พบผลลัพธ์ทั้งหมด 854 รายการ
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2171/2518 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
เจตนาซื้อขายที่ดินบางส่วนสำคัญกว่าถ้อยคำในสัญญาประนีประนอม การตีความต้องตรงตามเจตนาของคู่กรณี
โจทก์ฟ้องให้จำเลยแบ่งขายที่ดินตาม น.ส.3 เลขที่ 137 ให้แก่โจทก์บางส่วนในราคา 52,000 บาท แล้วคู่ความตกลงทำสัญญาประนีประนอมยอมความว่าจำเลยยอมขายที่ดินตาม น.ส.3 เลขที่ 137 ให้แก่โจทก์ในราคา 52,000 บาท ดังนี้ เมื่อคำบรรยายฟ้องและเอกสารการขอจดทะเบียนขายที่ดินดังกล่าวก็ระบุว่าจำเลยตกลงแบ่งขายที่ดินเพียงบางส่วน ราคาที่ดินตามฟ้องก็เป็นราคาเดียวกับในสัญญาประนีประนอมยอมความ แสดงให้เห็นว่าโจทก์จำเลยมีเจตนาอันแท้จริงที่จะตกลงซื้อขายที่ดินกันตามจำนวนเนื้อที่และเขตติดต่อที่ระบุในฟ้อง หาใช่ซื้อขายทั้งแปลงไม่ โจทก์จึงไม่อาจหยิบยกถ้อยคำในสัญญาประนีประนอมยอมความที่ระบุว่าซื้อขายที่ดินตาม น.ส.3 เลขที่ 137 ให้มีความหมายว่าเป็นการซื้อขายทั้งแปลงตามตัวอักษร เพราะเป็นการตีความสัญญาซึ่งไม่ตรงตามประสงค์ของคู่กรณีและเป็นไปในทางไม่สุจริตอันเป็นการฝ่าฝืนประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 368
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2171/2518
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
เจตนาซื้อขายที่ดินบางส่วน: การตีความสัญญาประนีประนอมยอมความต้องสอดคล้องกับเจตนาของคู่กรณีและข้อเท็จจริงที่ปรากฏ
โจทก์ฟ้องให้จำเลยแบ่งขายที่ดินตาม น.ส.3 เลขที่137 ให้แก่โจทก์บางส่วนในราคา 52,000 บาท แล้วคู่ความตกลงทำสัญญาประนีประนอมยอมความว่าจำเลยยอมขายที่ดินตาม น.ส.3 เลขที่ 137 ให้แก่โจทก์ในราคา 52,000 บาท ดังนี้เมื่อคำบรรยายฟ้องและเอกสารการขอจดทะเบียนขายที่ดินดังกล่าวก็ระบุว่าจำเลยตกลงแบ่งขายที่ดินเพียงบางส่วนราคาที่ดินตามฟ้องก็เป็นราคาเดียวกับในสัญญาประนีประนอมยอมความ แสดงให้เห็นว่าโจทก์จำเลยมีเจตนาอันแท้จริงที่จะตกลงซื้อขายที่ดินกันตามจำนวนเนื้อที่และเขตติดต่อที่ระบุในฟ้อง หาใช่ซื้อขายทั้งแปลงไม่ โจทก์จึงไม่อาจหยิบยกถ้อยคำในสัญญาประนีประนอมยอมความที่ระบุว่าซื้อขายที่ดินตาม น.ส.3 เลขที่ 137 ให้มีความหมายว่าเป็นการซื้อขายทั้งแปลงตามตัวอักษร เพราะจะเป็นการตีความสัญญาซึ่งไม่ตรงตามความประสงค์ของคู่กรณีและเป็นไปในทางไม่สุจริตอันเป็นการฝ่าฝืนประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 368
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2105/2518 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
สัญญาค้ำประกันการกู้หุ้นส่วนจำกัด การโอนหุ้นเพื่อชำระหนี้ และการเลิกกันของหนี้
โจทก์จำเลยกับพวกอีก 4 คนได้เข้าหุ้นกันทำการค้าตั้งภัตตาคาร และตกลงกันว่าจะจดทะเบียนเป็นบริษัทจำกัด แต่แล้วกิจการไม่ดีต้องเรียกค่าหุ้นเพิ่มอีก 200,000 บาท ในการเรียกค่าหุ้นเพิ่มนี้โจทก์จำเลยกับพวกได้ทำสัญญากันไว้ว่า ผู้ถือหุ้นทุกคนตกลงให้บริษัทกู้เงินจากโจทก์ 200,000 บาท และให้ลงบัญชีให้โจทก์เป็นเจ้าหนี้บริษัทฯ โดยไม่ต้องขอมติที่ประชุมบริษัทฯอีก จำเลยกับพวกอีก 4 คนยอมเป็นผู้ค้ำประกัน หากหนี้รายนี้ไม่มีวิธีอื่นหรือไม่สะดวกที่จะบังคับได้ ผู้ค้ำประกันยอมโอนขายหุ้นของแต่ละคนให้โจทก์ตามราคาในใบหุ้นดังนี้ สัญญาที่ทำขึ้นนี้หาใช่สัญญาที่จำเลยกับพวกกู้เงินโจทก์ไม่ แต่เป็นสัญญาที่บริษัทฯ เป็นผู้กู้และจำเลยกับพวกเป็นผู้ค้ำประกันโดยกำหนดวิธีการแก้ไขให้โจทก์ได้เงินกู้คือไว้ล่วงหน้าว่าให้จำเลยกับพวกโอนขายหุ้นของตนให้โจทก์เท่านั้น เมื่อต่อมาไม่มีการตั้งบริษัทขึ้น และจำเลยกับพวกได้ขายหุ้นของตนที่มีอยู่ในภัตตาคารให้โจทก์ไปหมดทุกคนแล้ว ก็ย่อมเป็นอันเลิกแล้วต่อกันไม่มีหนี้ต่อกันอีก โจทก์จะฟ้องเรียกเงินตามสัญญาดังกล่าวจากจำเลยตามส่วนเฉลี่ยที่จำเลยรับผิดชอบอีกหาได้ไม่
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2098/2518 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การคุ้มครองประกันภัยโจรกรรมที่เกิดจากการบุกรุกโดยใช้กำลังและวิธีการรุนแรง
ผู้เอาประกันได้ปิดร้านที่เก็บทรัพย์สินที่เอาประกันไว้ มีประตูเหล็กปิดกั้นใส่กุญแจแล้วเอาโซ่ล่ามใส่กุญแจอีกชั้นหนึ่ง คนร้ายได้เปิดประตูเหล็กเข้าไปลักทรัพย์ดังกล่าวในร้านโดยโซ่และกุญแจหายไปด้วย ดังนี้ถือได้ว่าคนร้ายเข้าไปโดยใช้กำลังและวิธีการรุนแรงตามกรมธรรม์ประกันภัยซึ่งระบุให้ความคุ้มครองทรัพย์สินของผู้เอาประกันภัยในกรณีที่คนร้ายบุกรุกเข้าไปลักทรัพย์สถานที่โดยใช้กำลังและวิธีการรุนแรงแล้ว ผู้รับประกันภัยจึงต้องรับผิดตามกรมธรรม์ดังกล่าว
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2098/2518
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การคุ้มครองประกันภัยโจรกรรม: การใช้กำลังและความรุนแรงในการบุกรุก
ผู้เอาประกันภัยได้ปิดร้านค้าที่เก็บทรัพย์สินที่เอาประกันภัยไว้ มีประตูเหล็กปิดกั้นใส่กุญแจแล้วเอาโซ่ล่ามใส่กุญแจอีกชั้นหนึ่ง คนร้ายได้เปิดประตูเหล็กเข้าไปลักทรัพย์ดังกล่าวในร้านโดยโซ่และกุญแจหายไปด้วย ดังนี้ถือได้ว่าคนร้ายเข้าไปโดยใช้กำลังและวิธีการรุนแรงตามกรมธรรม์ประกันภัย ซึ่งระบุให้ความคุ้มครองทรัพย์สินของผู้เอาประกันภัยในกรณีที่คนร้ายบุกรุกเข้าไปลักทรัพย์ในสถานที่โดยใช้กำลังและวิธีการรุนแรงแล้ว ผู้รับประกันภัยจึงต้องรับผิดตามกรมธรรม์ดังกล่าว
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1566/2518
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
สัญญาโฆษณาทางวิทยุ: การผิดสัญญา, การชำระหนี้, และขอบเขตความรับผิด
จำเลยได้ทำสัญญาก่อสร้างตั้งสถานีวิทยุกระจายเสียงกับกรมการทหารสื่อสารโดยกรมการทหารสื่อสารให้สิทธิแก่จำเลย ในการโฆษณา 8 ปี ในการนี้จำเลยได้ตกลงกับโจทก์ที่ 1 โดยมีข้อสัญญากันว่า ให้โจทก์ที่ 1 ออกเงินลงทุน150,000 บาท และจำเลยในฐานะหัวหน้าสถานีวิทยุตกลงให้สิทธิโจทก์ที่ 1 โฆษณาสินค้าวันละ 2 ชั่วโมง เป็นการตอบแทนมีกำหนด 6 ปี หรือจนกว่าจะหมดสัญญาการก่อสร้างสถานี โจทก์จึงได้มอบเงิน 150,000 บาท ให้จำเลยไปดำเนินการก่อสร้าง เมื่อการก่อสร้างสถานีวิทยุดังกล่าวเสร็จแล้ว โจทก์ที่ 1 มอบให้โจทก์ที่ 2 ดำเนินการแทนได้โฆษณาสินค้าได้รวม 2 ปีก็ต้องหยุดเนื่องจากทางราชการสั่งห้ามโฆษณา ต่อมาอีกเกือบ 3 ปีทางราชการอนุญาตให้โฆษณาได้อีก ดังนี้ เมื่อทางราชการมิได้สั่งห้ามโฆษณาเป็นการเด็ดขาดตลอดไปอันจะทำให้การชำระหนี้ตกเป็นพ้นวิสัยและกลับอนุญาตให้ออกอากาศโฆษณาได้อีก การชำระหนี้จึงอยู่ในวิสัยจะกลับขอปฏิบัติการชำระหนี้ต่อกันได้ และการที่ทางราชการสั่งห้ามโฆษณา ก็แปลไม่ได้ว่าเป็นการหมดสัญญาก่อสร้างสถานี ทั้งสัญญาที่จำเลยทำไว้กับกรมการทหารสื่อสารนั้น กรมการทหารสื่อสารให้สิทธิแก่จำเลยในการโฆษณาถึง 8 ปี จำเลยจึงยังมีความผูกพันที่จะต้องให้สิทธิแก่โจทก์ออกอากาศโฆษณาต่อไปจนครบ 6 ปี
แม้สัญญาที่จำเลยทำไว้กับโจทก์ที่ 1 นั้นมีว่าจำเลยจะต้องผ่อนชำระเงิน 150,000 บาทคืนโจทก์ภายใน 2 ปี โดยโจทก์ไม่คิดดอกเบี้ยใดๆ แต่ก็มิได้ระบุว่าถ้าไม่ผ่อนชำระคืนตามกำหนด แล้วจะให้คิดดอกเบี้ยต่อกัน และตามพฤติการณ์เห็นได้ว่าโจทก์มุ่งเอาประโยชน์ตอบแทนจากรายได้จากการออกอากาศโฆษณาสินค้ามากกว่า และเมื่อจำเลยไม่ผ่อนชำระเงินคืนตามกำหนด โจทก์ก็มิได้จัดการประการใด เพิ่งจะบอกกล่าวให้ชำระเงินคืนเมื่อพ้นกำหนดมาหลายปี แต่ก็มิได้กำหนดเวลาให้จำเลยชำระ เพียงแต่เชิญจำเลยไปทำความตกลงกันเท่านั้น ดังนี้ จำเลยจึงยังมิได้ตกเป็นฝ่ายผิดนัด เพราะโจทก์ได้เตือนแล้ว อันจะทำให้โจทก์มีสิทธิเรียกร้องเอาดอกเบี้ย
โจทก์ที่ 2 มิได้เป็นคู่สัญญากับจำเลย จึงไม่มีนิติสัมพันธ์ต่อกัน แม้โจทก์ที่ 2 จะเป็นหุ้นส่วนกับโจทก์ที่ 1 ด้วยก็ตาม แต่ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1049 ผู้เป็นหุ้นส่วนจะถือเอาสิทธิใดๆ แก่บุคคลภายนอกในกิจการค้าขายซึ่งไม่ปรากฏชื่อของตนนั้นหาได้ไม่ โจทก์ที่ 2 จึงไม่มีอำนาจฟ้องจำเลย
แม้สัญญาที่จำเลยทำไว้กับโจทก์ที่ 1 นั้นมีว่าจำเลยจะต้องผ่อนชำระเงิน 150,000 บาทคืนโจทก์ภายใน 2 ปี โดยโจทก์ไม่คิดดอกเบี้ยใดๆ แต่ก็มิได้ระบุว่าถ้าไม่ผ่อนชำระคืนตามกำหนด แล้วจะให้คิดดอกเบี้ยต่อกัน และตามพฤติการณ์เห็นได้ว่าโจทก์มุ่งเอาประโยชน์ตอบแทนจากรายได้จากการออกอากาศโฆษณาสินค้ามากกว่า และเมื่อจำเลยไม่ผ่อนชำระเงินคืนตามกำหนด โจทก์ก็มิได้จัดการประการใด เพิ่งจะบอกกล่าวให้ชำระเงินคืนเมื่อพ้นกำหนดมาหลายปี แต่ก็มิได้กำหนดเวลาให้จำเลยชำระ เพียงแต่เชิญจำเลยไปทำความตกลงกันเท่านั้น ดังนี้ จำเลยจึงยังมิได้ตกเป็นฝ่ายผิดนัด เพราะโจทก์ได้เตือนแล้ว อันจะทำให้โจทก์มีสิทธิเรียกร้องเอาดอกเบี้ย
โจทก์ที่ 2 มิได้เป็นคู่สัญญากับจำเลย จึงไม่มีนิติสัมพันธ์ต่อกัน แม้โจทก์ที่ 2 จะเป็นหุ้นส่วนกับโจทก์ที่ 1 ด้วยก็ตาม แต่ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1049 ผู้เป็นหุ้นส่วนจะถือเอาสิทธิใดๆ แก่บุคคลภายนอกในกิจการค้าขายซึ่งไม่ปรากฏชื่อของตนนั้นหาได้ไม่ โจทก์ที่ 2 จึงไม่มีอำนาจฟ้องจำเลย
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1376/2518 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
สัญญาจะซื้อขายที่ดิน: การปฏิเสธการซื้อเนื่องจากข้อจำกัดในการทำถนนสาธารณะ มิถือเป็นความผิดของจำเลย
จำเลยมีกรรมสิทธิ์ในที่ดินมีโฉนดแปลงหนึ่งร่วมกันกับผู้มีชื่ออีก 5 คน ต่อมาจำเลยกับผู้มีกรรมสิทธิ์ร่วมได้ขอแบ่งแยกโฉนดเป็นของแต่ละคน และได้ตกลงกันตัดถนนทางด้านทิศเหนือของที่ดินที่ขอแบ่งแยกแต่ละแปลงไปออกยังถนนพหลโยธิน โจทก์ได้ทำสัญญาจะซื้อขายที่ดินส่วนของจำเลย จากจำเลยและวางมัดจำไว้ โดยระบุในข้อสัญญาว่า ในกรณีที่มีการทำถนนร่วมกัน ทุกฝ่ายได้ตกลงกันว่า ผู้ที่มีที่ดินร่วมกันจะสละที่ดินให้เป็นสาธารณะ และช่วยกันลงทุนทำถนนร่วมกัน ในกรณีทำคอถนนเชื่อมกับถนนพหลโยธิน ทุกฝ่ายจะต้องลงทุนร่วมกันโดยเฉลี่ยทุนทรัพย์เท่ากัน ดังนี้ข้อสัญญาดังกล่าวเพียงแต่กล่าวว่า ผู้ที่มีที่ดินร่วมกันจะสละที่ดินทำถนนและลงทุนทำถนนกับคอถนนเชื่อมกับถนนพหลโยธิน โดยเฉลี่ยทุนทรัพย์เท่า ๆ กัน ไม่มีทางที่จะแปลไปได้ว่าจำเลยตกลงรับผิดชอบทำถนนตลอดสายเข้าไปในที่ดินของผู้อื่นซึ่งมิได้ตกลงทำสัญญา และไปจดทะเบียนให้เป็นถนนสาธารณะด้วย ดังนั้น การที่เจ้าของร่วมคนหนึ่งสละที่ดินทำถนนแล้วแต่ยังไม่ยอมให้ทำคอถนนในที่ดินส่วนของผู้นั้นไปเชื่อมกับถนนพหลโยธิน จึงถือมิได้ว่าจำเลยผิดสัญญา เมื่อโจทก์ปฏิเสธไม่ยอมรับซื้อที่ดินตามสัญญา โจทก์จึงเป็นฝ่ายผิดสัญญา จำเลยชอบที่จะริบมัดจำเสียได้
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1376/2518
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
สัญญาจะซื้อขายที่ดิน: ความรับผิดชอบการทำถนนสาธารณะและผลของการไม่ปฏิบัติตามสัญญา
จำเลยมีกรรมสิทธิ์ในที่ดินมีโฉนดแปลงหนึ่งร่วมกันกับผู้มีชื่ออีก 5 คน ต่อมาจำเลยกับผู้มีกรรมสิทธิ์ร่วมได้ขอแบ่งแยกโฉนดเป็นของแต่ละคน และได้ตกลงกันตัดถนนทางด้านทิศเหนือของที่ดินที่ขอแบ่งแยกแต่ละแปลงไปออกยังถนนพหลโยธิน โจทก์ได้ทำสัญญาจะซื้อขายที่ดินส่วนของจำเลยจากจำเลยและวางมัดจำไว้ โดยระบุในข้อสัญญาว่า ในกรณีที่มีการทำถนนร่วมกัน ทุกฝ่ายได้ตกลงกันว่า ผู้ที่มีที่ดินร่วมกันจะสละที่ดินให้เป็นสาธารณะ และช่วยกันลงทุนทำถนนร่วมกัน ในกรณีทำคอถนนเชื่อมกับถนนพหลโยธินทุกฝ่ายจะต้องลงทุนร่วมกันโดยเฉลี่ยทุนทรัพย์เท่ากัน ดังนี้ข้อสัญญาดังกล่าวเพียงแต่กล่าวว่า ผู้ที่มีที่ดินร่วมกันจะสละที่ดินทำถนนและลงทุนทำถนนกับคอถนน เชื่อมกับถนนพหลโยธินโดยเฉลี่ยทุนทรัพย์เท่าๆ กัน ไม่มีทางที่จะแปลไปได้ว่า จำเลยตกลงรับผิดชอบทำถนนตลอดสายเข้าไปในที่ดินของผู้อื่นซึ่งมิได้ตกลงทำสัญญา และไปจดทะเบียนให้เป็นถนนสาธารณะด้วย ดังนั้น การที่เจ้าของร่วมคนหนึ่งสละที่ดินทำถนนแล้ว แต่ยังไม่ยอมให้ทำคอถนนในที่ดินส่วนของผู้นั้นไปเชื่อมกับถนนพหลโยธิน จึงถือมิได้ว่าจำเลยผิดสัญญา เมื่อโจทก์ปฏิเสธไม่ยอมรับซื้อที่ดินตามสัญญา โจทก์จึงเป็นฝ่ายผิดสัญญา จำเลยชอบที่จะริบมัดจำเสียได้
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1266/2518
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ความล่าช้าในการสั่งซื้อสินค้าทำให้เสียสิทธิยกเว้นภาษีอากร ผู้ซื้อไม่ต้องรับผิดชอบ
จำเลยได้ซื้อเครื่องปรับอากาศ 6 เครื่องจากโจทก์ในราคาซึ่งไม่รวมภาษีขาเข้า โดยมีข้อตกลงกันว่า จำเลยซึ่งได้รับบัตรส่งเสริมการลงทุนเพื่อกิจการอุตสาหกรรมและมีสิทธิได้รับยกเว้นอากรขาเข้า ภาษีการค้าและอื่นๆ ตกลงให้โจทก์สั่งเครื่องปรับอากาศในนามของจำเลยเพื่อชดใช้แทนเครื่องปรับอากาศ 6 เครื่องที่รับไปจากโจทก์ เมื่อสินค้าที่สั่งมาถึงจำเลยจะเป็นผู้ดำเนินเรื่องเกี่ยวกับการยกเว้นภาษีให้แก่โจทก์จนกว่าจะแล้วเสร็จ โจทก์ได้ตรวจดูบัตรส่งเสริมการลงทุนฯ ของจำเลยแล้ว ปรากฏว่ามีเวลาสั่งซื้อสินค้าทันกำหนดเวลาในบัตรส่งเสริมการลงทุนฯ ดังนี้ ตามข้อตกลงดังกล่าวมีความหมายว่า โจทก์จะต้องสั่งเครื่องปรับอากาศเข้ามาให้ทันระยะเวลาที่กำหนดไว้ในบัตรส่งเสริมการลงทุนฯ ซึ่งโจทก์ทราบดีอยู่แล้วว่าจะหมดอายุเมื่อใด การที่โจทก์สั่งสินค้าล่าช้าเป็นเหตุให้สินค้ามาถึงประเทศไทยเลยกำหนดระยะเวลาในบัตรส่งเสริมการลงทุนฯจำเลยจึงติดต่อขอยกเว้นเงินอากรขาเข้า และภาษีการค้าไม่สำเร็จ จึงเป็นความผิดของโจทก์เอง จำเลยไม่ต้องรับผิดต่อโจทก์ในค่าอากรขาเข้า ภาษีการค้า ภาษีเทศบาลและค่าใช้จ่ายอื่น ๆ ที่โจทก์ต้องเสียไปเพื่อนำเครื่องปรับอากาศออกมา
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1266/2518 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ความรับผิดของผู้ขายเมื่อสินค้าส่งช้าเกินกำหนด ยกเว้นภาษีอากร
จำเลยได้ซื้อเครื่องปรับอากาศ 6 เครื่องจากโจทก์ในราคาซึ่งไม่รวมภาษีขาเข้า โดยมีข้อตกลงกันว่า จำเลยซึ่งได้รับบัตรส่งเสริมการลงทุนเพื่อกิจการอุตสาหกรรมและมีสิทธิได้รับยกเว้นอากรขาเข้า ภาษีการค้าและอื่น ๆ ตกลงให้โจทก์สั่งเครื่องปรับอากาศในนามของจำเลยเพื่อชดใช้แทนเครื่องปรับอากาศ 6 เครื่องที่รับไปจากโจทก์ เมื่อสินค้าที่สั่งมาถึงจำเลยจะเป็นผู้ดำเนินเรื่องเกี่ยวกับการยกเว้นภาษีให้แก่โจทก์จนกว่าจะแล้วเสร็จ โจทก์ได้ตรวจดูบัตรส่งเสริมการลงทุนฯ ของจำเลยแล้ว ปรากฏว่ามีเวลาสั่งซื้อสินค้าทันกำหนดเวลาในบัตรส่งเสริมการลงทุนฯ ดังนี้ ตามข้อตกลงดังกล่าวมีความหมายว่า โจทก์จะต้องสั่งเครื่องปรับอากาศเข้ามาให้ทันระยะเวลาที่กำหนดไว้ในบัตรส่งเสริมการลงทุนฯ ซึ่งโจทก์ทราบดีอยู่แล้วว่าจะหมดอายุเมื่อใด การที่โจทก์สั่งสินค้าล่าช้าเป็นเหตุให้สินค้ามาถึงประเทศไทยเลยกำหนดระยะเวลาในบัตรส่งเสริมการลงทุนฯ จำเลยจึงติดต่อขอยกเว้นเงินอากรขาเข้า และภาษีการค้าไม่สำเร็จ จึงเป็นความผิดของโจทก์เอง จำเลยไม่ต้องรับผิดต่อโจทก์ในค่าอากรขาเข้า ภาษีการค้า ภาษีเทศบาลและค่าใช้จ่ายอื่น ๆ ที่โจทก์ต้องเสียไปเพื่อนำเครื่องปรับอากาศออกมา