พบผลลัพธ์ทั้งหมด 854 รายการ
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2629/2527
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
สัญญาจ่ายค่าชดเชยให้ลูกจ้างลาออกเองมีผลผูกพันตามกฎหมาย แต่ไม่ต้องจ่ายสินจ้างแทนการบอกกล่าวล่วงหน้า
จำเลยประกาศสัญญาว่าจะจ่ายค่าชดเชยตามอายุการทำงานแก่ลูกจ้างซึ่งลาออกโดยสมัครใจถ้อยคำว่า 'ค่าชดเชย' ที่จำเลยใช้ในประกาศ ตรงกับถ้อยคำที่ใช้ในกฎหมายเกี่ยวกับการคุ้มครองแรงงาน ย่อมมีความหมายอย่างเดียวกันดังนี้จำเลยจึงต้องจ่ายค่าชดเชยแก่ลูกจ้างที่สมัครใจลาออกให้ครบถ้วนตามอัตราที่กฎหมายกำหนด จำเลยมิได้ประกาศสัญญาจะจ่ายสินจ้างแทนการบอกกล่าวล่วงหน้าแก่ลูกจ้างที่สมัครใจลาออกเมื่อลูกจ้างลาออกโดยจำเลยมิได้เลิกจ้างจำเลยไม่ต้องจ่ายเงินประเภทนี้
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2505/2527
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
สัญญาจะซื้อจะขายต้องมีเจตนาผูกพัน สัญญาที่ไม่ชัดเจนไม่ถือเป็นสัญญาจะซื้อจะขายที่สมบูรณ์
ก่อนวันทำบันทึกเอกสารหมาย ล.3 แม้ฝ่ายโจทก์จะต้องการให้ จำเลยทำสัญญาจะซื้อจะขายที่พิพาทให้โจทก์ แต่จำเลยก็มิได้สมัครใจที่จะทำสัญญาจะซื้อจะขายที่พิพาทขึ้นให้เป็นการผูกพันระหว่างโจทก์จำเลย ส่วนบันทึกหมายล.3 รวม 7 แผ่น ศ. ปลัดอำเภอทำขึ้นระหว่างจำเลยซึ่งเป็นเจ้าของนากับล.และพวกซึ่งเป็นผู้เช่านาและผู้ปลูกบ้านอาศัยอยู่ในที่พิพาท ในแผ่นที่ 1 และที่ 2 ระบุข้อความว่าเป็น เรื่องแจ้งการขายที่ดินโดยจำเลยซึ่งเป็นเจ้าของที่นาจะทำการขายให้โจทก์หรือนิติบุคคลอื่นใดที่โจทก์เป็นกรรมการหรือผู้ถือหุ้น แต่ที่ดินแปลงนี้จำเลยได้ให้ผู้มีชื่อรวม 11 รายเช่าและปลูกบ้านอยู่อาศัย จำเลยมีความประสงค์จะขายที่นาแปลงดังกล่าวในราคา 2,688,000 บาทโดยชำระเงินงวดเดียวในวันโอนกรรมสิทธิ์ในที่ดิน จึงขอเสนอขาย ให้ผู้เช่ามาก่อน จำเลยกับผู้เช่านารวม 8 รายได้ลงชื่อไว้ในบันทึกแผ่นที่ 2 นี้ ส่วนโจทก์มิได้ลงชื่อไว้ แผ่นที่ 3 ถึงที่ 5 เป็นบันทึกเกี่ยวกับ ความยินยอมของผู้เช่านาที่ยินยอมให้จำเลยขายที่พิพาทให้โจทก์ และผู้เช่านาทั้งหมดขอเลิกการเช่านาโดยมีเงื่อนไขว่าผู้เช่าขอที่นาจากโจทก์ผู้ซื้อคนละ 1 ไร่ ผู้เช่าและผู้ปลูกบ้านขอค่ารื้อถอน และผู้เช่านาทั้งหมดไม่มีความต้องการจะซื้อที่นาแปลงดังกล่าว โดยมีผู้เช่านาทั้งหมดลงชื่อไว้ฝ่ายเดียวในแผ่นที่ 4 และแผ่นที่ 5 ส่วนโจทก์และจำเลยมิได้ลงชื่อไว้ สำหรับแผ่นที่ 6 เป็นบันทึกเปรียบเทียบของนายอำเภอว่าผู้เช่านาและผู้อาศัยยินดีเลิกการเช่าและรื้อถอนบ้านออกไปจากที่ดินยอมให้เจ้าของนาขายที่นาให้โจทก์ และโจทก์ยินดียกที่นาให้ผู้เช่านารายละ 1 ไร่ และยินยอมให้ค่ารื้อบ้านแก่ผู้เช่านาและผู้อาศัยปลูกบ้าน โดยผู้เช่านาและผู้อาศัยรวม 11 ราย จำเลยในฐานะผู้ให้เช่านา โจทก์ในฐานะผู้จะซื้อกับนายอำเภอผู้เปรียบเทียบลงชื่อไว้ในแผ่นที่ 7 ดังนี้ บันทึกหมาย ล.3ที่จำเลยเข้าไปเกี่ยวข้องลงชื่อไว้เป็นเพียงการกระทำของจำเลยในฐานะผู้ให้เช่านาเสนอขายที่นาให้แก่ผู้เช่านาก่อน ตามที่กฎหมายบังคับไว้ มิได้มีใจสมัครที่จะมุ่งหมายให้ข้อความในบันทึกดังกล่าวเป็นสัญญาจะซื้อจะขายที่พิพาทระหว่างโจทก์จำเลย บันทึกหมาย ล.3 จึงมิใช่สัญญาจะซื้อจะขายที่พิพาท
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2505/2527 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
บันทึกข้อตกลงซื้อขายที่ดินไม่สมบูรณ์ เพราะจำเลยไม่ได้สมัครใจทำสัญญา และไม่มีเจตนาผูกพัน
ก่อนวันทำบันทึกเอกสารหมาย ล. 3 แม้ฝ่ายโจทก์จะต้องการให้ จำเลยทำสัญญาจะซื้อจะขายที่พิพาทให้โจทก์ แต่จำเลยก็มิได้สมัครใจที่จะทำสัญญาจะซื้อจะขายที่พิพาทขึ้นให้เป็นการผูกพันระหว่างโจทก์จำเลย ส่วนบันทึกหมายล.3 รวม 7 แผ่น ศ. ปลัดอำเภอทำขึ้นระหว่างจำเลยซึ่งเป็นเจ้าของนากับ ล. และพวกซึ่งเป็นผู้เช่านาและผู้ปลูกบ้านอาศัยอยู่ในที่พิพาท ในแผ่นที่ 1 และที่ 2 ระบุข้อความว่าเป็นเรื่องแจ้งการขายที่ดินโดยจำเลยซึ่งเป็นเจ้าของที่นาจะทำการขายให้โจทก์หรือนิติบุคคลอื่นใดที่โจทก์เป็นกรรมการหรือผู้ถือหุ้น แต่ที่ดินแปลงนี้จำเลยได้ให้ผู้มีชื่อรวม 11 รายเช่าและปลูกบ้านอยู่อาศัย จำเลยมีความ ประสงค์จะขายที่นาแปลงดังกล่าวในราคา 2,688,000 บาท โดยชำระเงินงวดเดียวในวันโอนกรรมสิทธิ์ในที่ดิน จึงขอเสนอขายให้ผู้เช่ามาก่อน จำเลยกับผู้เช่านารวม 8 รายได้ลงชื่อไว้ในบันทึกแผ่นที่ 2 นี้ ส่วนโจทก์มิได้ลงชื่อไว้ แผ่นที่ 3 ถึงที่ 5 เป็นบันทึกเกี่ยวกับความยินยอมของผู้เช่านาที่ยินยอมให้จำเลยขายที่พิพาทให้โจทก์และผู้เช่านาทั้งหมดขอเลิกการเช่านาโดยมีเงื่อนไขว่าผู้เช่าขอที่นาจากโจทก์ผู้ซื้อคนละ 1 ไร่ ผู้เช่าและผู้ปลูกบ้านขอค่ารื้อถอนและผู้เช่านาทั้งหมดไม่มีความต้องการจะซื้อที่นาแปลงดังกล่าว โดยมีผู้เช่านาทั้งหมดลงชื่อไว้ฝ่ายเดียวในแผ่นที่ 4 และแผ่นที่ 5 ส่วนโจทก์และจำเลยมิได้ลงชื่อไว้ สำหรับแผ่นที่ 6 เป็นบันทึกเปรียบเทียบของนายอำเภอว่าผู้เช่านาและผู้อาศัยยินดีเลิกการเช่าและรื้อถอนบ้านออกไปจากที่ดินยอมให้เจ้าของนาขายที่นาให้โจทก์และโจทก์ยินดียกที่นาให้ผู้เช่านารายละ 1 ไร่ และยินยอมให้ค่ารื้อบ้านแก่ผู้เช่านาและผู้อาศัยปลูกบ้าน โดยผู้เช่านาและผู้อาศัยรวม 11 ราย จำเลยในฐานะผู้ให้เช่านา โจทก์ในฐานะผู้จะซื้อกับนายอำเภอผู้เปรียบเทียบลงชื่อไว้ในแผ่นที่ 7 ดังนี้ บันทึกหมาย ล. 3 ที่จำเลยเข้าไปเกี่ยวข้องลงชื่อไว้ เป็นเพียงการกระทำของจำเลยในฐานะผู้ให้เช่านาเสนอขายที่นาให้แก่ผู้เช่านาก่อน ตามที่กฎหมายบังคับไว้ มิได้มีใจสมัครที่จะมุ่งหมายให้ข้อความในบันทึกดังกล่าวเป็นสัญญาจะซื้อจะขายที่พิพาทระหว่างโจทก์จำเลย บันทึกหมาย ล. 3 จึงมิใช่สัญญาจะซื้อจะขายที่พิพาท
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2194/2527 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ข้อตกลงประมูลค่าเช่าที่ดินมีผลผูกพันจนคดีถึงที่สุด แม้จำเลยจะขอเลิกสัญญาระหว่างคดี
ระหว่างเป็นความกันในคดีก่อนเรื่องแย่งสิทธิครอบครองในที่พิพาทนั้นโจทก์จำเลยได้ตกลงประมูลเข้าทำสวนยางและ นาพิพาท โดยตกลงกันให้นำเงินที่ประมูลได้มาวางศาลจนกว่าคดีจะถึงที่สุดเพื่อให้ฝ่ายชนะคดีรับไป โจทก์เสนอราคาปีละ 16,000 บาท จำเลยเสนอราคาปีละ 16,500 บาทจึงเป็นฝ่ายประมูลได้ ศาลได้จดบันทึกข้อตกลงระหว่างคู่ความไว้ว่าจำเลยจะต้องนำเงินมาวางศาลภายในเดือนพฤษภาคมของทุกปีเริ่มตั้งแต่ปี 2520เป็นต้นไปจนกว่าคดีจะถึงที่สุด เมื่อคดีก่อนได้ถึงที่สุดในชั้นศาลฎีกาโดยเพิ่งอ่านคำพิพากษาศาลฎีกาเมื่อวันที่ 19 พฤษภาคม 2523 และจำเลยได้ชำระค่าประมูลในปี 2520 แล้ว ก็มีหน้าที่ต้องชำระค่าประมูลสำหรับปี 2521, 2522 และ 2523 ตามข้อตกลงที่ทำไว้ต่อหน้าศาลซึ่งมีผลบังคับได้ ส่วนที่ข้อตกลงนั้นได้มีเงื่อนไขไว้ด้วยว่าหากจำเลยผิดนัดยอมให้โจทก์เข้าทำประโยชน์โดยนำเงินมาวางศาลปีละ16,000 บาทนั้น เป็นเงื่อนไขที่บังคับไว้ในกรณีที่จำเลยผิดนัดสำหรับค่าประมูลในปีเริ่มต้นคือในปี 2520 นั้นเอง แต่ปรากฏว่าจำเลยได้ชำระค่าประมูลในปี 2520 แล้ว ปัญหาที่โจทก์จะเข้าทำประโยชน์เสียเองในที่พิพาทจึงหมดไป
ที่โจทก์ฎีกาให้จำเลยใช้ค่าเสียหายเพิ่มขึ้นโดยรวมค่าจ้างทนายความค่าใช้จ่ายต่าง ๆ ตลอดจนการที่จำเลยทำให้ต้นยางของโจทก์เสียหายนั้น โจทก์มิได้กล่าวถึงข้อเท็จจริงหรือข้อกฎหมายเกี่ยวกับค่าเสียหายเหล่านี้มาโดยชัดแจ้งในฎีกาว่า ศาลล่างพิพากษามาโดยไม่ชอบอย่างไร โดยเฉพาะโจทก์มิได้ กล่าวมาโดยชัดแจ้งตั้งแต่ในชั้นอุทธรณ์จนศาลอุทธรณ์ไม่รับวินิจฉัยให้มาแล้ว ฎีกาส่วนนี้จึงไม่ชอบด้วยประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 249 ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัย
ที่โจทก์ฎีกาให้จำเลยใช้ค่าเสียหายเพิ่มขึ้นโดยรวมค่าจ้างทนายความค่าใช้จ่ายต่าง ๆ ตลอดจนการที่จำเลยทำให้ต้นยางของโจทก์เสียหายนั้น โจทก์มิได้กล่าวถึงข้อเท็จจริงหรือข้อกฎหมายเกี่ยวกับค่าเสียหายเหล่านี้มาโดยชัดแจ้งในฎีกาว่า ศาลล่างพิพากษามาโดยไม่ชอบอย่างไร โดยเฉพาะโจทก์มิได้ กล่าวมาโดยชัดแจ้งตั้งแต่ในชั้นอุทธรณ์จนศาลอุทธรณ์ไม่รับวินิจฉัยให้มาแล้ว ฎีกาส่วนนี้จึงไม่ชอบด้วยประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 249 ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัย
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2194/2527
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ข้อตกลงประมูลค่าเช่าที่ดินมีผลผูกพันจนคดีถึงที่สุด แม้จำเลยชำระค่าเช่าปีแรกแล้วก็ต้องชำระค่าเช่าปีถัดไป
ระหว่างเป็นความกันในคดีก่อนเรื่องแย่งสิทธิครอบครองในที่พิพาทนั้น โจทก์จำเลยได้ตกลงประมูลเข้าทำสวนยางและนาพิพาท โดยตกลงกันให้นำเงินที่ประมูลได้มาวางศาลจนกว่าคดีจะถึงที่สุดเพื่อให้ฝ่ายชนะคดีรับไปโจทก์เสนอราคาปีละ 16,000 บาท จำเลยเสนอราคาปีละ 16,500 บาทจึงเป็นฝ่ายประมูลได้ ศาลได้จดบันทึกข้อตกลงระหว่างคู่ความไว้ว่าจำเลยจะต้องนำเงินมาวางศาลภายในเดือนพฤษภาคมของทุกปีเริ่มตั้งแต่ปี 2520เป็นต้นไปจนกว่าคดีจะถึงที่สุด เมื่อคดีก่อนได้ถึงที่สุดในชั้นศาลฎีกาโดยเพิ่งอ่านคำพิพากษาศาลฎีกาเมื่อวันที่ 19 พฤษภาคม 2523 และจำเลยได้ชำระค่าประมูลในปี 2520 แล้ว ก็มีหน้าที่ต้องชำระค่าประมูลสำหรับปี 2521,2522 และ 2523 ตามข้อตกลงที่ทำไว้ต่อหน้าศาลซึ่งมีผลบังคับได้ ส่วนที่ข้อตกลงนั้นได้มีเงื่อนไขไว้ด้วยว่าหากจำเลยผิดนัดยอมให้โจทก์เข้าทำประโยชน์โดยนำเงินมาวางศาลปีละ 16,000 บาทนั้น เป็นเงื่อนไขที่บังคับไว้ในกรณีที่จำเลยผิดนัดสำหรับค่าประมูลในปีเริ่มต้นคือในปี 2520 นั้นเอง แต่ปรากฏว่าจำเลยได้ชำระค่าประมูลในปี 2520 แล้ว ปัญหาที่โจทก์จะเข้าทำประโยชน์เสียเองในที่พิพาทจึงหมดไป
ที่โจทก์ฎีกาให้จำเลยใช้ค่าเสียหายเพิ่มขึ้นโดยรวมค่าจ้างทนายความค่าใช้จ่ายต่าง ๆ ตลอดจนการที่จำเลยทำให้ต้นยางของโจทก์เสียหายนั้นโจทก์มิได้กล่าวถึงข้อเท็จจริงหรือข้อกฎหมายเกี่ยวกับค่าเสียหายเหล่านี้มาโดยชัดแจ้งในฎีกาว่า ศาลล่างพิพากษามาโดยไม่ชอบอย่างไร โดยเฉพาะโจทก์มิได้ กล่าวมาโดยชัดแจ้งตั้งแต่ในชั้นอุทธรณ์จนศาลอุทธรณ์ไม่รับวินิจฉัยให้มาแล้ว ฎีกาส่วนนี้จึงไม่ชอบด้วย ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 249 ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัย
ที่โจทก์ฎีกาให้จำเลยใช้ค่าเสียหายเพิ่มขึ้นโดยรวมค่าจ้างทนายความค่าใช้จ่ายต่าง ๆ ตลอดจนการที่จำเลยทำให้ต้นยางของโจทก์เสียหายนั้นโจทก์มิได้กล่าวถึงข้อเท็จจริงหรือข้อกฎหมายเกี่ยวกับค่าเสียหายเหล่านี้มาโดยชัดแจ้งในฎีกาว่า ศาลล่างพิพากษามาโดยไม่ชอบอย่างไร โดยเฉพาะโจทก์มิได้ กล่าวมาโดยชัดแจ้งตั้งแต่ในชั้นอุทธรณ์จนศาลอุทธรณ์ไม่รับวินิจฉัยให้มาแล้ว ฎีกาส่วนนี้จึงไม่ชอบด้วย ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 249 ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัย
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1301/2527
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
สัญญาจ้างครูผูกพันเมื่อได้รับการอนุมัติ การเลิกจ้างเนื่องจากวุฒิไม่เป็นไปตามระเบียบ ไม่ถือเป็นการผิดสัญญา
สัญญาจ้างแรงงานที่จ้างให้โจทก์เป็นครูในโรงเรียนของจำเลย ย่อมเป็นที่เข้าใจกันว่าสัญญาจะผูกพันต่อเมื่อโจทก์ได้รับอนุญาตให้เป็นครูในโรงเรียนของจำเลยดังนี้เมื่อโจทก์มีคุณวุฒิทางการศึกษาไม่ถูกต้องตามระเบียบของกระทรวงศึกษาธิการและกระทรวงปฏิเสธไม่อนุญาตให้จำเลยบรรจุโจทก์เป็นครูในโรงเรียนของจำเลยตามที่จำเลยร้องขอแล้วจำเลยหาผิดสัญญาไม่
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 621/2527
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
เงื่อนไขกรมธรรม์ประกันภัย: การชดใช้ค่าเสียหายเมื่อผู้เอาประกันภัยเป็นฝ่ายผิด และข้อยกเว้นความรับผิด
เงื่อนไขกรมธรรม์ประกันภัยที่ว่า ผู้เอาประกันภัยจะต้องไม่ตกลงยินยอม เสนอหรือให้สัญญาว่าจะชดใช้ค่าเสียหายให้แก่บุคคลใดโดยไม่ได้รับความยินยอมจากบริษัท และที่ว่าการประกันภัยไม่คุ้มครองความรับผิดอันยอมรับตามสัญญาซึ่งความรับผิดนั้นจะไม่เกิดขึ้นหากปราศจากสัญญานั้น เป็นการป้องกันมิให้ผู้เอาประกันภัยไปตกลงชดใช้ค่าเสียหายหรือค่าสินไหมทดแทนให้แก่บุคคลภายนอกในกรณีที่ผู้เอาประกันภัยเป็นฝ่ายถูกเท่านั้น แต่กรณีเป็นฝ่ายผิด จะเอาเงื่อนไขดังกล่าวมาใช้บังคับไม่ได้ เพราะถึงอย่างไรผู้รับประกันภัยก็จะต้องจ่ายค่าสินไหมทดแทนอย่างแน่นอนอยู่แล้ว
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3572/2526
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การส่งมอบสินค้าและการคำนวณค่าปรับสัญญาซื้อขาย: การส่งมอบสินค้าที่กรมขนส่งทหารอากาศถือเป็นการส่งมอบตามสัญญา
สัญญาซื้อขายมีความว่า ผู้ขายจะส่งมอบสิ่งของที่ซื้อขายให้แก่ผู้ซื้อ ณ กรมขนส่งทหารอากาศ ให้ถูกต้องและครบถ้วนตามที่กำหนดไว้ในสัญญา และสิ่งของที่ซื้อนั้นผู้ขายสั่งเข้ามาจากต่างประเทศในราคาที่ไม่รวมภาษีขาเข้าและภาษีอื่นๆ ทั้งสิ้น โดยมีเงื่อนไขที่ผู้ขายต้องปฏิบัติตามเกี่ยวกับการขอยกเว้นอากรศุลกากรขาเข้าว่า เมื่อศุลกากรปล่อยของแล้วให้ผู้ขายนำเก็บในคลังของผู้ซื้อทันที ห้ามนำเข้าไปเก็บในที่เก็บของผู้ขาย และการเปิดหีบห่อจะทำได้ต่อเมื่อผู้ซื้อยินยอมเท่านั้น เห็นได้ว่าเมื่อสิ่งของนั้นถูกส่งจากต่างประเทศมาถึงประเทศไทย ผู้ขายไม่มีโอกาสตรวจสอบความสมบูรณ์เรียบร้อยของสิ่งของก่อนส่งมอบให้แก่ผู้ซื้อเลย ดังนี้ เมื่อผู้ขายนำสิ่งของไปส่งที่กรมขนส่งทหารอากาศย่อมถือได้ว่าผู้ขายส่งมอบสิ่งของที่ซื้อขายให้ผู้ซื้อแล้ว โดยหาจำต้องให้กรรมการตรวจรับของยอมรับไว้ใช้ในราชการเสียก่อนจึงจะถือว่าเป็นการส่งมอบตามสัญญาไม่
ส่วนข้อสัญญาที่ว่า ในกรณีที่ผู้ขายส่งมอบสิ่งของทั้งหมดไม่ถูกต้อง หรือส่งมอบไม่ครบจำนวน ผู้ซื้อมีสิทธิบอกเลิกสัญญาได้ ถ้าไม่ใช้สิทธิบอกเลิกสัญญา ผู้ขายยอมให้ผู้ซื้อปรับเป็นรายวันของราคาสิ่งของที่ยังไม่ได้รับมอบนั้น คำว่า "สิ่งของที่ยังไม่ได้รับมอบ"หมายถึงราคาสิ่งของส่วนที่ผู้ขายยังไม่ได้ส่งมอบเท่านั้น มิได้หมายถึงราคาสิ่งของที่ซื้อขายกันทั้งหมด
ส่วนข้อสัญญาที่ว่า ในกรณีที่ผู้ขายส่งมอบสิ่งของทั้งหมดไม่ถูกต้อง หรือส่งมอบไม่ครบจำนวน ผู้ซื้อมีสิทธิบอกเลิกสัญญาได้ ถ้าไม่ใช้สิทธิบอกเลิกสัญญา ผู้ขายยอมให้ผู้ซื้อปรับเป็นรายวันของราคาสิ่งของที่ยังไม่ได้รับมอบนั้น คำว่า "สิ่งของที่ยังไม่ได้รับมอบ"หมายถึงราคาสิ่งของส่วนที่ผู้ขายยังไม่ได้ส่งมอบเท่านั้น มิได้หมายถึงราคาสิ่งของที่ซื้อขายกันทั้งหมด
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3572/2526 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การส่งมอบสินค้า การคำนวณค่าปรับจากสิ่งของที่ยังไม่ได้รับมอบ และขอบเขตการส่งมอบที่ถูกต้องตามสัญญา
สัญญาซื้อขายมีความว่า ผู้ขายจะส่งมอบสิ่งของที่ซื้อขายให้แก่ผู้ซื้อ ณ กรมขนส่งทหารอากาศ ให้ถูกต้องและครบถ้วนตามที่กำหนดไว้ในสัญญา และสิ่งของที่ซื้อนั้นผู้ขายสั่งเข้ามาจากต่างประเทศในราคาที่ไม่รวมภาษีขาเข้าและภาษีอื่น ๆ ทั้งสิ้น โดยมีเงื่อนไขที่ผู้ขายต้องปฏิบัติตามเกี่ยวกับการขอยกเว้นอากรศุลกากรขาเข้าว่า เมื่อศุลกากรปล่อยของแล้วให้ผู้ขายนำเก็บในคลังของผู้ซื้อทันที ห้ามนำเข้าไปเก็บในที่เก็บของผู้ขาย และการเปิดหีบห่อจะทำได้ต่อเมื่อผู้ซื้อยินยอมเท่านั้น เห็นได้ว่าเมื่อสิ่งของนั้นถูกส่งจากต่างประเทศมาถึงประเทศไทย ผู้ขายไม่มีโอกาสตรวจสอบความสมบูรณ์เรียบร้อยของสิ่งของก่อนส่งมอบให้แก่ผู้ซื้อเลย ดังนี้ เมื่อผู้ขายนำสิ่งของไปส่งที่กรมขนส่งทหารอากาศย่อมถือได้ว่าผู้ขายส่งมอบสิ่งของที่ซื้อขายให้ผู้ซื้อแล้ว โดยหาจำต้องให้กรรมการตรวจรับของยอมรับไว้ใช้ในราชการเสียก่อนจึงจะถือว่าเป็นการส่งมอบตามสัญญาไม่
ส่วนข้อสัญญาที่ว่า ในกรณีที่ผู้ขายส่งมอบสิ่งของทั้งหมดไม่ถูกต้องหรือส่งมอบไม่ครบจำนวน ผู้ซื้อมีสิทธิบอกเลิกสัญญาได้ถ้าไม่ใช้สิทธิบอกเลิกสัญญา ผู้ขายยอมให้ผู้ซื้อปรับเป็นรายวันของราคาสิ่งของที่ยังไม่ได้รับมอบนั้น คำว่า "สิ่งของที่ยังไม่ได้รับมอบ "หมายถึงราคาสิ่งของส่วนที่ผู้ขายยังไม่ได้ส่งมอบเท่านั้น มิได้หมายถึงราคาสิ่งของที่ซื้อขายกันทั้งหมด
ส่วนข้อสัญญาที่ว่า ในกรณีที่ผู้ขายส่งมอบสิ่งของทั้งหมดไม่ถูกต้องหรือส่งมอบไม่ครบจำนวน ผู้ซื้อมีสิทธิบอกเลิกสัญญาได้ถ้าไม่ใช้สิทธิบอกเลิกสัญญา ผู้ขายยอมให้ผู้ซื้อปรับเป็นรายวันของราคาสิ่งของที่ยังไม่ได้รับมอบนั้น คำว่า "สิ่งของที่ยังไม่ได้รับมอบ "หมายถึงราคาสิ่งของส่วนที่ผู้ขายยังไม่ได้ส่งมอบเท่านั้น มิได้หมายถึงราคาสิ่งของที่ซื้อขายกันทั้งหมด
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3479/2526
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
สัญญาประนีประนอมยอมความ: การจดทะเบียนโอนกรรมสิทธิ์ และสิทธิในการรับเงินค่าซื้อขาย
โจทก์จำเลยต่างปฏิบัติตามสัญญาประนีประนอมยอมความกันถูกต้องแล้ว โดยจำเลยได้นำโฉนดที่ดินมาวางศาล ส่วนโจทก์ก็ได้ นำเงิน ค่าซื้อที่ดินมาวางศาลครบถ้วนและได้รับโฉนดที่ดินไปแล้ว แต่ตาม สัญญาประนีประนอมยอมความมิได้กำหนดวันเดือนปีที่ จะไป จดทะเบียนโอนกรรมสิทธิ์ที่ดินกัน กรณียังถือไม่ได้ว่าจำเลย ผิดนัด ไม่ไปจดทะเบียนโอนกรรมสิทธิ์ที่ดินให้แก่โจทก์ตามที่ระบุ ใน สัญญาประนีประนอมยอมความและถือไม่ได้ว่าโจทก์ผิดนัดด้วย โจทก์จำเลยจึงต้องกำหนดวันนัดไปจดทะเบียนโอนกรรมสิทธิ์กันต่อไป และในการจดทะเบียนโอนกรรมสิทธิ์กันนั้น แม้จำเลยผู้โอนจะต้องเสียภาษีเงินได้ และหากจำเลยไม่ชำระเจ้าพนักงานที่ดินจะไม่ยอมจดทะเบียนโอนตามที่โจทก์ยื่นคำแถลงก็ตาม ก็เป็น เรื่อง กาลภายภาคหน้า ซึ่งโจทก์มีสิทธิที่จะดำเนินการในทางอื่น ต่อไปได้ ตามสัญญาประนีประนอมยอมความโจทก์จำเลยมิได้ตกลง กันไว้ ให้โจทก์หักหรือกันเงินค่าภาษีเงินได้ที่จำเลยจะต้องเสีย ออกจากเงิน ค่าซื้อที่ดินที่โจทก์นำมาวางศาลแต่อย่างใด โจทก์จึง หามีสิทธิขอให้ ศาลหักหรือกันเงินดังกล่าวไม่ จำเลยมีสิทธิรับเงิน ไปตาม สัญญาประนีประนอมยอมความ