พบผลลัพธ์ทั้งหมด 360 รายการ
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 6125/2534
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การทิ้งฟ้องอุทธรณ์: ศาลมีอำนาจใช้ดุลพินิจตามพฤติการณ์คดี หากผู้ร้องแสดงเหตุสมควรและประสงค์ดำเนินคดีต่อ
การทิ้งฟ้องที่ศาลจะสั่งจำหน่ายคดีเสียจากสารบบความตามป.วิ.พ. มาตรา 132(1) นั้น มิได้บังคับโดยเด็ดขาดว่าจะต้องจำหน่ายคดีเสมอไป บทบัญญัติดังกล่าวให้ศาลใช้ดุลพินิจตามพฤติการณ์แห่งคดีเป็นเรื่อง ๆ ไป ได้ความว่าเหตุที่ผู้ร้องมิได้นำส่งสำเนาอุทธรณ์ภายในกำหนด เพราะมีเหตุอันสมควร ซึ่งต่อมาผู้ร้องได้แถลงขอให้ศาลชั้นต้นส่งสำเนาอุทธรณ์ให้ผู้คัดค้านจนผู้คัดค้านได้รับและยื่นคำแก้อุทธรณ์แล้ว แสดงว่าผู้ร้องประสงค์ให้ดำเนินคดีต่อไป จึงไม่สมควรที่จะจำหน่ายคดีเสียจากสารบบความ.
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4718/2534
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การทิ้งอุทธรณ์เนื่องจากไม่ปฏิบัติตามคำสั่งศาล และการยื่นอุทธรณ์ที่ไม่ชอบตามกฎหมาย
ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 229 บัญญัติให้ผู้อุทธรณ์ยื่นสำเนาอุทธรณ์ต่อศาลเพื่อส่งให้แก่จำเลยอุทธรณ์และตามแบบพิมพ์ของศาลท้ายอุทธรณ์ได้ระบุไว้ว่าโจทก์ได้ยื่นสำเนาอุทธรณ์โดยข้อความถูกต้องเป็นอย่างเดียวกันมาด้วยหนึ่งฉบับดังนั้นการที่ทนายโจทก์ได้ลงลายมือจริงไว้ในอุทธรณ์หาใช่เป็นการยื่นสำเนาอุทธรณ์โดยมีการรับรองข้อความถูกต้องเป็นอย่างเดียวกันไม่ เมื่อโจทก์ทราบคำสั่งของศาลชั้นต้นที่สั่งให้โจทก์หรือทนายโจทก์มาลงชื่อรับรองสำเนาอุทธรณ์เสียให้ถูกต้อง แต่โจทก์กลับเพิกเฉยไม่ดำเนินการภายในเวลาที่ศาลชั้นต้นกำหนดถือได้ว่าโจทก์ทิ้งอุทธรณ์ ศาลย่อมมีอำนาจที่จะสั่งจำหน่ายคดีโจทก์ออกจากสารบทความ ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา 132,174(2) ประกอบด้วยประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญามาตรา 15 การที่ศาลชั้นต้นสั่งรับอุทธรณ์ฉบับแรกของโจทก์โดยมีเงื่อนไขว่าโจทก์หรือทนายโจทก์จะต้องมาลงชื่อรับรองสำเนาอุทธรณ์ภายใน 15 วัน แต่โจทก์กลับส่งอุทธรณ์และสำเนาอุทธรณ์ฉบับที่สองซึ่งมีข้อความเหมือนอุทธรณ์ฉบับแรกมายังศาลโดยทางไปรษณีย์ลงทะเบียนตอบรับ ถือไม่ได้ว่าเป็นการยื่นอุทธรณ์ และสำเนาอุทธรณ์โดยชอบเพราะอุทธรณ์เป็นคำคู่ความ โจทก์จะต้องนำมายื่นต่อศาลตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 18 และมาตรา 229ประกอบประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 15 จึงไม่รับอุทธรณ์ของโจทก์
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4595/2534
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การขายทอดตลาดทรัพย์หลังมีคำสั่งศาล: ศาลจำหน่ายคดีเมื่อทรัพย์ไม่อยู่ในอำนาจเจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์แล้ว
เมื่อเจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์ได้ขายทอดตลาดทรัพย์ของจำเลยไปแล้ว ทรัพย์ดังกล่าวไม่อยู่ในความยึดถือหรืออยู่ในอำนาจสั่งการของเจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์ที่จะดำเนินการขายหรือไม่ขายทอดตลาดอีกต่อไป ถึงหากจะมีคำสั่งหรือคำพิพากษาให้งดการขายทอดตลาดทรัพย์ของจำเลยไว้ก่อนตามคำร้องของจำเลย หรืออนุญาตให้เจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์ดำเนินการขายทอดตลาดต่อไปตามฎีกาของเจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์ ก็ไม่อยู่ในวิสัยที่เจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์จะปฏิบัติตามคำสั่งหรือคำพิพากษาดังกล่าวได้ คดีจึงไม่มีประโยชน์ที่จะวินิจฉัยต่อไปว่าสมควรอนุญาตให้เจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์ขายทอดตลาดทรัพย์สินของจำเลยดังฎีกาของเจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์หรือไม่ จึงให้จำหน่ายคดีเสียจากสารบบความ.
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4595/2534 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การขายทอดตลาดทรัพย์หลังเจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์ดำเนินการแล้ว: คดีไม่มีประโยชน์พิจารณาต่อ
เมื่อเจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์ได้ขายทอดตลาดทรัพย์ของจำเลยไปแล้ว ทรัพย์ดังกล่าวไม่อยู่ในความยึดถือหรืออยู่ในอำนาจสั่งการของเจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์ที่จะดำเนินการขายหรือไม่ขายทอดตลาดอีกต่อไป ถึงหากจะมีคำสั่งหรือคำพิพากษาให้งดการขายทอดตลาดทรัพย์ของจำเลยไว้ก่อนตามคำร้องของจำเลย หรืออนุญาตให้เจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์ดำเนินการขายทอดตลาดต่อไปตามฎีกาของเจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์ ก็ไม่อยู่ในวิสัยที่เจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์จะปฏิบัติตามคำสั่งหรือคำพิพากษาดังกล่าวได้ คดีจึงไม่มีประโยชน์ที่จะวินิจฉัยต่อไปว่าสมควรอนุญาตให้เจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์ขายทอดตลาดทรัพย์สินของจำเลยดังฎีกาของเจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์หรือไม่ จึงให้จำหน่ายคดีเสียจากสารบบความ
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4029/2534
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การมีส่วนได้เสียในการเป็นผู้จัดการมรดก: หนี้เช็คที่ชำระแล้ว และการอ้างหนี้อื่นที่ไม่ได้รับการยกขึ้นในคำคัดค้าน
ศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์ตั้งผู้ร้องให้เป็นผู้จัดการมรดกของผู้ตาย ผู้คัดค้านฎีกา ระหว่างการพิจารณาของศาลฎีกา ผู้ร้องถึงแก่กรรม เนื่องจากสิทธิในการร้องขอจัดการมรดกเป็นสิทธิเฉพาะตัวของผู้ร้อง จึงไม่อาจตั้งบุคคลอื่นเข้ามาเป็นคู่ความแทนผู้ร้องได้ให้จำหน่ายคดีเฉพาะของผู้ร้องออกจากสารบบความ ผู้คัดค้านเป็นเจ้าหนี้ตามเช็คของเจ้ามรดก แต่ไม่ยอมรับชำระหนี้ตามที่ผู้ร้องซึ่งอ้างว่าเป็นทายาทตามพินัยกรรมและร้องขอให้ศาลมีคำสั่งตั้งผู้ร้องเป็นผู้จัดการมรดกได้ขอชำระให้ผู้คัดค้านในระหว่างพิจารณาและได้นำต้นเงินและดอกเบี้ยไปวางไว้ที่สำนักงานวางทรัพย์กลาง สิทธิเรียกร้องตามเช็คได้สิ้นสุดแล้วผู้คัดค้านจึงไม่มีส่วนได้เสียในกองมรดกต่อไป ข้ออ้างของผู้คัดค้านที่ว่า เจ้ามรดกยังเป็นหนี้บุคคลอื่นอีกจำนวนมาก ไม่ใช่เหตุที่ผู้คัดค้านจะกล่าวอ้างมาขอให้แต่งตั้งตนเป็นผู้จัดการมรดกได้ ส่วนข้ออ้างของผู้คัดค้านว่า นอกจากเป็นหนี้ตามเช็คแล้ว เจ้ามรดกยังเป็นหนี้อื่น ๆ ต่อผู้คัดค้านอีกนั้นผู้คัดค้านไม่ได้ยกขึ้นว่ากล่าวในคำคัดค้าน จึงไม่ใช่เหตุที่หยิบยกขึ้นอ้างให้ศาลตั้งผู้คัดค้านเป็นผู้จัดการมรดก แม้ผู้คัดค้านได้นำสืบในข้อนี้ก็เป็นการนำสืบนอกประเด็น ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัย เมื่อฟังได้ว่าผู้คัดค้านไม่มีส่วนได้เสียในกองมรดก ไม่มีสิทธิได้รับแต่งตั้งเป็นผู้จัดการมรดก ผู้คัดค้านจึงไม่มีสิทธิฎีกาโต้แย้งว่าพินัยกรรมปลอม จึงไม่จำเป็นต้องวินิจฉัยฎีกาของผู้คัดค้านต่อไปว่าพินัยกรรมปลอมหรือไม่
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3939/2534
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ค่าขึ้นศาลและผลกระทบต่อการรับคำฟ้อง: การสั่งรับฟ้องก่อนเสียค่าขึ้นศาลเป็นคำสั่งที่ไม่ชอบ
ในคดีที่โจทก์ต้องเสียค่าขึ้นศาลตามทุนทรัพย์ที่เรียกร้องในเวลายื่นคำฟ้องนั้น หากศาลชั้นต้นสั่งรับคำฟ้องของโจทก์และกำหนดระยะเวลาให้โจทก์แถลงเกี่ยวกับกรณีที่ส่งหมายเรียกและสำเนาคำฟ้องให้อีกฝ่ายไม่ได้ทั้ง ๆ ที่โจทก์ยังมิได้เสียค่าขึ้นศาล และศาลยังมิได้กำหนดระยะเวลาให้โจทก์เสียค่าขึ้นศาล คำสั่งของศาลชั้นต้นที่สั่งรับฟ้องโจทก์ตลอดจนกระบวนพิจารณาต่อจากนั้นจนถึงคำสั่งจำหน่ายคดีย่อมไม่ชอบด้วยกฎหมาย
อุทธรณ์ที่มีคำขอให้ปลดเปลื้องทุกข์อันไม่อาจคำนวณเป็นราคาเงินได้ตามตาราง 1 ท้าย ป.วิ.พ. ข้อ (2)(ก) กำหนดให้เรียกค่าขึ้นศาลเรื่องละ 200 บาท
อุทธรณ์ที่มีคำขอให้ปลดเปลื้องทุกข์อันไม่อาจคำนวณเป็นราคาเงินได้ตามตาราง 1 ท้าย ป.วิ.พ. ข้อ (2)(ก) กำหนดให้เรียกค่าขึ้นศาลเรื่องละ 200 บาท
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3321/2534
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การยกเลิกการล้มละลายทำให้เจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์สิ้นอำนาจในการเพิกถอนการโอนทรัพย์สิน
ระหว่างการพิจารณาของศาลฎีกา ศาลชั้นต้นมีคำสั่งยกเลิกการล้มละลายของจำเลย ตามพระราชบัญญัติล้มละลาย พ.ศ. 2483มาตรา 135(2) เจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์จึงไม่มีอำนาจที่จะจัดกิจการและทรัพย์สินของจำเลยต่อไป รวมตลอดทั้งไม่มีอำนาจร้องขอให้เพิกถอนการโอนหรือการจำนอง ตามพระราชบัญญัติล้มละลาย พ.ศ. 2483 มาตรา 22,114,115 ศาลฎีกาจึงไม่จำเป็นต้องสั่งคำร้องขอถอนฎีกาของผู้รับโอนและพิจารณาฎีกาของผู้รับโอนและฎีกาของผู้รับจำนองต่อไป ให้จำหน่ายคดีเสีย.
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2622/2534 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การจำหน่ายคดีฎีกาเกี่ยวกับการคุ้มครองชั่วคราวก่อนพิพากษา เมื่อศาลฎีกาพิพากษาคดีแล้ว
โจทก์ฎีกาคำสั่งศาลอุทธรณ์เกี่ยวกับสิทธิของโจทก์ในการขอคุ้มครองชั่วคราวก่อนศาลพิพากษา เมื่อปรากฏว่าศาลฎีกาได้พิจารณาเนื้อหาแห่งคดีและทำคำพิพากษาเสร็จแล้ว ทำให้ปัญหาในเรื่องการขอคุ้มครองชั่วคราวก่อนศาลพิพากษาตามฎีกาของโจทก์ไม่มีประโยชน์ที่จะวินิจฉัยอีกต่อไปศาลฎีกาให้จำหน่ายคดี
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2622/2534
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การจำหน่ายคดีขอคุ้มครองชั่วคราวก่อนพิพากษา หลังศาลฎีกาตัดสินคดีเนื้อหาแล้ว
โจทก์ฎีกาคำสั่งศาลอุทธรณ์เกี่ยวกับสิทธิของโจทก์ในการขอคุ้มครองชั่วคราวก่อนศาลพิพากษา เมื่อปรากฏว่าศาลฎีกาได้พิจารณาเนื้อหาแห่งคดีและทำคำพิพากษาเสร็จแล้ว ทำให้ปัญหาในเรื่องการขอคุ้มครองชั่วคราวก่อนศาลพิพากษาตามฎีกาของโจทก์ไม่มีประโยชน์ที่จะวินิจฉัยอีกต่อไป ศาลฎีกาให้จำหน่ายคดี.
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2572/2534
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
สมาชิกภาพสหภาพแรงงานของพนักงานรัฐวิสาหกิจสิ้นสุดลงตามกฎหมายใหม่
โจทก์เป็นพนักงานของการท่าเรือแห่งประเทศไทยซึ่งเป็นรัฐวิสาหกิจฟ้องขอให้บังคับ จำเลยรับจดทะเบียนให้โจทก์เป็นกรรมการของสหภาพแรงงานรวมพนักงานการท่าเรือแห่งประเทศไทยในระหว่างการพิจารณาของศาลฎีกาได้มีการแก้ไขเพิ่มเติมพระราชบัญญัติแรงงานสัมพันธ์ พ.ศ. 2518 ในมาตรา 4(4) เป็นว่าพระราชบัญญัตินี้มิให้ใช้บังคับแก่กิจการรัฐวิสาหกิจตามกฎหมายว่าด้วยพนักงานรัฐวิสาหกิจสัมพันธ์ และแก้ไขเพิ่มเติมมาตรา 95วรรคสอง เป็นว่า ห้ามมิให้พนักงานและฝ่ายบริหารตามกฎหมายว่าด้วยพนักงานรัฐวิสาหกิจสัมพันธ์เป็นสมาชิกของสหภาพแรงงาน กับได้มีพระราชบัญญัติพนักงานรัฐวิสาหกิจสัมพันธ์ พ.ศ. 2534 มาตรา 55วรรคแรก บัญญัติว่า บรรดาสหภาพแรงงานของรัฐวิสาหกิจซึ่งตั้งขึ้นตามกฎหมายว่าด้วยแรงงานสัมพันธ์ให้เป็นอันสิ้นสุดลง โจทก์จึงไม่อาจเป็นสมาชิกสหภาพแรงงานได้ คดีของโจทก์ไม่มีประโยชน์ที่จะพิจารณาต่อไป จึงต้องจำหน่ายคดีเสียจากสารบบความ