเจตนารมณ์ในสัญญาว่าจำเลยมีหน้าที่ต้องติดตั้งคู่สายเทเล็กซ์ ให้การสื่อสารแห่งประเทศไทย เมื่อติดตั้งแล้วการสื่อสารแห่งประเทศไทยไม่สามารถใช้งานเทเล็กซ์ จำเลยจึงจะมีสิทธิที่จะไม่คืนเงินค่าติดตั้งได้เท่านั้น ส่วนการที่การสื่อสารแห่งประเทศไทยบอกเลิกการเช่าสายเคเบิลไปยังจำเลยโดยปรากฎใจความว่า การสื่อสารแห่งประเทศไทยแจ้งให้โจทก์นำเงินค่าสร้างคู่สายไปชำระให้จำเลยแล้วตอบรับไป แต่โจทก์ไม่ตอบรับการสื่อสารแห่งประเทศไทยจึงขอ บอกเลิกการเช่าสายเคเบิลต่อจำเลยทั้ง ๆ ที่โจทก์ยังไม่เคยรับการติดตั้งเครื่องเทเล็กซ์ แต่ประการใดการบอกเลิกสัญญาเช่นนี้ไม่ใช่ข้อขัดข้องจากการสื่อสารแห่งประเทศไทยที่ไม่สามารถติดตั้งใช้งานเทเล็กซ์ ตามความหมายของหนังสือเอกสารหมายจ.1 จำเลยรับเงินค่าติดตั้งสายเคเบิลจากโจทก์แล้วไม่ได้ติดตั้งโดยไม่ใช่ความผิดของโจทก์ จำเลยต้องคืนเงินแก่โจทก์พร้อมดอกเบี้ย.

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 5552/2533 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ จำเลยต้องคืนเงินค่าติดตั้งสายเทเล็กซ์ เนื่องจากไม่ได้ติดตั้งโดยไม่ใช่ความผิดของโจทก์
โจทก์ยื่นคำขอเช่าใช้บริการเทเลกช์ กับการสื่อสารแห่งประเทศไทยการสื่อสารแห่งประเทศไทยจึงมีหนังสือติดต่อขอเช่าคู่สายเคเบิลจากจำเลย จำเลยเรียกค่าใช้จ่ายในการติดตั้งคู่สายเคเบิลจากโจทก์ 7 ,000 บาท โจทก์ชำระให้โดยทราบเงื่อนไขการชำระเงินตามหนังสือเรื่องการสร้างคู่สายเคเบิลสำหรับบริการเทเล็กซ์ เอกสารหมาย จ.1แล้ว ปรากฏว่าจำเลยกำหนดคู่สายเพื่อจะติดตั้งแก่โจทก์แล้วแต่จำเลยได้รับหนังสือการเลิกเช่าสายเคเบิลเพื่อใช้บริการเทเล็กซ์จากการสื่อสารแห่งประเทศไทยเสียก่อน จึงยังไม่ได้ติดตั้งแก่โจทก์หนังสือเอกสารหมาย จ.1 นั้นมีข้อความว่า...เมื่อนำไปใช้บริการเทเล็กซ์ อาจไม่ได้รับความสะดวก จำเลยจะไม่รับผิดชอบแล้วมีข้อความต่อเนื่องเกี่ยวโยงกันว่า เมื่อโจทก์ได้ชำระค่าติดตั้งสายเทเล็กซ์แล้วเกิดขัดข้องจากการสื่อสารแห่งประเทศไทย ไม่สามารถติดตั้งใช้งานเทล็กซ์ได้ด้วยเหตุใดก็ตาม จำเลยสงวนสิทธิที่จะไม่คืนเงินค่าติดตั้ง แสดงเจตนารมณ์ในสัญญาว่าจำเลยมีหน้าที่ต้องติดตั้งคู่สายเทเล็กซ์ ให้การสื่อสารแห่งประเทศไทย เมื่อติดตั้งแล้วการสื่อสารแห่งประเทศไทยไม่สามารถใช้งานเทเล็กซ์ จำเลยจึงจะมีสิทธิที่จะไม่คืนเงินค่าติดตั้งได้เท่านั้น ส่วนการที่การสื่อสารแห่งประเทศไทยบอกเลิกการเช่าสายเคเบิลไปยังจำเลยโดยปรากฎใจความว่า การสื่อสารแห่งประเทศไทยแจ้งให้โจทก์นำเงินค่าสร้างคู่สายไปชำระให้จำเลยแล้วตอบรับไป แต่โจทก์ไม่ตอบรับการสื่อสารแห่งประเทศไทยจึงขอ บอกเลิกการเช่าสายเคเบิลต่อจำเลยทั้ง ๆ ที่โจทก์ยังไม่เคยรับการติดตั้งเครื่องเทเล็กซ์ แต่ประการใดการบอกเลิกสัญญาเช่นนี้ไม่ใช่ข้อขัดข้องจากการสื่อสารแห่งประเทศไทยที่ไม่สามารถติดตั้งใช้งานเทเล็กซ์ ตามความหมายของหนังสือเอกสารหมายจ.1 จำเลยรับเงินค่าติดตั้งสายเคเบิลจากโจทก์แล้วไม่ได้ติดตั้งโดยไม่ใช่ความผิดของโจทก์ จำเลยต้องคืนเงินแก่โจทก์พร้อมดอกเบี้ย.

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 5379/2533

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การซื้อขายที่ดินและการบังคับตามสัญญา ต้องมีเจตนาชัดเจนในการซื้อขาย การจ่ายเงินเพื่อหลีกเลี่ยงความขัดแย้งไม่ถือเป็นการซื้อขาย
โจทก์อ้างว่าจำเลยซื้อที่ดินโจทก์เฉพาะส่วนที่จำเลยรุกล้ำตามสัญญาเอกสารหมาย จ.1 แล้วไม่ชำระราคาตามกำหนด โจทก์บอกเลิกสัญญาแล้ว ขอให้ขับไล่จำเลย จำเลยกล่าวแก้ว่าส่วนที่โจทก์กล่าวหาว่าจำเลยรุกล้ำจำเลยครอบครองมาตั้งแต่ได้รับยกให้ โจทก์จำเลยโต้เถียงกัน เพื่อไม่ให้ต้องดำเนินคดีกัน จำเลยยินยอมให้เงินโจทก์ 2,000 บาทได้ทำสัญญาเอกสารหมาย จ.1 ไว้ ปรากฏว่าตามสัญญาเอกสารหมายจ.1 ไม่มีข้อความใดระบุว่าเป็นการซื้อขาย คงมีแต่เพียงว่าจำเลยจะจ่ายเงินให้โจทก์ 2,000 บาท ใน 60 วัน และไม่มีข้อความใดระบุว่าถ้าหากจำเลยไม่ใช้เงินแก่โจทก์ตามกำหนดแล้ว คู่สัญญาต้องปฏิบัติอย่างไรต่อกันจึงต้องถือเอาเจตนาในการเข้าทำสัญญาระหว่างกันจำเลยมีหน้าที่ต้องชำระเงินตามสัญญา แต่โจทก์ไม่ได้ขอให้บังคับตามข้อนี้ ส่วนประเด็นที่โจทก์อ้างว่าจำเลยซื้อขายที่ดินส่วนที่รุกล้ำนั้นจำเลยปฏิเสธว่าให้เงินเพื่อไม่ต้องดำเนินคดีแก่กัน ซึ่งโจทก์ไม่ได้นำสืบตามข้อกล่าวอ้าง จึงฟังไม่ได้ว่าจำเลยตกลงจะซื้อที่ดินของโจทก์ ศาลจึงบังคับขับไล่จำเลยตามฟ้องไม่ได้.
of 86