พบผลลัพธ์ทั้งหมด 854 รายการ
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1514/2528
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
สัญญาขายฝากอสังหาริมทรัพย์ที่ไม่จดทะเบียนเป็นโมฆะ แม้มีเงื่อนไขให้รื้อถอนได้
จำเลยทำสัญญาขายฝากบ้านไว้แก่โจทก์โดยไม่ได้ไปจดทะเบียนต่อพนักงานเจ้าหน้าที่มีเงื่อนไขว่าหากจำเลยไม่ไถ่คืนภายในกำหนดโจทก์มีสิทธิรื้อถอนเอาบ้านไปได้ดังนี้รูปเรื่องเป็นการขายฝากบ้าน ซึ่งบ้านยังคงสภาพเป็นอสังหาริมทรัพย์อยู่ตามเดิมจนกว่าจำเลยจะไม่ไถ่คืน และโจทก์ได้รื้อถอนเอาไปถ้าจำเลยไถ่คืนแล้วก็ไม่มีทางที่บ้านนั้น จะแปรสภาพเป็นสังหาริมทรัพย์ไปได้ดังนี้ สัญญาที่ทำไว้จึงเป็นสัญญาขายฝากอสังหาริมทรัพย์ หาใช่เป็นสัญญาซื้อขายไม้ที่ปลูกสร้างบ้าน ซึ่งเป็นสังหาริมทรัพย์ไม่เมื่อทำสัญญากันเองและมิได้จดทะเบียนต่อพนักงานเจ้าหน้าที่ย่อมเป็นโมฆะตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 491 ประกอบมาตรา 456 โจทก์จะนำมาฟ้องร้องให้บังคับคดีหาได้ไม่ (โปรดดูคำพิพากษาฎีกาที่ 788/2497 และ 923/2485)
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3531/2527
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
สัญญาซื้อขายเช็คและตั๋วสัญญาใช้เงิน: ความรับผิดเมื่อเช็คสูญหายและการหักกลบลบหนี้
จำเลยนำเช็คมาขายลดให้โจทก์และออกตั๋วสัญญาใช้เงินจำนวนเท่ากันกำหนดใช้เงินให้โจทก์เมื่อครบ 58 วันเท่ากับระยะเวลาที่เช็คถึงกำหนดชำระเงินพร้อมกับได้ทำหนังสือรับรองการมอบตั๋วสัญญาใช้เงินโดยระบุให้เช็คดังกล่าวเป็นหลักทรัพย์ที่ประกันในการออกตั๋วสัญญาใช้เงินมีข้อตกลงในการชำระเงินว่า เมื่อถึงกำหนดชำระเงินให้โจทก์นำเช็คไปเบิกเงินจากธนาคาร ถ้าโจทก์ได้รับเงินตามเช็คก็ให้ถือว่าตั๋วสัญญาใช้เงินที่จำเลยเป็นผู้ออกนั้นได้ใช้เงินแล้วหนี้ที่ซื้อขายลดเช็คเป็นอันระงับไป หากเช็คเบิกเงินไม่ได้ จำเลยจะต้องรับผิดใช้เงินตามตั๋วสัญญาใช้เงินพร้อมดอกเบี้ยแก่โจทก์ ดังนี้ การออกตั๋วสัญญาใช้เงินและหนังสือรับรองการมอบตั๋วสัญญาใช้เงินดังกล่าวเป็นความสมัครใจของโจทก์และจำเลย เกิดเป็นสัญญามีผลผูกพันบังคับกันได้ตามกฎหมาย เมื่อเช็คดังกล่าวสูญหายไปจำเลยต้องชำระหนี้ให้แก่โจทก์ตามตั๋วสัญญาใช้เงิน จำเลยจะอ้างว่าโจทก์มิได้นำเช็คไปเบิกจากธนาคารก่อนหรือการชำระหนี้กลายเป็นพ้นวิสัยเพื่อปฏิเสธความรับผิดหาได้ไม่ และเรื่องนี้มิใช่เรื่องสัญญาค้ำประกัน จำเลยจะยกเหตุตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 697 มาปัดความรับผิดก็ไม่ได้เช่นกัน หนี้ที่จำเลยนำมาขอหักกลบลบหนี้กับโจทก์เป็นหนี้ที่เกิดจากความเสียหายอันเนื่องจากการที่โจทก์ทำเช็คสูญหายไปมิใช่เป็นหนี้ที่โจทก์จะต้องชำระหนี้ตามเช็คให้จำเลยโจทก์มิได้เป็นผู้สั่งจ่ายเช็คจึงไม่มีหนี้อะไรตามเช็คที่จำเลยจะนำมาหักกลบลบหนี้ตามตั๋วสัญญาใช้เงินนั้นได้ จำเลยได้รับความเสียหายอย่างไรชอบที่จะไปว่ากล่าวเอาแก่โจทก์ต่างหาก โจทก์ฟ้องขอให้จำเลยชำระเงินโดยอ้างว่าจำเลยเป็นผู้ออกตั๋วสัญญาใช้เงินและนำมาขายให้แก่โจทก์ ครั้นถึงกำหนดจำเลยไม่ยอมชำระเงินตามตั๋วสัญญาใช้เงิน ศาลฎีกาฟังข้อเท็จจริงว่า จำเลยนำเช็คมาขายลดให้โจทก์แล้วออกตั๋วสัญญาใช้เงินพร้อมกับทำหนังสือรับรองการมอบตั๋วสัญญาใช้เงินโดยระบุเช็คนั้นเป็นประกันการออกตั๋วสัญญาใช้เงิน โดยมีข้อตกลงว่า หากโจทก์นำเช็คไปเบิกเงินจากธนาคารไม่ได้ จำเลยจะต้องรับผิดตามตั๋วสัญญาใช้เงิน ดังนี้ ไม่ถือว่าข้อเท็จจริงตามทางพิจารณาแตกต่างกับฟ้องโจทก์
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3531/2527 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
สัญญาซื้อขายเช็คและตั๋วสัญญาใช้เงิน การชำระหนี้ด้วยเช็ค และการหักกลบลบหนี้
จำเลยนำเช็คมาขายลดให้โจทก์และออกตั๋วสัญญาใช้เงินจำนวนเท่ากันกำหนดใช้เงินให้โจทก์เมื่อครบ 58 วันเท่ากับระยะเวลาที่เช็คถึงกำหนดชำระเงินพร้อมกับได้ทำหนังสือรับรองการมอบตั๋วสัญญาใช้เงินโดยระบุให้เช็คดังกล่าวเป็นหลักทรัพย์ที่ประกันในการออกตั๋วสัญญาใช้เงินมีข้อตกลงในการชำระเงินว่า เมื่อถึงกำหนดชำระเงินให้โจทก์นำเช็คไปเบิกเงินจากธนาคาร ถ้าโจทก์ได้รับเงินตามเช็คก็ให้ถือว่าตั๋วสัญญาใช้เงิน ที่จำเลยเป็นผู้ออกนั้นได้ใช้เงินแล้ว หนี้ที่ซื้อขายลดเช็คเป็นอันระงับไป หากเช็คเบิกเงินไม่ได้ จำเลยจะต้องรับผิดใช้เงินตามตั๋วสัญญาใช้เงินพร้อมดอกเบี้ยแก่โจทก์ ดังนี้ การออกตั๋วสัญญาใช้เงินและหนังสือรับรองการมอบตั๋วสัญญาใช้เงินดังกล่าวเป็นความสมัครใจของโจทก์และจำเลย เกิดเป็นสัญญามีผลผูกพันบังคับกันได้ตามกฎหมาย เมื่อเช็คดังกล่าวสูญหายไป จำเลยต้องชำระหนี้ให้แก่โจทก์ตามตั๋วสัญญาใช้เงิน จำเลยจะอ้างว่าโจทก์มิได้นำเช็คไปเบิกจากธนาคารก่อนหรือการชำระหนี้กลายเป็นพ้นวิสัยเพื่อปฏิเสธความรับผิดหาได้ไม่ และเรื่องนี้มิใช่เรื่องสัญญาค้ำประกันจำเลยจะยกเหตุตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 697 มาปัดความรับผิดก็ไม่ได้เช่นกัน
หนี้ที่จำเลยนำมาขอหักกลบลบหนี้กับโจทก์เป็นหนี้ที่เกิดจากความเสียหายอันเนื่องจากการที่โจทก์ทำเช็คสูญหายไป มิใช่เป็นหนี้ที่โจทก์จะต้องชำระหนี้ตามเช็คให้จำเลย โจทก์มิได้เป็นผู้สั่งจ่ายเช็คจึงไม่มีหนี้อะไรตามเช็คที่จำเลยจะนำมาหักกลบลบหนี้ตามตั๋วสัญญาใช้เงินนั้นได้ จำเลยได้รับความเสียหายอย่างไรชอบที่จะไปว่ากล่าวเอาแก่โจทก์ต่างหาก
โจทก์ฟ้องขอให้จำเลยชำระเงินโดยอ้างว่าจำเลยเป็นผู้ออกตั๋วสัญญาใช้เงินและนำมาขายให้แก่โจทก์ ครั้นถึงกำหนดจำเลยไม่ยอมชำระเงินตามตั๋วสัญญาใช้เงิน ศาลฎีกาฟังข้อเท็จจริงว่า จำเลยนำเช็คมาขายลดให้โจทก์แล้วออกตั๋วสัญญาใช้เงินพร้อมกับทำหนังสือรับรองการมอบตั๋วสัญญาใช้เงินโดยระบุเช็คนั้นเป็นประกันการออกตั๋วสัญญาใช้เงิน โดยมีข้อตกลงว่า หากโจทก์นำเช็คไปเบิกเงินจากธนาคารไม่ได้ จำเลยจะต้องรับผิดตามตั๋วสัญญาใช้เงิน ดังนี้ ไม่ถือว่าข้อเท็จจริงตามทางพิจารณาแตกต่างกับฟ้องโจทก์
หนี้ที่จำเลยนำมาขอหักกลบลบหนี้กับโจทก์เป็นหนี้ที่เกิดจากความเสียหายอันเนื่องจากการที่โจทก์ทำเช็คสูญหายไป มิใช่เป็นหนี้ที่โจทก์จะต้องชำระหนี้ตามเช็คให้จำเลย โจทก์มิได้เป็นผู้สั่งจ่ายเช็คจึงไม่มีหนี้อะไรตามเช็คที่จำเลยจะนำมาหักกลบลบหนี้ตามตั๋วสัญญาใช้เงินนั้นได้ จำเลยได้รับความเสียหายอย่างไรชอบที่จะไปว่ากล่าวเอาแก่โจทก์ต่างหาก
โจทก์ฟ้องขอให้จำเลยชำระเงินโดยอ้างว่าจำเลยเป็นผู้ออกตั๋วสัญญาใช้เงินและนำมาขายให้แก่โจทก์ ครั้นถึงกำหนดจำเลยไม่ยอมชำระเงินตามตั๋วสัญญาใช้เงิน ศาลฎีกาฟังข้อเท็จจริงว่า จำเลยนำเช็คมาขายลดให้โจทก์แล้วออกตั๋วสัญญาใช้เงินพร้อมกับทำหนังสือรับรองการมอบตั๋วสัญญาใช้เงินโดยระบุเช็คนั้นเป็นประกันการออกตั๋วสัญญาใช้เงิน โดยมีข้อตกลงว่า หากโจทก์นำเช็คไปเบิกเงินจากธนาคารไม่ได้ จำเลยจะต้องรับผิดตามตั๋วสัญญาใช้เงิน ดังนี้ ไม่ถือว่าข้อเท็จจริงตามทางพิจารณาแตกต่างกับฟ้องโจทก์
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3489/2527 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ความรับผิดของหัวหน้าแผนกการเงินต่อการทุจริตของลูกน้อง และความรับผิดของผู้ค้ำประกัน
จำเลยที่ 4 เป็นพนักงานของโจทก์ดำรงตำแหน่งหัวหน้าแผนกการเงินมีหน้าที่รับผิดชอบในการรับเงินและจ่ายเงินให้ถูกต้อง ตลอดจนการฝากเงิน ถอนเงินธนาคาร และรวบรวมเงินที่คงเหลือทุกวันส่งผู้ช่วยหัวหน้ากองบัญชีและการคลัง ฝ่ายการเงิน เพื่อตรวจสอบและเก็บรักษาไว้ จำเลยที่ 1 ที่ 2 เป็นพนักงานการเงินของโจทก์และเป็นผู้อยู่ใต้บังคับบัญชาจำเลยที่ 4 ได้ร่วมกันกระทำการทุจริตเงินที่ผ่านเข้ามาในแผนกการเงินตามสายงานหลายครั้งต่อเนื่องกันเป็นเวลาประมาณหนึ่งเดือน ทำให้เงินของโจทก์ขาดหายไปรวม 1,394,049.85 บาท วิธีการทุจริตส่วนใหญ่เป็นเรื่องรับเงินมาแล้วไม่ลงบัญชี ไม่ออกใบรับเงิน ทำหลักฐานว่านำเงินไปฝากธนาคารแต่ความจริงไม่ได้ฝาก พฤติการณ์ของจำเลยที่ 1 ที่ 2 เหล่านี้ถ้าหากจำเลยที่ 4 ปฏิบัติหน้าที่ให้เป็นไปตามคำสั่งของโจทก์ จำเลยที่ 1 ที่ 2 ก็ไม่อาจทุจริตได้ การที่จำเลยที่ 4 ละเลยไม่ปฏิบัติหน้าที่ตามที่ตนมีหน้าที่จะต้องปฏิบัติ จนเป็นเหตุให้เงินของโจทก์ขาดหายไปโดยการทุจริตของผู้ใต้บังคับบัญชาเช่นนี้ เป็นการปฏิบัติหน้าที่โดยประมาทเลินเล่อ จำเลยที่ 4 จึงต้องชดใช้ค่าเสียหายให้โจทก์
ตามพระราชบัญญัติการไฟฟ้าส่วนภูมิภาค พ.ศ. 2503 มาตรา 29 บัญญัติให้ผู้ว่าการเป็นผู้บริหารกิจการของการไฟฟ้าส่วนภูมิภาคให้เป็นไปตามนโยบายที่คณะกรรมการกำหนดและมีอำนาจบังคับบัญชาพนักงานทุกตำแหน่ง มาตรา 30 บัญญัติว่า ในกิจการที่เกี่ยวกับบุคคลภายนอกให้ผู้ว่าการเป็นผู้กระทำในนามของการไฟฟ้าส่วนภูมิภาค และเป็นผู้กระทำการแทนของการไฟฟ้าส่วนภูมิภาค ส่วนคณะกรรมการการไฟฟ้าส่วนภูมิภาคนั้นมาตรา 23 บัญญัติให้มีอำนาจหน้าที่วางนโยบายและควบคุมดูแลกิจการของการไฟฟ้าส่วนภูมิภาค ดังนี้ การบริหารก็คือการปกครองและดำเนินการหรือการจัดการ และการฟ้องคดีในนามของนิติบุคคลก็คือการจัดการหรือการดำเนินการนั่นเอง หาใช่การควบคุมดูแลกิจการของนิติบุคคลไม่ อำนาจฟ้องในนามของการไฟฟ้าส่วนภูมิภาคจึงเป็นอำนาจของผู้ว่าการไม่ใช่อำนาจของคณะกรรมการการไฟฟ้าส่วนภูมิภาค ผู้ว่าการของโจทก์จึงมีอำนาจมอบอำนาจให้บุคคลอื่นฟ้องคดีในนามของโจทก์ได้
เดิมโจทก์มีคำสั่งจ้างจำเลยที่ 2 เป็นลูกจ้างรายวัน ต่อมาจึงได้มีคำสั่งบรรจุและแต่งตั้งจำเลยที่ 2 เป็นพนักงานของโจทก์ จำเลยที่ 7ที่ 8 ทำสัญญาค้ำประกันจำเลยที่ 2 ต่อโจทก์เมื่อจำเลยที่ 2 เข้าทำงาน เป็นลูกจ้างรายวัน เมื่อจำเลยที่ 2 ได้รับการบรรจุและ แต่งตั้งเป็นพนักงานประจำแล้วมิได้มีการทำสัญญาค้ำประกันใหม่อีก คดีได้ความว่าลูกจ้างชั่วคราวที่ได้รับการบรรจุเป็นพนักงานจะต้อง ยื่นใบสมัครและ ทำสัญญาค้ำประกันอีก เช่นนี้ ที่จำเลยที่ 7 ที่ 8 ทำสัญญาค้ำประกันจำเลยที่ 2 ต่อโจทก์ไว้นั้น คู่สัญญามีเจตนา ให้จำเลยที่ 7 ที่ 8 ค้ำประกันจำเลยที่ 2 ในฐานะลูกจ้างรายวันเท่านั้น เมื่อจำเลยที่ 2 ได้รับการบรรจุและแต่งตั้งเป็นพนักงานประจำ ไม่ได้มีการทำสัญญาค้ำประกันใหม่อีก และจำเลยที่ 2 ทำละเมิด ต่อโจทก์ในระหว่างเป็นพนักงานประจำ โจทก์จะนำสัญญาค้ำประกัน ดังกล่าวมาเป็นข้ออ้างให้จำเลยที่ 7 ที่ 8 รับผิดต่อโจทก์ในฐานะ ผู้ค้ำประกันจำเลยที่ 2 ไม่ได้
ตามพระราชบัญญัติการไฟฟ้าส่วนภูมิภาค พ.ศ. 2503 มาตรา 29 บัญญัติให้ผู้ว่าการเป็นผู้บริหารกิจการของการไฟฟ้าส่วนภูมิภาคให้เป็นไปตามนโยบายที่คณะกรรมการกำหนดและมีอำนาจบังคับบัญชาพนักงานทุกตำแหน่ง มาตรา 30 บัญญัติว่า ในกิจการที่เกี่ยวกับบุคคลภายนอกให้ผู้ว่าการเป็นผู้กระทำในนามของการไฟฟ้าส่วนภูมิภาค และเป็นผู้กระทำการแทนของการไฟฟ้าส่วนภูมิภาค ส่วนคณะกรรมการการไฟฟ้าส่วนภูมิภาคนั้นมาตรา 23 บัญญัติให้มีอำนาจหน้าที่วางนโยบายและควบคุมดูแลกิจการของการไฟฟ้าส่วนภูมิภาค ดังนี้ การบริหารก็คือการปกครองและดำเนินการหรือการจัดการ และการฟ้องคดีในนามของนิติบุคคลก็คือการจัดการหรือการดำเนินการนั่นเอง หาใช่การควบคุมดูแลกิจการของนิติบุคคลไม่ อำนาจฟ้องในนามของการไฟฟ้าส่วนภูมิภาคจึงเป็นอำนาจของผู้ว่าการไม่ใช่อำนาจของคณะกรรมการการไฟฟ้าส่วนภูมิภาค ผู้ว่าการของโจทก์จึงมีอำนาจมอบอำนาจให้บุคคลอื่นฟ้องคดีในนามของโจทก์ได้
เดิมโจทก์มีคำสั่งจ้างจำเลยที่ 2 เป็นลูกจ้างรายวัน ต่อมาจึงได้มีคำสั่งบรรจุและแต่งตั้งจำเลยที่ 2 เป็นพนักงานของโจทก์ จำเลยที่ 7ที่ 8 ทำสัญญาค้ำประกันจำเลยที่ 2 ต่อโจทก์เมื่อจำเลยที่ 2 เข้าทำงาน เป็นลูกจ้างรายวัน เมื่อจำเลยที่ 2 ได้รับการบรรจุและ แต่งตั้งเป็นพนักงานประจำแล้วมิได้มีการทำสัญญาค้ำประกันใหม่อีก คดีได้ความว่าลูกจ้างชั่วคราวที่ได้รับการบรรจุเป็นพนักงานจะต้อง ยื่นใบสมัครและ ทำสัญญาค้ำประกันอีก เช่นนี้ ที่จำเลยที่ 7 ที่ 8 ทำสัญญาค้ำประกันจำเลยที่ 2 ต่อโจทก์ไว้นั้น คู่สัญญามีเจตนา ให้จำเลยที่ 7 ที่ 8 ค้ำประกันจำเลยที่ 2 ในฐานะลูกจ้างรายวันเท่านั้น เมื่อจำเลยที่ 2 ได้รับการบรรจุและแต่งตั้งเป็นพนักงานประจำ ไม่ได้มีการทำสัญญาค้ำประกันใหม่อีก และจำเลยที่ 2 ทำละเมิด ต่อโจทก์ในระหว่างเป็นพนักงานประจำ โจทก์จะนำสัญญาค้ำประกัน ดังกล่าวมาเป็นข้ออ้างให้จำเลยที่ 7 ที่ 8 รับผิดต่อโจทก์ในฐานะ ผู้ค้ำประกันจำเลยที่ 2 ไม่ได้
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3489/2527
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ความรับผิดของหัวหน้าแผนกจากการละเลยหน้าที่จนเกิดการทุจริตของผู้ใต้บังคับบัญชา และการค้ำประกัน
จำเลยที่ 4 เป็นพนักงานของโจทก์ดำรงตำแหน่งหัวหน้าแผนกการเงินมีหน้าที่รับผิดชอบในการรับเงินและจ่ายเงินให้ถูกต้อง ตลอดจนการฝากเงิน ถอนเงินธนาคาร และรวบรวมเงินที่คงเหลือทุกวันส่งผู้ช่วยหัวหน้ากองบัญชีและการคลังฝ่ายการเงิน เพื่อตรวจสอบและเก็บรักษาไว้ จำเลยที่ 1 ที่ 2 เป็นพนักงานการเงินของโจทก์และเป็นผู้อยู่ใต้บังคับบัญชาจำเลยที่ 4 ได้ร่วมกันกระทำการทุจริตเงินที่ผ่านเข้ามาในแผนกการเงินตามสายงานหลายครั้งต่อเนื่อง กันเป็นเวลาประมาณหนึ่งเดือน ทำให้เงินของโจทก์ขาดหายไปรวม 1,394,049.85 บาท วิธีการทุจริตส่วนใหญ่เป็นเรื่องรับเงินมาแล้วไม่ลงบัญชี ไม่ออกใบรับเงิน ทำหลักฐานว่านำเงินไปฝากธนาคารแต่ความจริงไม่ได้ฝาก พฤติการณ์ของจำเลยที่ 1 ที่ 2 เหล่านี้ถ้าหากจำเลยที่ 4 ปฏิบัติหน้าที่ให้เป็นไปตามคำสั่งของโจทก์ จำเลยที่ 1 ที่ 2 ก็ไม่อาจทุจริตได้ การที่จำเลยที่ 4 ละเลยไม่ปฏิบัติหน้าที่ตามที่ตนมีหน้าที่จะต้องปฏิบัติ จนเป็นเหตุให้เงินของโจทก์ขาดหายไปโดยการทุจริตของผู้ใต้บังคับบัญชาเช่นนี้เป็นการปฏิบัติหน้าที่โดยประมาทเลินเล่อ จำเลยที่ 4 จึงต้องชดใช้ค่าเสียหายให้โจทก์ ตามพระราชบัญญัติการไฟฟ้าส่วนภูมิภาค พ.ศ. 2503 มาตรา 29บัญญัติให้ผู้ว่าการเป็นผู้บริหารกิจการของการไฟฟ้าส่วนภูมิภาคให้เป็นไปตามนโยบายที่คณะกรรมการกำหนดและมีอำนาจบังคับบัญชาพนักงานทุกตำแหน่ง มาตรา 30 บัญญัติว่า ในกิจการที่เกี่ยวกับบุคคลภายนอกให้ผู้ว่าการเป็นผู้กระทำในนามของการไฟฟ้าส่วนภูมิภาคและเป็นผู้กระทำการแทนของการไฟฟ้าส่วนภูมิภาค ส่วนคณะกรรมการการไฟฟ้าส่วนภูมิภาคนั้นมาตรา 23 บัญญัติให้มีอำนาจหน้าที่วางนโยบายและควบคุมดูแลกิจการของการไฟฟ้าส่วนภูมิภาค ดังนี้ การบริหารก็คือการปกครองและดำเนินการหรือการจัดการ และการฟ้องคดีในนามของนิติบุคคลก็คือการจัดการหรือการดำเนินการนั่นเอง หาใช่การควบคุมดูแลกิจการของนิติบุคคลไม่ อำนาจฟ้องในนามของการไฟฟ้าส่วนภูมิภาคจึงเป็นอำนาจของผู้ว่าการไม่ใช่อำนาจของคณะกรรมการการไฟฟ้าส่วนภูมิภาค ผู้ว่าการของโจทก์จึงมีอำนาจมอบอำนาจให้บุคคลอื่นฟ้องคดีในนามของโจทก์ได้ เดิมโจทก์มีคำสั่งจ้างจำเลยที่ 2 เป็นลูกจ้างรายวัน ต่อมาจึงได้มีคำสั่งบรรจุและแต่งตั้งจำเลยที่ 2 เป็นพนักงานของโจทก์ จำเลยที่ 7 ที่ 8 ทำสัญญาค้ำประกันจำเลยที่ 2 ต่อโจทก์เมื่อจำเลยที่ 2 เข้าทำงาน เป็นลูกจ้างรายวัน เมื่อจำเลยที่ 2 ได้รับการบรรจุและ แต่งตั้งเป็นพนักงานประจำแล้วมิได้มีการทำสัญญาค้ำประกันใหม่อีก คดีได้ความว่าลูกจ้างชั่วคราวที่ได้รับการบรรจุเป็นพนักงานจะต้อง ยื่นใบสมัครและ ทำสัญญาค้ำประกันอีก เช่นนี้ ที่จำเลยที่ 7 ที่ 8 ทำสัญญาค้ำประกันจำเลยที่ 2 ต่อโจทก์ไว้นั้น คู่สัญญามีเจตนา ให้จำเลยที่ 7 ที่ 8 ค้ำประกันจำเลยที่ 2 ในฐานะลูกจ้างรายวันเท่านั้น เมื่อจำเลยที่ 2 ได้รับการบรรจุและแต่งตั้งเป็นพนักงานประจำ ไม่ได้มีการทำสัญญาค้ำประกันใหม่อีก และจำเลยที่ 2 ทำละเมิด ต่อโจทก์ในระหว่างเป็นพนักงานประจำ โจทก์จะนำสัญญาค้ำประกัน ดังกล่าวมาเป็นข้ออ้างให้จำเลยที่ 7 ที่ 8 รับผิดต่อโจทก์ในฐานะ ผู้ค้ำประกันจำเลยที่ 2 ไม่ได้
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3031/2527
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
เงินสมทบของพนักงาน: สิทธิในเงินสมทบและดอกเบี้ยยังเป็นของจำเลย แม้มีการตกลงนำฝากเข้าบัญชี
เมื่อข้อตกลงเกี่ยวกับสภาพการจ้างระบุชัดว่าให้จำเลยนำเงินสมทบเข้าฝากธนาคารในบัญชีเงินฝากสะสมของพนักงาน ซึ่งจำเลยได้ฝากเงินสะสมไว้ที่ธนาคาร ช. ในบัญชีเงินสำรองเลี้ยงชีพจำเลยก็ต้องฝากเงินสมทบเข้าบัญชีดังกล่าวที่ธนาคาร ช. จะฝากในนามจำเลยหรือฝากที่ธนาคารอื่นหาได้ไม่ และเมื่อข้อตกลงเกี่ยวกับสภาพการจ้างเพียงแต่ให้จำเลยนำเงินสมทบเข้าฝากธนาคารเท่านั้น ข้อกำหนดอื่นจึงคงเป็นไปตามระเบียบเดิมที่กำหนดให้จำเลยจ่ายเงินสมทบแก่พนักงานเมื่อลาออกหรือเกษียณอายุ พนักงานที่ถูกลงโทษปลดออกไม่มีสิทธิได้รับเงินนี้ดังนั้น เงินสมทบจะตกเป็นของพนักงานเมื่อออกจากงานแล้วสิทธิในเงินสมทบยังเป็นของจำเลย ดอกเบี้ยของเงินดังกล่าวจึงเป็นของจำเลย หาใช่เป็นของพนักงานไม่
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3031/2527 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
เงินสมทบของลูกจ้าง: สิทธิในเงินสมทบและดอกเบี้ยยังเป็นของจำเลย แม้มีการนำฝากธนาคาร
เมื่อข้อตกลงเกี่ยวกับสภาพการจ้างระบุชัดว่าให้จำเลยนำเงินสมทบเข้าฝากธนาคารในบัญชีเงินฝากสะสมของพนักงาน ซึ่งจำเลยได้ฝากเงินสะสมไว้ที่ธนาคาร ช. ในบัญชีเงินสำรองเลี้ยงชีพ จำเลยก็ต้องฝากเงินสมทบเข้าบัญชีดังกล่าวที่ธนาคาร ช. จะฝากในนามจำเลยหรือฝากที่ธนาคารอื่นหาได้ไม่
และเมื่อข้อตกลงเกี่ยวกับสภาพการจ้างเพียงแต่ให้จำเลยนำเงินสมทบเข้าฝากธนาคารเท่านั้น ข้อกำหนดอื่นจึงคงเป็นไปตามระเบียบเดิมที่กำหนดให้จำเลยจ่ายเงินสมทบแก่พนักงานเมื่อลาออกหรือเกษียณอายุ พนักงานที่ถูกลงโทษปลดออกไม่มีสิทธิได้รับเงินนี้ดังนั้น เงินสมทบจะตกเป็นของพนักงานเมื่อออกจากงานแล้ว สิทธิในเงินสมทบยังเป็นของจำเลย ดอกเบี้ยของเงินดังกล่าวจึงเป็นของจำเลย หาใช่เป็นของพนักงานไม่
และเมื่อข้อตกลงเกี่ยวกับสภาพการจ้างเพียงแต่ให้จำเลยนำเงินสมทบเข้าฝากธนาคารเท่านั้น ข้อกำหนดอื่นจึงคงเป็นไปตามระเบียบเดิมที่กำหนดให้จำเลยจ่ายเงินสมทบแก่พนักงานเมื่อลาออกหรือเกษียณอายุ พนักงานที่ถูกลงโทษปลดออกไม่มีสิทธิได้รับเงินนี้ดังนั้น เงินสมทบจะตกเป็นของพนักงานเมื่อออกจากงานแล้ว สิทธิในเงินสมทบยังเป็นของจำเลย ดอกเบี้ยของเงินดังกล่าวจึงเป็นของจำเลย หาใช่เป็นของพนักงานไม่
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2839/2527 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การเลิกจ้างระหว่างทดลองงาน การแจ้งล่วงหน้า และค่าเสียหาย
ปัญหาว่าจำเลยเลิกจ้างโจทก์เนื่องจากเหตุใดเป็นข้อเท็จจริงเมื่อศาลแรงงานฟังว่า จำเลยเลิกจ้างโจทก์เนื่องจากผลการทดลองปฏิบัติงานของโจทก์ไม่ดี ข้อเท็จจริงย่อมยุติ โจทก์จะอุทธรณ์เพื่อให้ศาลฎีกาฟังข้อเท็จจริงใหม่หาได้ไม่
ข้ออุทธรณ์ที่โต้เถียงฝืนข้อเท็จจริงนั้น ไม่มีข้อเท็จจริงที่จะนำไปสู่การวินิจฉัยข้อกฎหมาย
ตามสัญญาจ้างจำเลยให้โจทก์ทดลองปฏิบัติงาน 180 วัน และภายในระยะเวลานี้คู่สัญญามีสิทธิเลิกสัญญาได้โดยแจ้งล่วงหน้าน้อยกว่า 30 วัน ข้อตกลงนี้ไม่มีกฎหมายห้ามไว้ จึงมีผลใช้บังคับจำเลยจะอ้างว่าระยะเวลาที่จะแจ้งให้ทราบล่วงหน้าไม่เพียงพอมาเป็นเหตุที่จะปฏิเสธไม่ต้องปฏิบัติตามสัญญาหาได้ไม่
เมื่อศาลแรงงานพิพากษาให้จำเลยจ่ายดอกเบี้ยแก่โจทก์ก่อนวันที่โจทก์เรียก เป็นการพิพากษาเกินคำขอ ศาลฎีกาแก้ไขให้ถูกต้องได้
ข้ออุทธรณ์ที่โต้เถียงฝืนข้อเท็จจริงนั้น ไม่มีข้อเท็จจริงที่จะนำไปสู่การวินิจฉัยข้อกฎหมาย
ตามสัญญาจ้างจำเลยให้โจทก์ทดลองปฏิบัติงาน 180 วัน และภายในระยะเวลานี้คู่สัญญามีสิทธิเลิกสัญญาได้โดยแจ้งล่วงหน้าน้อยกว่า 30 วัน ข้อตกลงนี้ไม่มีกฎหมายห้ามไว้ จึงมีผลใช้บังคับจำเลยจะอ้างว่าระยะเวลาที่จะแจ้งให้ทราบล่วงหน้าไม่เพียงพอมาเป็นเหตุที่จะปฏิเสธไม่ต้องปฏิบัติตามสัญญาหาได้ไม่
เมื่อศาลแรงงานพิพากษาให้จำเลยจ่ายดอกเบี้ยแก่โจทก์ก่อนวันที่โจทก์เรียก เป็นการพิพากษาเกินคำขอ ศาลฎีกาแก้ไขให้ถูกต้องได้
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2839/2527
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การเลิกจ้างระหว่างทดลองงาน, การแจ้งล่วงหน้า, ค่าเสียหาย, และดอกเบี้ยค่าล่วงเวลา
ปัญหาว่าจำเลยเลิกจ้างโจทก์เนื่องจากเหตุใดเป็นข้อเท็จจริงเมื่อศาลแรงงานฟังว่า จำเลยเลิกจ้างโจทก์เนื่องจากผลการทดลองปฏิบัติงานของโจทก์ไม่ดี ข้อเท็จจริงย่อมยุติ โจทก์จะอุทธรณ์เพื่อให้ศาลฎีกาฟังข้อเท็จจริงใหม่หาได้ไม่
ข้ออุทธรณ์ที่โต้เถียงฝืนข้อเท็จจริงนั้น ไม่มีข้อเท็จจริงที่จะนำไปสู่การวินิจฉัยข้อกฎหมาย
ตามสัญญาจ้างจำเลยให้โจทก์ทดลองปฏิบัติงาน 180 วัน และภายในระยะเวลานี้คู่สัญญามีสิทธิเลิกสัญญาได้โดยแจ้งล่วงหน้ามาเป็นเหตุที่จะปฏิเสธไม่ต้องปฏิบัติตามสัญญาหาได้ไม่ไม่น้อยกว่า 30 วัน ข้อตกลงนี้ไม่มีกฎหมายห้ามไว้จึงมีผลใช้บังคับจำเลยจะอ้างว่าระยะเวลาที่จะแจ้งให้ทราบล่วงหน้าไม่เพียงพอ เมื่อศาลแรงงานพิพากษาให้จำเลยจ่ายดอกเบี้ยแก่โจทก์ก่อนวันที่โจทก์เรียก เป็นการพิพากษาเกินคำขอ ศาลฎีกาแก้ไขให้ถูกต้องได้
ข้ออุทธรณ์ที่โต้เถียงฝืนข้อเท็จจริงนั้น ไม่มีข้อเท็จจริงที่จะนำไปสู่การวินิจฉัยข้อกฎหมาย
ตามสัญญาจ้างจำเลยให้โจทก์ทดลองปฏิบัติงาน 180 วัน และภายในระยะเวลานี้คู่สัญญามีสิทธิเลิกสัญญาได้โดยแจ้งล่วงหน้ามาเป็นเหตุที่จะปฏิเสธไม่ต้องปฏิบัติตามสัญญาหาได้ไม่ไม่น้อยกว่า 30 วัน ข้อตกลงนี้ไม่มีกฎหมายห้ามไว้จึงมีผลใช้บังคับจำเลยจะอ้างว่าระยะเวลาที่จะแจ้งให้ทราบล่วงหน้าไม่เพียงพอ เมื่อศาลแรงงานพิพากษาให้จำเลยจ่ายดอกเบี้ยแก่โจทก์ก่อนวันที่โจทก์เรียก เป็นการพิพากษาเกินคำขอ ศาลฎีกาแก้ไขให้ถูกต้องได้
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2629/2527 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
สัญญาจ่ายค่าชดเชยของนายจ้างผูกพันตามกฎหมาย แม้ลูกจ้างลาออกเอง แต่ไม่รวมถึงสินจ้างแทนการบอกกล่าวล่วงหน้า
จำเลยประกาศสัญญาว่าจะจ่ายค่าชดเชยตามอายุการทำงานแก่ลูกจ้างซึ่งลาออกโดยสมัครใจ ถ้อยคำว่า 'ค่าชดเชย' ที่จำเลยใช้ในประกาศ ตรงกับถ้อยคำที่ใช้ในกฎหมายเกี่ยวกับการคุ้มครองแรงงาน ย่อมมีความหมายอย่างเดียวกันดังนี้ จำเลยจึงต้องจ่ายค่าชดเชยแก่ลูกจ้างที่สมัครใจลาออกให้ครบถ้วนตามอัตราที่กฎหมายกำหนด
จำเลยมิได้ประกาศสัญญาจะจ่ายสินจ้างแทนการบอกกล่าวล่วงหน้าแก่ลูกจ้างที่สมัครใจลาออก เมื่อลูกจ้างลาออกโดยจำเลยมิได้เลิกจ้างจำเลยไม่ต้องจ่ายเงินประเภทนี้
จำเลยมิได้ประกาศสัญญาจะจ่ายสินจ้างแทนการบอกกล่าวล่วงหน้าแก่ลูกจ้างที่สมัครใจลาออก เมื่อลูกจ้างลาออกโดยจำเลยมิได้เลิกจ้างจำเลยไม่ต้องจ่ายเงินประเภทนี้