คำพิพากษาที่เกี่ยวข้องกับกฎหมาย
ป.วิ.พ. ม. 31

พบผลลัพธ์ทั้งหมด 87 รายการ

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 5596/2536

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การซื้อขายที่ดิน น.ส.3 ที่ผิดแบบและห้ามโอน สิทธิครอบครองเกิดขึ้นได้หลังพ้นระยะห้าม
การซื้อขายที่ดิน น.ส.3 ซึ่งทางราชการห้ามโอนภายใน 10 ปีตามประมวลกฎหมายที่ดิน มาตรา 31 เมื่อไม่ได้ทำเป็นหนังสือและจดทะเบียนต่อพนักงานเจ้าหน้าที่จึงตกเป็นโมฆะ เพราะไม่ถูกต้องตามแบบและเป็นการฝ่าฝืนข้อห้ามชัดแจ้งโดยกฎหมาย แม้โจทก์ซื้อและยึดถือที่พิพาทโดยเจตนายึดถือเพื่อตนต่อมาในระยะเวลาห้ามโอนก็ไม่ได้สิทธิครอบครอง แต่เมื่อโจทก์ยังคงครอบครองต่อมาจนล่วงเลยระยะเวลาห้ามโอนแล้ว โจทก์ย่อมได้สิทธิครอบครองตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1367 นับแต่วันที่พ้นกำหนดห้ามโอนนั้น เมื่อสัญญาซื้อขายที่พิพาทเป็นโมฆะ จำเลยย่อมไม่มีหน้าที่ทางนิติกรรมที่จะต้องไปจดทะเบียนโอนที่พิพาทให้แก่โจทก์ จึงบังคับจำเลยไปจดทะเบียนโอนที่พิพาทไม่ได้

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3249/2536

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ อำนาจศาลในการพิจารณาละเมิดอำนาจศาลและการไม่เป็นผู้เสียหายในการอุทธรณ์ฎีกา
ความผิดฐานละเมิดอำนาจศาลเป็นความผิดต่อศาล และการลงโทษฐานละเมิดอำนาจศาลย่อมเป็นอำนาจของศาลโดยเฉพาะ หากกรณีละเมิดอำนาจศาลได้กระทำต่อหน้าศาล ศาลย่อมพิพากษาลงโทษไปได้โดยไม่ต้องมีการไต่สวน หากมิได้กระทำต่อหน้าศาล ศาลจะต้องทำการไต่สวนหาข้อเท็จจริงก่อนมีคำสั่ง การที่จำเลยยื่นคำร้องต่อศาลชั้นต้นว่าผู้ถูกกล่าวหาทั้งสองได้กระทำความผิดฐานละเมิดอำนาจศาล ขอให้ศาลชั้นต้นไต่สวนข้อเท็จจริงนั้น ศาลย่อมมีอำนาจวินิจฉัยว่าสมควรจะทำการไต่สวนหาข้อเท็จจริงตามคำร้องของจำเลยหรือไม่เมื่อเห็นว่าไม่สมควรที่จะทำการไต่สวน ก็ชอบที่จะยกคำร้องเสียได้ดังนั้น คำสั่งของศาลชั้นต้นที่ไม่อนุญาตให้ไต่สวนข้อเท็จจริงดังกล่าวโดยให้ยกคำร้องของจำเลยนั้นเป็นอำนาจของศาลโดยเฉพาะจำเลยย่อมมิใช่ผู้เสียหายอันจะมีสิทธิอุทธรณ์ฎีกาคำสั่งของศาลดังกล่าวได้

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3249/2536 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ อำนาจศาลในการวินิจฉัยคำร้องละเมิดอำนาจศาล และสิทธิในการอุทธรณ์ฎีกา
ความผิดฐานละเมิดอำนาจศาลเป็นความผิดต่อศาล และการลงโทษย่อมเป็นอำนาจของศาลโดยเฉพาะ การที่จำเลยยื่นคำร้องต่อศาลชั้นต้นว่าผู้ถูกกล่าวหาทั้งสองได้กระทำความผิดฐานละเมิดอำนาจศาลขอให้ศาลชั้นต้นไต่สวนข้อเท็จจริงนั้น ศาลย่อมมีอำนาจวินิจฉัยว่าสมควรจะทำการไต่สวนหรือไม่เมื่อเห็นว่าไม่สมควรที่จะทำการไต่สวนก็ชอบที่จะยกคำร้องได้ ดังนั้น คำสั่งของศาลชั้นต้นที่ไม่อนุญาตให้ไต่สวนดังกล่าว จึงเป็นอำนาจของศาลโดยเฉพาะจำเลยย่อมมิใช่ผู้เสียหายอันจะมีสิทธิอุทธรณ์ฎีกาคำสั่งของศาลนั้นได้

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1248/2535 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ อำนาจศาลในการลงโทษละเมิดอำนาจศาล และสิทธิในการฎีกาคำพิพากษา
ความผิดฐานละเมิดอำนาจศาลเป็นความผิดต่อศาล และการลงโทษฐานละเมิดอำนาจศาลเป็นอำนาจของศาลโดยเฉพาะ เมื่อศาลอุทธรณ์พิพากษายกคำสั่งศาลชั้นต้นย่อมมีผลเท่ากับให้ยกคำร้อง ของ ทนายจำเลยที่ขอให้ลงโทษผู้ถูกกล่าวหาในความผิดฐานละเมิดอำนาจศาลจำเลยและทนายจำเลยจึงไม่ใช่ผู้เสียหายอันจะมีสิทธิฎีกาคำพิพากษาต่อไป.

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1116/2535 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ละเมิดอำนาจศาล: การยื่นฎีกามีเนื้อหาดูหมิ่นศาล แม้จะอ้างไม่ทราบก็ไม่ช่วย เหตุท้าทายอำนาจศาลยุติธรรม
ข้อความในฎีกาของโจทก์ทั้งสองและสำเนาคำร้องเรียนเอกสารท้ายฎีกาซึ่งแนบมากับฎีกาอันเป็นส่วนหนึ่งของฎีกา ได้ระบุชื่อผู้พิพากษาอธิบดีผู้พิพากษาศาลอาญา และอธิบดีผู้พิพากษาศาลแพ่งด้วย มีลักษณะเป็นการก้าวร้าวและดูหมิ่นเสียดสีศาล เมื่อโจทก์ทั้งสองและผู้ถูกกล่าวหาซึ่งเป็นทนายความของโจทก์ทั้งสองได้ร่วมกันลงนามเป็นผู้ฎีกาและผู้เรียงและผู้ถูกกล่าวหาได้นำมายื่นต่อศาลชั้นต้น การกระทำของโจทก์ทั้งสองและผู้ถูกกล่าวหาย่อมเป็นการประพฤติตนไม่เรียบร้อยในบริเวณศาลอันเป็นการละเมิดอำนาจศาลตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 31(1)

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3818/2533

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การประพฤติไม่เรียบร้อยในบริเวณศาลจากคำร้องคัดค้านผู้พิพากษา และการแก้ไขโทษจำคุกเป็นกักขัง
คำร้องคัดค้านผู้พิพากษานั้น ผู้ร้องคัดค้านย่อมมีสิทธิโดยชอบและกรณีมีความจำเป็นต้องกล่าวถึงข้อมูลตามความจริงที่ปรากฏขึ้นในคดีนั้น แต่การที่ผู้ถูกกล่าวหาเรียงข้อความในคำร้องคัดค้านผู้พิพากษาว่า ผู้พิพากษาเจ้าของสำนวนผู้พิจารณาคดี ดำเนินกระบวนพิจารณาไม่เป็นกลางอย่างเที่ยงธรรมแก่คู่ความทุกฝ่ายโดยเฉพาะไม่เป็นธรรมแก่โจทก์ทั้งสอง มีเจตนากลั่นแกล้งโจทก์ทั้งสองโดยทุจริตธรรมเพราะมีอคติต่อโจทก์ทั้งสอง ทำให้โจทก์ทั้งสองเสียหายอันมีสภาพร้ายแรงทำให้การพิจารณาหรือพิพากษาคดีเสียความยุติธรรมไป ฯลฯ ไม่รับบัญชีพยานเพิ่มเติมครั้งที่ 1อันดับ 2 และ 3 ของโจทก์ด้วยมีเจตนากลั่นแกล้งโจทก์ทั้งสองซึ่งตามทางไต่สวนก็ปรากฏเพียงว่า เดิมศาลสั่งรับบัญชีพยานเพิ่มเติมของโจทก์ไว้แล้ว ต่อมา 2-3 วัน จึงแก้ไขคำสั่งเดิมและมีคำสั่งใหม่เป็นไม่รับบัญชีพยานอันดับ 2 และ 3 การแก้ไขคำสั่งจึงไม่มีเหตุอันมีสภาพร้ายแรงดังที่ผู้ถูกกล่าวหายื่นคำร้อง และผู้ถูกกล่าวหาเรียงข้อความเกินไปจากความจริง หากผู้ถูกกล่าวหาไม่เห็นด้วยกับคำสั่งศาลดังกล่าวก็สามารถโต้แย้งคัดค้านคำสั่งดังกล่าวได้ตามกระบวนพิจารณา การที่ผู้ถูกกล่าวหาเรียงข้อความตามคำร้องดังกล่าวจึงเป็นการประพฤติตนไม่เรียบร้อยในบริเวณศาล โทษที่จะรอการลงโทษได้ต้องเป็นโทษจำคุกเท่านั้น เมื่อได้เปลี่ยนโทษจำคุกเป็นกักขังไปแล้ว จึงจะรอการลงโทษไม่ได้

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2126/2533

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การยื่นคำร้องเท็จเพื่อขอถอนหลักประกันคดีอาญา ถือเป็นการประพฤติตนไม่เรียบร้อย ละเมิดอำนาจศาล
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้ลงโทษจำคุกจำเลย 1 เดือน โดย ให้เปลี่ยนโทษจำคุกเป็นกักขังแทน ผู้ถูกกล่าวหาเป็นผู้ขอคัดหมายกักขังจำเลย และเป็นผู้ประกันตัวจำเลยไปในระหว่างอุทธรณ์ ผู้ถูกกล่าวหาย่อมทราบดีว่าศาลพิพากษาลงโทษจำเลยในสถานใด การที่ผู้ถูกกล่าวหายื่นคำร้องขอถอน หลักประกันและรับหลักประกันคืนโดยมิได้นำตัวจำเลยส่งมอบต่อศาล และศาลอุทธรณ์ยังไม่ได้มีคำพิพากษา อ้างว่าศาลพิพากษาจำคุก 1 ปี โทษจำรอ ผู้ถูกกล่าวหาหมดข้อผูกพันตามสัญญาประกันอันเป็นเท็จ จึงเป็นการประพฤติตน ไม่เรียบร้อยในบริเวณศาลเป็นความผิดฐานละเมิดอำนาจศาล ศาลล่างมิได้อ้างบทกฎหมายที่เป็นบทลงโทษผู้ถูกกล่าวหาศาลฎีกาย่อมปรับบทเสียให้ถูกต้อง.

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2126/2533 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ละเมิดอำนาจศาลจากคำร้องเท็จ ผู้ประกันภัยยื่นขอถอนหลักประกันโดยมิชอบ
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้ลงโทษจำคุกจำเลย 1 เดือน โดยให้เปลี่ยนโทษจำคุกเป็นกักขังแทน ผู้ถูกกล่าวหาเป็นผู้ขอคัดหมายกักขังจำเลยและเป็นผู้ประกันตัวจำเลยไปในระหว่างอุทธรณ์ ผู้ถูกกล่าวหาย่อมทราบดีว่าศาลพิพากษาให้ลงโทษจำเลยในสถานใด การที่ผู้ถูกกล่าวหายื่นคำร้องขอถอนหลักประกันและรับหลักประกันคืนอ้างว่าศาลพิพากษาจำคุก 1 ปี โทษจำคุกให้รอ ผู้ถูกกล่าวหาจึงหมดข้อผูกพันตามสัญญาประกันซึ่งเป็นความเท็จ โดยมิได้นำจำเลยส่งมอบต่อศาลและศาลอุทธรณ์ยังมิได้มีคำพิพากษานั้น เป็นการประพฤติตนไม่เรียบร้อยในบริเวณศาลย่อมมีความผิดฐานละเมิดอำนาจศาล ศาลล่างมิได้อ้างบทกฎหมายที่เป็นบทลงโทษผู้ถูกกล่าวหาศาลฎีกาปรับบทให้ถูกต้องได้

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2126/2533 เวอร์ชัน 4 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การยื่นคำร้องเท็จเพื่อขอคืนหลักประกันการประกันตัว ละเมิดอำนาจศาล
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้ลงโทษจำคุกจำเลย 1 เดือน โดย ให้เปลี่ยนโทษจำคุกเป็นกักขังแทน ผู้ถูกกล่าวหาเป็นผู้ขอคัดหมายกักขังจำเลย และเป็นผู้ประกันตัวจำเลยไปในระหว่างอุทธรณ์ ผู้ถูกกล่าวหาย่อมทราบดีว่าศาลพิพากษาลงโทษจำเลยในสถานใด การที่ผู้ถูกกล่าวหายื่นคำร้องขอถอนหลักประกันและรับหลักประกันคืนโดยมิได้นำตัวจำเลยส่งมอบต่อศาล และศาลอุทธรณ์ยังไม่ได้มีคำพิพากษา อ้างว่าศาลพิพากษาจำคุก 1 ปี โทษจำรอ ผู้ถูกกล่าวหาหมดข้อผูกพันตามสัญญาประกันอันเป็นเท็จ จึงเป็นการประพฤติตนไม่เรียบร้อยในบริเวณศาลเป็นความผิดฐานละเมิดอำนาจศาล
ศาลล่างมิได้อ้างบทกฎหมายที่เป็นบทลงโทษผู้ถูกกล่าวหา ศาลฎีกาย่อมปรับบทเสียให้ถูกต้อง

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3153/2532

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การประพฤติตนไม่เรียบร้อยในศาลและการละเมิดอำนาจศาล: ศาลมีอำนาจลงโทษทันทีโดยไม่ต้องออกข้อกำหนด
โจทก์อุทธรณ์มีข้อความว่า ศาลกระทำการอันไม่เป็นธรรมเข้าข้างฝ่ายจำเลยทั้ง ๆ ที่ไม่จำเป็นต้องมีข้อความเช่นนี้ในอุทธรณ์แสดงว่าโจทก์กล่าวไว้โดยเจตนาดูหมิ่นเสียดสีศาล เมื่อเอามายื่นต่อศาลถือได้ว่าประพฤติตนไม่เรียบร้อยในบริเวณศาล เป็นการกระทำละเมิดอำนาจศาลตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 31(1)แล้ว ศาลย่อมมีอำนาจสั่งลงโทษได้ทันที โดยไม่จำต้องออกข้อกำหนดตามมาตรา 30 ก่อน ดังเช่นเรื่องการรักษาความเรียบร้อยในบริเวณศาลและศาลไม่จำต้องสั่งให้โจทก์แก้ไขอุทธรณ์นั้นก่อนตามมาตรา 18แม้ศาลจะมีคำสั่งให้โจทก์แก้ไขและโจทก์ทำอุทธรณ์ฉบับใหม่มายื่นต่อศาลแล้ว ก็เป็นเพียงแสดงว่าโจทก์รู้สึกผิดและพยายามบรรเทาผลร้ายหาใช่การกระทำผิดฐานละเมิดอำนาจศาลยังมิได้เกิดขึ้นไม่.
of 9