พบผลลัพธ์ทั้งหมด 1,236 รายการ
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1034/2492
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การฟ้องแบ่งมรดกต้องระบุตัวผู้มีส่วนได้เสียที่ถูกต้อง หากฟ้องผิดบุคคลศาลยกฟ้อง
โจทก์ฟ้องขอแบ่งมรดกจาก ป. และ ย. ในฐานะส่วนตัวมิได้ระบุว่า ป. และ ย.จำเลยเป็นผู้แทนเด็กหญิงอ.แต่อย่างใด จำเลยก็ต่อสู้ว่ามิได้มีส่วนเกี่ยวข้องในทรัพย์มรดก ทางพิจารณาได้ความว่า ป. และ ย. มิได้เกี่ยวข้องในทรัพย์มรดก เด็กหญิง อ. เป็นผู้มีส่วนเกี่ยวข้องในทรัพย์มรดกรายนี้ ศาลจะพิพากษาให้แบ่งมรดกจากจำเลยผู้ซึ่งไม่เกี่ยวข้องในทรัพย์มรดกนั้นไม่ได้ จะพิพากษาให้แบ่งมรดกจากเด็กหญิง อ. ก็ไม่ได้เพราะโจทก์มิได้ฟ้องเรียกทรัพย์มรดกจากเด็กหญิง อ. ซึ่งเป็นบุคคลนอกคดี ศาลต้องพิพากษายกฟ้อง
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 664/2492
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
กรรมสิทธิ์ที่ดิน - สิทธิการเช่า - การครอบครอง - สิทธิครอบครองเกิดไม่ได้
โจทก์ฟ้องขอให้ขับไล่จำเลยออกจากที่ของโจทก์ ในวันชี้สองสถานทนายโจทก์จำเลยรับกันว่าที่พิพาทนี้แปลงเดียวกับที่นายฮงเฮงเป็นโจทก์ฟ้องโจทก์ในคดีนี้ซึ่งอยู่ในระหว่างฎีกา ต่อมาศาลฎีกาพิพากษาให้โจทก์ในคดีนี้เป็นผู้ชนะคดี โดยฟังว่าโจทก์ในคดีนี้เป็นเจ้าของที่ดินรายพิพาทในวันสืบพยาน จำเลยรับว่านายฮงเฮงในคดีโน้นเป็นนายฮงเฮงที่จำเลยว่าเช่าที่ดินในคดีนี้มาและคำเบิกความของนายมานพยานโจทก์ในคดีโน้น ก็คือตัวจำเลยในคดีนี้ ซึ่งจำเลยเบิกความในคดีโน้นก็รับว่าได้เช่าที่ดินรายนี้จากโจทก์ ดังนี้ ย่อมเพียงพอที่จะฟังว่าจำเลยได้เช่าที่ดินรายนี้จากโจทก์ ข้อเถียงกรรมสิทธิ์ของจำเลยย่อมฟังไม่ขึ้น
จำเลยครอบครองที่พิพาทมาโดยอาศัยสิทธิการเช่า จะอ้างว่าได้กรรมสิทธิ์โดยการครอบครองไม่ได้
จำเลยครอบครองที่พิพาทมาโดยอาศัยสิทธิการเช่า จะอ้างว่าได้กรรมสิทธิ์โดยการครอบครองไม่ได้
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 483/2492
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
คำพิพากษาผูกพันคู่ความจนกว่าจะมีการเปลี่ยนแปลงโดยศาลสูงกว่าเท่านั้น ศาลชั้นต้นเพิกถอนคำพิพากษาเดิมไม่ได้
ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 145 คำพิพากษาของศาลย่อมผูกพันคู่ความจนคำพิพากษานั้นจะได้ถูกเปลี่ยนแปลงไปแก้ไข กลับหรืองดเสีย ถ้าหากมี การแก้ไขเปลี่ยนแปลงกลับหรืองดเสียนี้ตามปกติเป็นอำนาจของศาลสูงขึ้นไป คือศาลอุทธรณ์ หรือศาลฎีกา แล้วแต่กรณี ศาลชั้นต้นจะเพิกถอนคำพิพากษาของตัวเองหาได้ไม่
เดิมจำเลยฟ้องขับไล่โจทก์ในคดีนี้ออกจากที่เช่า โจทก์ต่อสู้ในคดีเดิมนั้นว่ามติของคณะกรรมการควบคุมค่าเช่าใช้ไม่ได้ ศาลชั้นต้นไม่ยอมให้โจทก์สืบในข้อนี้ พิพากษาขับไล่โจทก์ โจทก์อุทธรณ์ขอให้ทุเลาการบังคับ และให้รอการพิจารณาไว้ก่อนโดยโจทก์ได้ยื่นฟ้องทำลายมติคณะกรรมการแล้ว แต่โจทก์ยื่นอุทธรณ์เกินกำหนด ศาลจึงไม่รับอุทธรณ์
คดีนั้นถึงที่สุด ต่อมาศาลพิพากษาให้ทำลายมติคณะกรรมการโจทก์จึงมาฟ้องคดีนี้ขอให้ทำลายคำพิพากษาในคดีเดิมที่ขับไล่โจทก์นั้นเสียดังนี้ โจทก์ย่อมฟ้องไม่ได้เพราะต้องห้ามตามมาตรา 144 ประกอบกับมาตรา 145 และ 148 ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง
เดิมจำเลยฟ้องขับไล่โจทก์ในคดีนี้ออกจากที่เช่า โจทก์ต่อสู้ในคดีเดิมนั้นว่ามติของคณะกรรมการควบคุมค่าเช่าใช้ไม่ได้ ศาลชั้นต้นไม่ยอมให้โจทก์สืบในข้อนี้ พิพากษาขับไล่โจทก์ โจทก์อุทธรณ์ขอให้ทุเลาการบังคับ และให้รอการพิจารณาไว้ก่อนโดยโจทก์ได้ยื่นฟ้องทำลายมติคณะกรรมการแล้ว แต่โจทก์ยื่นอุทธรณ์เกินกำหนด ศาลจึงไม่รับอุทธรณ์
คดีนั้นถึงที่สุด ต่อมาศาลพิพากษาให้ทำลายมติคณะกรรมการโจทก์จึงมาฟ้องคดีนี้ขอให้ทำลายคำพิพากษาในคดีเดิมที่ขับไล่โจทก์นั้นเสียดังนี้ โจทก์ย่อมฟ้องไม่ได้เพราะต้องห้ามตามมาตรา 144 ประกอบกับมาตรา 145 และ 148 ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 76/2492
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
สิทธิประทานบัตรเป็นสิทธิเฉพาะตัว การอนุมัติสวมสิทธิไม่ถือเป็นการรับมรดกสิทธิเดิม จำเลยมีสิทธิสู้คดีใหม่ได้
สิทธิที่จะยื่นคำขอประทานบัตรทำเหมืองแร่ ย่อมเป็นสิทธิเฉพาะตัว
สามีโจทก์ได้ฟ้องจำเลยหาว่าขัดขวางคัดค้านในการที่สามีโจทก์ขอประทานบัตรทำเหมืองแร่ ในเขตที่สามีโจทก์ได้ขออาชญาบัตรผูกขาดตรวจแร่ไว้แล้ว ศาลอุทธรณ์ได้พิพากษาว่าเป็นที่สาธารณสมบัติของแผ่นดิน จำเลยไม่มีสิทธิจะถืออำนาจเป็นเจ้าของได้ ห้ามไม่ให้จำเลย เข้าไปเกี่ยวข้องขัดขวางในการที่สามีโจทก์ดำเนินการขอประทานบัตร จำเลยฎีกา ในระหว่างฎีกาสามีโจทก์ตาย ศาลฎีกาเห็นว่า สิทธิจะยื่นคำขอในการทำเหมืองเป็นสิทธิเฉพาะตัวบุคคล คดีย่อมระงับไปด้วยความมรณะของสามีโจทก์ จึงให้จำหน่ายคดี คดีนั้นย่อมถึงที่สุดเด็ดขาด ตั้งแต่วันที่ศาลฎีกาสั่งจำหน่ายตามมาตรา147 วรรคสองประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งผลแห่งคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ย่อมผูกพันแก่คู่ความในคดีนั้นเท่านั้นตามมาตรา 145
โจทก์มาฟ้องคดีนี้โดยอ้างว่าได้รับอนุมัติ การขอรับประทานบัตรทำเหมืองแร่รายเดียวกันนี้แล้ว จำเลยมาขัดขวางสิทธิของโจทก์เช่นเดียวกับคดีก่อน จึงเป็นเรื่องสิทธิโดยเฉพาะตัวของโจทก์อีกต่างหาก เป็นคดีคนละเรื่องกับคดีที่นายซิ่มจั่นสามีโจทก์ฟ้องร้อง ข้อเท็จจริงที่ศาลอุทธรณ์ชี้ขาดไว้ในคดีก่อน จึงไม่ปิดปากจำเลยในคดีเรื่องนี้
โดยที่สิทธิขอประทานบัตรทำเหมืองแร่เป็นสิทธิเฉพาะตัว แม้ข้อเท็จจริงจะปรากฏว่าคณะรัฐมนตรีอนุมัติให้โจทก์เข้าสวมสิทธิยื่นขอประทานบัตรแทนนายซิ่มจั่นผู้สามีได้เป็นกรณีพิเศษ แม้จะทำได้ก็ต้องหมายความได้แต่เพียงว่าให้ถือว่าโจทก์ตั้งต้นสิทธิของโจทก์ในการขอประทานบัตรได้ตั้งแต่วันที่นายซิ่มจั่นได้ลงมือกระทำการในเรื่องนี้มาเท่านั้น จะหมายความถึงกับว่าเป็นคำสั่งให้โจทก์รับมรดกสิทธิของนายซิ่มจั่นหาได้ไม่
คดีฎีกาคำสั่งตามมาตรา 228 ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งเสียค่าขึ้นศาล 20 บาทเท่านั้น
สามีโจทก์ได้ฟ้องจำเลยหาว่าขัดขวางคัดค้านในการที่สามีโจทก์ขอประทานบัตรทำเหมืองแร่ ในเขตที่สามีโจทก์ได้ขออาชญาบัตรผูกขาดตรวจแร่ไว้แล้ว ศาลอุทธรณ์ได้พิพากษาว่าเป็นที่สาธารณสมบัติของแผ่นดิน จำเลยไม่มีสิทธิจะถืออำนาจเป็นเจ้าของได้ ห้ามไม่ให้จำเลย เข้าไปเกี่ยวข้องขัดขวางในการที่สามีโจทก์ดำเนินการขอประทานบัตร จำเลยฎีกา ในระหว่างฎีกาสามีโจทก์ตาย ศาลฎีกาเห็นว่า สิทธิจะยื่นคำขอในการทำเหมืองเป็นสิทธิเฉพาะตัวบุคคล คดีย่อมระงับไปด้วยความมรณะของสามีโจทก์ จึงให้จำหน่ายคดี คดีนั้นย่อมถึงที่สุดเด็ดขาด ตั้งแต่วันที่ศาลฎีกาสั่งจำหน่ายตามมาตรา147 วรรคสองประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งผลแห่งคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ย่อมผูกพันแก่คู่ความในคดีนั้นเท่านั้นตามมาตรา 145
โจทก์มาฟ้องคดีนี้โดยอ้างว่าได้รับอนุมัติ การขอรับประทานบัตรทำเหมืองแร่รายเดียวกันนี้แล้ว จำเลยมาขัดขวางสิทธิของโจทก์เช่นเดียวกับคดีก่อน จึงเป็นเรื่องสิทธิโดยเฉพาะตัวของโจทก์อีกต่างหาก เป็นคดีคนละเรื่องกับคดีที่นายซิ่มจั่นสามีโจทก์ฟ้องร้อง ข้อเท็จจริงที่ศาลอุทธรณ์ชี้ขาดไว้ในคดีก่อน จึงไม่ปิดปากจำเลยในคดีเรื่องนี้
โดยที่สิทธิขอประทานบัตรทำเหมืองแร่เป็นสิทธิเฉพาะตัว แม้ข้อเท็จจริงจะปรากฏว่าคณะรัฐมนตรีอนุมัติให้โจทก์เข้าสวมสิทธิยื่นขอประทานบัตรแทนนายซิ่มจั่นผู้สามีได้เป็นกรณีพิเศษ แม้จะทำได้ก็ต้องหมายความได้แต่เพียงว่าให้ถือว่าโจทก์ตั้งต้นสิทธิของโจทก์ในการขอประทานบัตรได้ตั้งแต่วันที่นายซิ่มจั่นได้ลงมือกระทำการในเรื่องนี้มาเท่านั้น จะหมายความถึงกับว่าเป็นคำสั่งให้โจทก์รับมรดกสิทธิของนายซิ่มจั่นหาได้ไม่
คดีฎีกาคำสั่งตามมาตรา 228 ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งเสียค่าขึ้นศาล 20 บาทเท่านั้น
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 76/2492 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
สิทธิประทานบัตรเป็นสิทธิเฉพาะตัว การรวมสิทธิมรดกไม่ผูกพันจำเลยในการฟ้องร้องใหม่
สิทธิที่จะยื่นคำขอประทานบัตรทำเหมืองแร่ ย่อมเป็นสิทธิฉะเพาะตัว
สามีโจทก์ได้ฟ้องจำเลยหาว่าขัดขวางคัดค้านในการที่สามีโจทก์ขอประทานบัตรทำเหมืองแร่ ในเขตต์ที่สามีโจทก์ได้ขออาชญาบัตรผูกขาดตรวจแร่ไว้แล้ว ศาลอุทธรณ์ได้พิพากษาว่า เป็นที่สาธารณะสมบัติของแผ่นดิน จำเลยไม่มีสิทธิจะถืออำนาจเป็นเจ้าของได้ ห้ามไม่ให้จำเลย เข้าไปเกี่ยวข้องขัดขวางในการที่สามีโจทก์ดำเนินการขอประทานบัตร จำเลยฎีกา ในระหว่างฎีกาสามีโจทก์ตาย ศาลฎีกาเห็นว่า สิทธิจะยื่นคำขอในการทำเหมืองเป็นสิทธิฉะเพาะตัวบุคคล คดีย่อมระงับไปด้วยความมรณะของสามีโจทก์ จึงให้จำหน่ายคดี คดีนั้นย่อมถึงที่สุดเด็ดขาด ตั้งแต่วันที่ศาลฎีกาสั่งจำหน่ายตามมาตรา 147 วรรค 2 ป.ม.วิ.แพ่ง ผลแห่งคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ย่อมผูกพันแก่คู่ความในคดีนั้นเท่านั้นตามมาตรา 145
โจทก์มาฟ้องคดีนี้ โดยอ้างว่าได้รับอนุมัติ การขอรับประทานบัตรทำเหมืองแร่รายเดียวกันนี้แล้วจำเลยมาขัดขวางสิทธิของโจทก์สิทธิโดยฉะเพาะตัวของโจทก์อีกต่างหาก เป็นคดีคนละเรื่องกับคดีที่นายซิ่มจั่นสามีโจทก์ฟ้องร้อง ข้อเท็จจริงที่ศาลอุทธรณ์ชี้ขาดไว้ในคดีก่อน จึงไม่ปิดปากจำเลยในคดีเรื่องนี้
โดยที่สิทธิขอประทานบัตรทำเหมืองแร่เป็นสิทธิฉะเพาะตัว แม้ข้อเท็จจริงจะปรากฎว่าคณะรัฐมนตรีอนุมัติให้โจทก์เข้าสรวมสิทธิยื่นขอประทานบัตร แทนนายซิ่มจั่นผู้สามีได้เป็นกรณีย์พิเศษ แม้จะทำได้ก็ต้องหมายความได้แต่เพียงว่าให้ถือว่าโจทก์ตั้งต้นสิทธิของโจทก์ในการขอประทานบัตรได้ตั้งแต่วันที่นายซิ่มจั่นได้ลงมือกระทำการในเรื่องนี้มาเท่านั้น จะหมายความถึงกับว่าเป็นคำสั่งให้โจทก์รับมฤดกสิทธิของนายซิ่มจั่นหาได้ไม่.
คดีฎีกาคำสั่งตามมาตรา 228 ป.ม.วิ.แพ่ง เสียค่าขึ้นศาล 20 บาทเท่านั้น.
สามีโจทก์ได้ฟ้องจำเลยหาว่าขัดขวางคัดค้านในการที่สามีโจทก์ขอประทานบัตรทำเหมืองแร่ ในเขตต์ที่สามีโจทก์ได้ขออาชญาบัตรผูกขาดตรวจแร่ไว้แล้ว ศาลอุทธรณ์ได้พิพากษาว่า เป็นที่สาธารณะสมบัติของแผ่นดิน จำเลยไม่มีสิทธิจะถืออำนาจเป็นเจ้าของได้ ห้ามไม่ให้จำเลย เข้าไปเกี่ยวข้องขัดขวางในการที่สามีโจทก์ดำเนินการขอประทานบัตร จำเลยฎีกา ในระหว่างฎีกาสามีโจทก์ตาย ศาลฎีกาเห็นว่า สิทธิจะยื่นคำขอในการทำเหมืองเป็นสิทธิฉะเพาะตัวบุคคล คดีย่อมระงับไปด้วยความมรณะของสามีโจทก์ จึงให้จำหน่ายคดี คดีนั้นย่อมถึงที่สุดเด็ดขาด ตั้งแต่วันที่ศาลฎีกาสั่งจำหน่ายตามมาตรา 147 วรรค 2 ป.ม.วิ.แพ่ง ผลแห่งคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ย่อมผูกพันแก่คู่ความในคดีนั้นเท่านั้นตามมาตรา 145
โจทก์มาฟ้องคดีนี้ โดยอ้างว่าได้รับอนุมัติ การขอรับประทานบัตรทำเหมืองแร่รายเดียวกันนี้แล้วจำเลยมาขัดขวางสิทธิของโจทก์สิทธิโดยฉะเพาะตัวของโจทก์อีกต่างหาก เป็นคดีคนละเรื่องกับคดีที่นายซิ่มจั่นสามีโจทก์ฟ้องร้อง ข้อเท็จจริงที่ศาลอุทธรณ์ชี้ขาดไว้ในคดีก่อน จึงไม่ปิดปากจำเลยในคดีเรื่องนี้
โดยที่สิทธิขอประทานบัตรทำเหมืองแร่เป็นสิทธิฉะเพาะตัว แม้ข้อเท็จจริงจะปรากฎว่าคณะรัฐมนตรีอนุมัติให้โจทก์เข้าสรวมสิทธิยื่นขอประทานบัตร แทนนายซิ่มจั่นผู้สามีได้เป็นกรณีย์พิเศษ แม้จะทำได้ก็ต้องหมายความได้แต่เพียงว่าให้ถือว่าโจทก์ตั้งต้นสิทธิของโจทก์ในการขอประทานบัตรได้ตั้งแต่วันที่นายซิ่มจั่นได้ลงมือกระทำการในเรื่องนี้มาเท่านั้น จะหมายความถึงกับว่าเป็นคำสั่งให้โจทก์รับมฤดกสิทธิของนายซิ่มจั่นหาได้ไม่.
คดีฎีกาคำสั่งตามมาตรา 228 ป.ม.วิ.แพ่ง เสียค่าขึ้นศาล 20 บาทเท่านั้น.
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 995/2491
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
นิติบุคคลสุขาภิบาล: สิทธิจำกัดตามวัตถุประสงค์กฎหมาย และกรรมสิทธิ์ในที่ดิน
นิติบุคคล หาจำต้องจำกัดว่าอยู่ใน 6 จำพวกดังที่กล่าวไว้ใน มาตรา 72 ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ไม่ มาตรา 68ได้บัญญัติไว้เป็นทำนองว่านิติบุคคลจะมีขึ้นได้ไม่เฉพาะแต่ต้องอาศัยอำนาจแห่งบทบัญญัติของประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์อย่างเดียว อาจอาศัยอำนาจกฎหมายอื่นก็ได้
สุขาภิบาลหัวเมืองจะเป็นนิติบุคคลหรือไม่ ต้องพิเคราะห์ดูพระราชบัญญัติจัดการตั้งสุขาภิบาลตามหัวเมือง ร.ศ.127
เมื่อพิจารณาบทบัญญัติแห่งมาตรา 4,8,9,10,11 แห่งพระราชบัญญัติจัดการตั้งสุขาภิบาลตามหัวเมือง ร.ศ.127 แล้วพึงเห็นได้ว่าเงินภาษีโรงร้านที่พระราชทานให้เก็บใช้ในการตั้งสุขาภิบาลนั้นก็ดี หรือว่าเงินผลประโยชน์อย่างอื่นที่จะพระราชทานพระบรมราชานุญาตให้ใช้เฉพาะในการสุขาภิบาลนั้นก็ดี สุขาภิบาลมีกรรมสิทธิ์ในเงินเหล่านั้นได้เช่นบุคคลในกฎหมายซึ่งอาจจะถือได้ว่าสุขาภิบาลเป็นนิติบุคคลเพื่อการมีสิทธิในเงินดังกล่าวแล้ว
มาตรา 69 ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์บัญญัติว่านิติบุคคลย่อมมีสิทธิ์และหน้าที่ต่างๆ ตามบทบัญญัติทั้งปวงแห่งกฎหมายภายในขอบวัตถุประสงค์ของตนดังมีกำหนดไว้ในข้อบังคับหรือตราสารจัดตั้งดังนี้ เมื่อพระราชบัญญัติจัดการสุขาภิบาลอันเป็นตราสารจัดตั้งสุขาภิบาลได้กำหนดให้สุขาภิบาลมีสิทธิแต่เพียงที่เกี่ยวกับเงินที่จะพระราชทานให้เท่านั้น สุขาภิบาลนั้นหามีสิทธิแสวงหาประโยชน์ในทางอื่นเช่นบุคคลธรรมดาไม่
ที่ดินที่พิพาทในคดีนี้ แม้จะถือว่าเป็นที่รกร้างว่างเปล่า สุขาภิบาลก็ไม่มีสิทธิจะเข้าจับจองถือเอาเพื่อกรรมสิทธิ์แก่สุขาภิบาลโดยเฉพาะ เพราะอยู่นอกวัตถุประสงค์ของตราสารจัดตั้งสุขาภิบาล
คำพิพากษาซึ่งในที่สุดจะต้องเป็นเรื่องชี้กรรมสิทธิ์ในทรัพย์สินนั้น ย่อมใช้ผูกพันประชาชนได้ทั่วไป จึงเป็นข้อที่เกี่ยวกับความสงบเรียบร้อยและศีลธรรมอันดีของประชาชน เมื่อสุขาภิบาลไม่มีสิทธิอย่างนิติบุคคลในอันที่จะจับจองหรือถือเอาที่ดินที่ไม่มีผู้ครอบครองเพื่อกรรมสิทธิ์เฉพาะตนในอันที่จะแสวงผลกำไรสู่ตนโดยไม่ใช่การต่างๆ ที่พระราชบัญญัติจัดการสุขาภิบาลมอบหน้าที่ให้ไว้ ศาลย่อมจะพิพากษาให้เกิดผลในที่ดินนั้นเป็นกรรมสิทธิ์ของสุขาภิบาลไม่ได้
สุขาภิบาลหัวเมืองจะเป็นนิติบุคคลหรือไม่ ต้องพิเคราะห์ดูพระราชบัญญัติจัดการตั้งสุขาภิบาลตามหัวเมือง ร.ศ.127
เมื่อพิจารณาบทบัญญัติแห่งมาตรา 4,8,9,10,11 แห่งพระราชบัญญัติจัดการตั้งสุขาภิบาลตามหัวเมือง ร.ศ.127 แล้วพึงเห็นได้ว่าเงินภาษีโรงร้านที่พระราชทานให้เก็บใช้ในการตั้งสุขาภิบาลนั้นก็ดี หรือว่าเงินผลประโยชน์อย่างอื่นที่จะพระราชทานพระบรมราชานุญาตให้ใช้เฉพาะในการสุขาภิบาลนั้นก็ดี สุขาภิบาลมีกรรมสิทธิ์ในเงินเหล่านั้นได้เช่นบุคคลในกฎหมายซึ่งอาจจะถือได้ว่าสุขาภิบาลเป็นนิติบุคคลเพื่อการมีสิทธิในเงินดังกล่าวแล้ว
มาตรา 69 ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์บัญญัติว่านิติบุคคลย่อมมีสิทธิ์และหน้าที่ต่างๆ ตามบทบัญญัติทั้งปวงแห่งกฎหมายภายในขอบวัตถุประสงค์ของตนดังมีกำหนดไว้ในข้อบังคับหรือตราสารจัดตั้งดังนี้ เมื่อพระราชบัญญัติจัดการสุขาภิบาลอันเป็นตราสารจัดตั้งสุขาภิบาลได้กำหนดให้สุขาภิบาลมีสิทธิแต่เพียงที่เกี่ยวกับเงินที่จะพระราชทานให้เท่านั้น สุขาภิบาลนั้นหามีสิทธิแสวงหาประโยชน์ในทางอื่นเช่นบุคคลธรรมดาไม่
ที่ดินที่พิพาทในคดีนี้ แม้จะถือว่าเป็นที่รกร้างว่างเปล่า สุขาภิบาลก็ไม่มีสิทธิจะเข้าจับจองถือเอาเพื่อกรรมสิทธิ์แก่สุขาภิบาลโดยเฉพาะ เพราะอยู่นอกวัตถุประสงค์ของตราสารจัดตั้งสุขาภิบาล
คำพิพากษาซึ่งในที่สุดจะต้องเป็นเรื่องชี้กรรมสิทธิ์ในทรัพย์สินนั้น ย่อมใช้ผูกพันประชาชนได้ทั่วไป จึงเป็นข้อที่เกี่ยวกับความสงบเรียบร้อยและศีลธรรมอันดีของประชาชน เมื่อสุขาภิบาลไม่มีสิทธิอย่างนิติบุคคลในอันที่จะจับจองหรือถือเอาที่ดินที่ไม่มีผู้ครอบครองเพื่อกรรมสิทธิ์เฉพาะตนในอันที่จะแสวงผลกำไรสู่ตนโดยไม่ใช่การต่างๆ ที่พระราชบัญญัติจัดการสุขาภิบาลมอบหน้าที่ให้ไว้ ศาลย่อมจะพิพากษาให้เกิดผลในที่ดินนั้นเป็นกรรมสิทธิ์ของสุขาภิบาลไม่ได้
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 995/2491 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
นิติบุคคลสุขาภิบาลมีสิทธิในทรัพย์สินจำกัดตามวัตถุประสงค์ของกฎหมายจัดตั้งเท่านั้น
นิติบุคคล หาจำต้องจำกัดว่าอยู่ใน 6 จำพวกดังที่กล่าวไว้ใน ม.72 ป.ม.แพ่ง ฯ ไม่ มาตรา 68 ได้บัญญัติไว้เป็นทำนองว่า นิติบุคคลจะมีขึ้นได้ไม่ฉะเพาะแต่ต้องอาศัยอำนาจแห่งบทบัญญัติของ ป.ม.แพ่ง ฯ อย่างเดียว อาจอาศัยอำนาจกฎหมายอื่นก็ได้
สุขาภิบาลหัวเมืองจะเป็นนิติบุคคลหรือไม่ ต้องพิเคราะห์ดู พ.ร.บ.จัดการตั้งสุขาภิบาลตามหัวเมือง ร.ศ. 127.
เมื่อพิจารณาบทบัญญัติแห่งมาตรา 4, 8, 9, 10, 11 แห่ง พ.ร.บ.จัดการตั้งสุขาภิบาลตามหัวเมือง ร.ศ. 127 แล้ว พึงเห็นได้ว่า เงินภาษีโรงร้านที่พระราชทานให้เก็บใช้ในการตั้งสุขาภิบาลนั้นก็ดี หรือว่าเงินผลประโยชน์อย่างอื่นที่จะพระราชทานพระบรมราชานุญาตให้ใช้ฉะเพาะในการสุขาภิบาลนั้นก็ดี สุขาภิบาลมีกรรมสิทธิในเงินเหล่านั้นได้เช่นบุคคลในกฎหมาย ซึ่งอาจจะถือได้ว่าสุขาภิบาลเป็นนิติบุคคลเพื่อการมีสิทธิในเงินดังกล่าวแล้ว
มาตรา 69 ป.ม.แพ่ง ฯ บัญญัติว่านิติบุคคลย่อมมีสิทธิ์และหน้าที่ต่าง ๆ ตามบทบัญญัติทั้งปวงแห่งกฎหมาย ในขอบวัตถุประสงค์ของตน ดังมีกำหนดไว้ในข้อบังคับหรือตราสารจัดตั้ง ดังนี้เมื่อพระราชบัญญัติจัดการสุขาภิบาลอันเป็นตราสารจัดตั้งสุขาภิบาลได้กำหนดให้สุขาภิบาลมีสิทธิแต่เพียงที่จะเกี่ยวกับเงินที่จะพระราชทานให้เท่านั้น สุขาภิบาลนั้นหามีสิทธิแสวงหาประโยชน์ในทางอื่น เช่น บุคคลธรรมดาไม่
ในดินที่พิพากในคดีนี้ แม้จะถือว่าเป็นที่รกร้างว่างเปล่า สุขาภิบาลก็ไม่มีสิทธิจะเข้าจับจองถือเอา เพื่อกรรมสิทธิ์แก่สุขาภิบาล โดยฉะเพาะเพราอยู่นอกวัตถุประสงค์ของตราสารจัดตั้งสุขาภิบาล
คำพิพากษาวึ่งในที่สุดจะต้องเป็นเรื่องชี้กรรมสิทธิ์ในทรัพย์สินนั้น ย่อมใช้ผูกพันประชาชนได้ทั่วไป จึงเป็นข้อที่เกี่ยวกับความสงบเรียกร้อยและศีลธรรมอันดีของประชาชน เมื่อสุขาภิบาลไม่มีสิทธิอย่างนิติบุคคล ในอันที่จะจับจองหรือถือเอาที่ดินที่ไม่มีผู้ปกครอง เพื่อกรรมสิทธิฉะเพาะตนในอันที่จะแสวงผลกำไรสู่ตนโดยไม่ใช่การต่าง ๆ ที่ พ.ร.บ.จัดการตั้งสุขาภิบาลตามหัวเมือง มอบหน้าที่ไว้ ศาลย่อมจะพิพากษาให้เกิดผลในที่ดินนั้นเป็นกรราสิทธิของสุขภิบาลไม่ได้
สุขาภิบาลหัวเมืองจะเป็นนิติบุคคลหรือไม่ ต้องพิเคราะห์ดู พ.ร.บ.จัดการตั้งสุขาภิบาลตามหัวเมือง ร.ศ. 127.
เมื่อพิจารณาบทบัญญัติแห่งมาตรา 4, 8, 9, 10, 11 แห่ง พ.ร.บ.จัดการตั้งสุขาภิบาลตามหัวเมือง ร.ศ. 127 แล้ว พึงเห็นได้ว่า เงินภาษีโรงร้านที่พระราชทานให้เก็บใช้ในการตั้งสุขาภิบาลนั้นก็ดี หรือว่าเงินผลประโยชน์อย่างอื่นที่จะพระราชทานพระบรมราชานุญาตให้ใช้ฉะเพาะในการสุขาภิบาลนั้นก็ดี สุขาภิบาลมีกรรมสิทธิในเงินเหล่านั้นได้เช่นบุคคลในกฎหมาย ซึ่งอาจจะถือได้ว่าสุขาภิบาลเป็นนิติบุคคลเพื่อการมีสิทธิในเงินดังกล่าวแล้ว
มาตรา 69 ป.ม.แพ่ง ฯ บัญญัติว่านิติบุคคลย่อมมีสิทธิ์และหน้าที่ต่าง ๆ ตามบทบัญญัติทั้งปวงแห่งกฎหมาย ในขอบวัตถุประสงค์ของตน ดังมีกำหนดไว้ในข้อบังคับหรือตราสารจัดตั้ง ดังนี้เมื่อพระราชบัญญัติจัดการสุขาภิบาลอันเป็นตราสารจัดตั้งสุขาภิบาลได้กำหนดให้สุขาภิบาลมีสิทธิแต่เพียงที่จะเกี่ยวกับเงินที่จะพระราชทานให้เท่านั้น สุขาภิบาลนั้นหามีสิทธิแสวงหาประโยชน์ในทางอื่น เช่น บุคคลธรรมดาไม่
ในดินที่พิพากในคดีนี้ แม้จะถือว่าเป็นที่รกร้างว่างเปล่า สุขาภิบาลก็ไม่มีสิทธิจะเข้าจับจองถือเอา เพื่อกรรมสิทธิ์แก่สุขาภิบาล โดยฉะเพาะเพราอยู่นอกวัตถุประสงค์ของตราสารจัดตั้งสุขาภิบาล
คำพิพากษาวึ่งในที่สุดจะต้องเป็นเรื่องชี้กรรมสิทธิ์ในทรัพย์สินนั้น ย่อมใช้ผูกพันประชาชนได้ทั่วไป จึงเป็นข้อที่เกี่ยวกับความสงบเรียกร้อยและศีลธรรมอันดีของประชาชน เมื่อสุขาภิบาลไม่มีสิทธิอย่างนิติบุคคล ในอันที่จะจับจองหรือถือเอาที่ดินที่ไม่มีผู้ปกครอง เพื่อกรรมสิทธิฉะเพาะตนในอันที่จะแสวงผลกำไรสู่ตนโดยไม่ใช่การต่าง ๆ ที่ พ.ร.บ.จัดการตั้งสุขาภิบาลตามหัวเมือง มอบหน้าที่ไว้ ศาลย่อมจะพิพากษาให้เกิดผลในที่ดินนั้นเป็นกรราสิทธิของสุขภิบาลไม่ได้
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 145/2491
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
สัญญาค้ำประกันต่อศาล: สิทธิเรียกร้องและการบังคับคดี
ผู้เข้าทำสัญญาค้ำประกันไว้ต่อศาล ยอมรับผิดใช้เงินให้แก่โจทก์ตามคำพิพากษาหากบังคับจากจำเลยไม่ได้ ทั้งนี้เพื่อให้ศาลทุเลาการบังคับคดีตามคำพิพากษาศาลชั้นต้นไว้ในระหว่างอุทธรณ์นั้น เมื่อศาลอุทธรณ์พิพากษาให้จำเลยแพ้คดี ศาลย่อมมีอำนาจออกคำบังคับให้ผู้ค้ำประกันปฏิบัติการชำระหนี้ตามคำพิพากษาได้ ผู้ค้ำประกันจะเถียงว่าโจทก์มิได้บังคับชำระหนี้เสียภายในหนึ่งปีนับแต่วันจำเลยตายและจะนำประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1754 มาใช้แก่กรณีนี้ก็ไม่ได้ เพราะโจทก์มิใช่คู่สัญญากับผู้ค้ำประกัน แต่เป็นเรื่องระหว่างผู้ค้ำประกันกับศาล
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 742-743/2489 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ผลของมรณกรรมของจำเลยหลังศาลพิพากษา: คำพิพากษายังสมบูรณ์
ข้อเท็จจริงที่ว่า จำเลยตายเสียก่อนที่ศาลพิพากษานั้น เมื่อไม่มีฝ่ายใดกล่าวอ้างขึ้นมา จะถือว่าศาลได้รู้ข้อเท็จจริงนี้แล้วไม่ได้
จำเลยตายก่อนศาลพิพากษาแต่ความปรากฎต่อศาลภายหลังศาลพิพากษาแล้วนั้นคำพิพากษานั้นก็คงสมบูรณ์
ในคดีแพ่งเมื่อปรากฏต่อศาลว่า คู่ความฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งตายเป็นอำนาจของศาลชั้นต้นดำเนินคดีหาทายาทเข้ารับมฤดกความ
จำเลยตายก่อนศาลพิพากษาแต่ความปรากฎต่อศาลภายหลังศาลพิพากษาแล้วนั้นคำพิพากษานั้นก็คงสมบูรณ์
ในคดีแพ่งเมื่อปรากฏต่อศาลว่า คู่ความฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งตายเป็นอำนาจของศาลชั้นต้นดำเนินคดีหาทายาทเข้ารับมฤดกความ
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 742-743/2489
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ผลของความตายของจำเลยหลังศาลพิพากษา: คำพิพากษายังสมบูรณ์และดำเนินการกับทายาทได้
ข้อเท็จจริงที่ว่า จำเลยตายเสียก่อนที่ศาลพิพากษานั้นเมื่อไม่มีฝ่ายใดกล่าวอ้างขึ้นมา จะถือว่าศาลได้รู้ข้อเท็จจริงนี้แล้วไม่ได้
จำเลยตายก่อนศาลพิพากษาแต่ความปรากฏต่อศาลภายหลังศาลพิพากษาแล้วนั้น คำพิพากษานั้นก็คงสมบูรณ์
ในคดีแพ่งเมื่อปรากฏต่อศาลว่า คู่ความฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งตายเป็นอำนาจของศาลชั้นต้นดำเนินคดีหาทายาทเข้ารับมรดกความ
จำเลยตายก่อนศาลพิพากษาแต่ความปรากฏต่อศาลภายหลังศาลพิพากษาแล้วนั้น คำพิพากษานั้นก็คงสมบูรณ์
ในคดีแพ่งเมื่อปรากฏต่อศาลว่า คู่ความฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งตายเป็นอำนาจของศาลชั้นต้นดำเนินคดีหาทายาทเข้ารับมรดกความ