คำพิพากษาที่เกี่ยวข้องกับกฎหมาย
ป.วิ.พ. ม. 145

พบผลลัพธ์ทั้งหมด 1,236 รายการ

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1036/2540

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ สิทธิของผู้จัดการมรดกในการพิสูจน์สิทธิในที่ดินที่ถูกอ้างโดยการครอบครองปรปักษ์และการบังคับคดีขับไล่
เดิมที่ดินโฉนดพิพาทมีชื่อพ. เป็นเจ้าของร่วมกับฟ.มารดาจำเลยพ. เป็นมารดาของท. บิดาโจทก์พ. และท.ถึงแก่ความตายแต่โฉนดพิพาทยังมีชื่อพ. ถือกรรมสิทธิ์รวมอยู่ศาลชั้นต้นมีคำสั่งตั้งโจทก์เป็นผู้จัดการมรดกของเจ้ามรดกของพ.และท. เมื่อพ. ถึงแก่ความตายป. บิดาจำเลยรับโอนมรดกที่ดินส่วนของนางฟ. แล้วป. ขายฝากที่ดินเฉพาะส่วนของตนจนหลุดเป็นกรรมสิทธิ์ของส. ต่อมาจำเลยซื้อที่ดินเฉพาะส่วนดังกล่าวคืนจากส.แล้วโอนขายให้แก่ศ. หลังจากนั้นจำเลยได้ยื่นคำร้องขออ้างว่าพ. ยกที่ดินส่วนของพ. ให้จำเลยและจำเลยได้กรรมสิทธิ์ในที่ดินพิพาทโดยการครอบครองปรปักษ์และศาลชั้นต้นมีคำสั่งว่าที่ดินพิพาทตกเป็นกรรมสิทธิ์ของจำเลยและคดีถึงที่สุดโดยที่พ. ไม่ได้ยกที่ดินพิพาทเฉพาะส่วนของตนให้แก่จำเลยดังนี้โจทก์ในฐานะผู้จัดการมรดกและทายาทคนหนึ่งของพ. ซึ่งมิใช่คู่ความในกระบวนพิจารณาของศาลชั้นต้นที่มีคำสั่งแสดงกรรมสิทธิ์ของจำเลยในที่ดินพิพาทส่วนของพ.โจทก์จึงเป็นบุคคลภายนอกซึ่งสามารถพิสูจน์ได้ว่าตนมีสิทธิดีกว่าจำเลยตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา145วรรคสอง(2)เมื่อพ. ไม่ได้ยกที่ดินพิพาทเฉพาะส่วนของตนให้แก่จำเลยดังนั้นที่ดินพิพาทจึงยังเป็นกรรมสิทธิ์ของโจทก์คำสั่งของศาลชั้นต้นดังกล่าวจึงไม่ผูกพันโจทก์ ตามคำฟ้องโจทก์บรรยายว่าพ. เจ้ามรดกไม่ได้ยกกรรมสิทธิ์ที่ดินเฉพาะส่วนของตนให้จำเลยพร้อมกับมีคำขอท้ายคำฟ้องขอให้พิพากษาว่าคำสั่งของศาลชั้นต้นที่แสดงกรรมสิทธิ์ของจำเลยในที่ดินพิพาทเฉพาะส่วนของพ. ไม่ผูกพันโจทก์จึงเท่ากับขอให้จำเลยคืนที่ดินพิพาทเฉพาะส่วนของพ. ให้แก่โจทก์และโจทก์ได้ยื่นคำร้องขอแก้ไขเพิ่มเติมฟ้องในส่วนคำขอท้ายฟ้องขอให้ขับไล่จำเลยและบริวารพร้อมกับให้รื้อถอนสิ่งปลูกสร้างออกไปจากที่ดินซึ่งศาลชั้นต้นได้มีคำสั่งอนุญาตให้โจทก์เพิ่มเติมคำฟ้องดังกล่าวโดยจำเลยไม่ได้คัดค้านเมื่อคำฟ้องเดิมและคำร้องขอเพิ่มเติมคำฟ้องภายหลังนั้นเกี่ยวข้องกันศาลอุทธรณ์ชอบที่จะพิพากษาให้ขับไล่จำเลยได้ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา142(1)

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1036/2540 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ สิทธิของบุคคลภายนอกผู้มีสิทธิดีกว่าในการพิสูจน์สิทธิในที่ดิน และคำพิพากษาขับไล่ที่ชอบด้วยกฎหมาย
เดิมที่ดินโฉนดพิพาทมีชื่อ พ.เป็นเจ้าของร่วมกับฟ.มารดาจำเลย พ.เป็นมารดาของท.บิดาโจทก์พ.และท.ถึงแก่ความตายแต่โฉนดพิพาทยังมีชื่อ พ. ถือกรรมสิทธิ์รวมอยู่ศาลชั้นต้นมีคำสั่งตั้งโจทก์เป็นผู้จัดการมรดกของเจ้ามรดกของ พ.และท.เมื่อพ. ถึงแก่ความตาย ป. บิดาจำเลยรับโอนมรดกที่ดินส่วนของนางฟ. แล้ว ป. ขายฝากที่ดินเฉพาะส่วนของตนจนหลุดเป็นกรรมสิทธิ์ของ ส. ต่อมาจำเลยซื้อที่ดินเฉพาะส่วนดังกล่าวคืนจาก ส.แล้วโอนขายให้แก่ศ. หลังจากนั้นจำเลยได้ยื่นคำร้องขออ้างว่า พ.ยกที่ดินส่วนของพ. ให้จำเลยและจำเลยได้กรรมสิทธิ์ในที่ดินพิพาทโดยการครอบครองปรปักษ์และศาลชั้นต้นมีคำสั่งว่าที่ดินพิพาทตกเป็นกรรมสิทธิ์ของจำเลยและคดีถึงที่สุดโดยที่ พ. ไม่ได้ยกที่ดินพิพาทเฉพาะส่วนของตนให้แก่จำเลยดังนี้ โจทก์ในฐานะผู้จัดการมรดกและทายาทคนหนึ่งของ พ. ซึ่งมิใช่คู่ความในกระบวนพิจารณาของศาลชั้นต้นที่มีคำสั่งแสดงกรรมสิทธิ์ของจำเลยในที่ดินพิพาทส่วนของ พ.โจทก์จึงเป็นบุคคลภายนอกซึ่งสามารถพิสูจน์ได้ว่าตนมีสิทธิดีกว่าจำเลยตาม ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 145 วรรคสอง(2)เมื่อ พ. ไม่ได้ยกที่ดินพิพาทเฉพาะส่วนของตนให้แก่จำเลย ดังนั้นที่ดินพิพาทจึงยังเป็นกรรมสิทธิ์ของโจทก์ คำสั่งของศาลชั้นต้นดังกล่าวจึงไม่ผูกพันโจทก์ ตามคำฟ้องโจทก์บรรยายว่า พ. เจ้ามรดกไม่ได้ยกกรรมสิทธิ์ที่ดินเฉพาะส่วนของตนให้จำเลยพร้อมกับมีคำขอท้ายคำฟ้องขอให้พิพากษาว่าคำสั่งของศาลชั้นต้นที่แสดงกรรมสิทธิ์ของจำเลยในที่ดินพิพาทเฉพาะส่วนของ พ. ไม่ผูกพันโจทก์จึงเท่ากับขอให้จำเลยคืนที่ดินพิพาทเฉพาะส่วนของ พ. ให้แก่โจทก์ และโจทก์ได้ยื่นคำร้องขอแก้ไขเพิ่มเติมฟ้องในส่วนคำขอท้ายฟ้องขอให้ขับไล่จำเลยและบริวารพร้อมกับให้รื้อถอนสิ่งปลูกสร้างออกไปจากที่ดินซึ่งศาลชั้นต้นได้มีคำสั่งอนุญาตให้โจทก์เพิ่มเติมคำฟ้องดังกล่าวโดยจำเลยไม่ได้คัดค้าน เมื่อคำฟ้องเดิมและคำร้องขอเพิ่มเติมคำฟ้องภายหลังนั้นเกี่ยวข้องกัน ศาลอุทธรณ์ชอบที่จะพิพากษาให้ขับไล่จำเลยได้ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 142(1)

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 896/2540

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การรื้อฟ้องซ้ำหลังศาลฎีกามีคำพิพากษาถึงที่สุดแล้ว ถือเป็นการขัดแย้งกับคำพิพากษาเดิม
ตามคำร้องของโจทก์เป็นกรณีที่โจทก์ยืนยันตามคำร้องเดิมโดยอ้างเหตุว่าโจทก์มิได้มีเจตนาขาดนัดพิจารณาขอให้ศาลชั้นต้นทำการไต่สวนเหตุแห่งการมาศาลล่าช้าของโจทก์ซึ่งคำร้องเดิมของโจทก์ก็อ้างเหตุว่าโจทก์มิได้จงใจไม่ไปศาลตามนัดขอให้มีคำสั่งไต่สวนและเพิกถอนคำสั่งจำหน่ายคดีและให้ดำเนินการพิจารณาคดีต่อไปศาลชั้นต้นมีคำสั่งในคำร้องเดิมของโจทก์ว่า"ศาลไม่เคยมีคำสั่งจำหน่ายคดีโดยอ้างว่าโจทก์ทิ้งฟ้องให้โจทก์ตรวจสอบคำสั่งศาลให้ดีก่อนค่อยมายื่นคำร้องใหม่ค่าคำร้องเป็นพับ"โจทก์อุทธรณ์และฎีกาต่อมาศาลฎีกาวินิจฉัยว่าโจทก์อุทธรณ์ว่าโจทก์มาศาลล่าช้าเพราะเหตุสุดวิสัยขอให้ศาลอุทธรณ์ยกคำสั่งศาลชั้นต้นที่สั่งจำหน่ายคดีโจทก์และให้ไต่สวนเหตุแห่งการมาศาลล่าช้าจึงมิใช่เป็นการอุทธรณ์โต้แย้งคัดค้านคำสั่งของศาลชั้นต้นดังกล่าวว่าไม่ชอบอย่างไรหรือเพราะเหตุใดเป็นอุทธรณ์ที่ไม่ชัดแจ้งตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา225วรรคหนึ่งจึงพิพากษายกฎีกาโจทก์และยกคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ถือได้ว่าศาลฎีกาได้วินิจฉัยเกี่ยวกับอุทธรณ์และฎีกาของโจทก์โดยอาศัยเหตุตามที่โจทก์ได้ยื่นคำร้องแล้วการที่โจทก์มายื่นคำร้องใหม่เป็นประเด็นอย่างเดียวกันกับคำร้องเดิมของโจทก์ซึ่งเป็นกรณีที่ศาลฎีกามีคำพิพากษาถึงที่สุดแล้วจึงต้องห้ามมิให้โจทก์รื้อร้องกันอีกที่ศาลชั้นต้นมีคำสั่งให้ยกคำร้องของโจทก์ชอบแล้ว

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 896/2540 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การยื่นคำร้องซ้ำที่ศาลชั้นต้นหลังมีคำพิพากษาฎีกาถึงที่สุดแล้ว ถือเป็นการรื้อฟื้นคดีที่ต้องห้าม
ตามคำร้องของ โจทก์เป็นกรณีที่โจทก์ยืนยันตามคำร้องเดิมโดยอ้างเหตุว่าโจทก์มิได้มีเจตนาขาดนัดพิจารณา ขอให้ศาลชั้นต้นทำการไต่สวนเหตุแห่งการมาศาลล่าช้าของโจทก์ ซึ่งคำร้องเดิมของโจทก์ก็อ้างเหตุว่า โจทก์มิได้จงใจไม่ไปศาลตามนัด ขอให้มีคำสั่งไต่สวนและเพิกถอนคำสั่งจำหน่ายคดีและให้ดำเนินการพิจารณาคดีต่อไป ศาลชั้นต้นมีคำสั่งในคำร้องเดิมของโจทก์ว่า "ศาลไม่เคยมีคำสั่งจำหน่ายคดีโดยอ้างว่าโจทก์ทิ้งฟ้อง ให้โจทก์ตรวจสอบคำสั่งศาลให้ดีก่อนค่อยมายื่นคำร้องใหม่ ค่าคำร้องเป็นพับ" โจทก์อุทธรณ์และฎีกาต่อมา ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า โจทก์อุทธรณ์ว่า โจทก์มาศาลล่าช้าเพราะเหตุสุดวิสัย ขอให้ศาลอุทธรณ์ยกคำสั่งศาลชั้นต้นที่สั่งจำหน่ายคดีโจทก์และให้ไต่สวนเหตุแห่งการมาศาลล่าช้าจึงมิใช่เป็นการอุทธรณ์โต้แย้งคัดค้านคำสั่งของศาลชั้นต้นดังกล่าวว่าไม่ชอบอย่างไร หรือเพราะเหตุใด เป็นอุทธรณ์ที่ไม่ชัดแจ้งตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 225 วรรคหนึ่ง จึงพิพากษายกฎีกาโจทก์ และยกคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ ถือได้ว่าศาลฎีกาได้วินิจฉัยเกี่ยวกับอุทธรณ์และฎีกาของโจทก์โดยอาศัยเหตุตามที่โจทก์ได้ยื่นคำร้องแล้ว การที่โจทก์มายื่นคำร้องใหม่เป็นประเด็นอย่างเดียวกันกับคำร้องเดิมของโจทก์ ซึ่งเป็นกรณีที่ศาลฎีกามีคำพิพากษาถึงที่สุดแล้ว จึงต้องห้ามมิให้โจทก์รื้อร้องกันอีกที่ศาลชั้นต้นมีคำสั่งให้ยกคำร้องของโจทก์ชอบแล้ว

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 896/2540 เวอร์ชัน 3 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การยื่นคำร้องซ้ำในประเด็นเดิมที่ศาลฎีกามีคำพิพากษาถึงที่สุดแล้ว เป็นการรื้อฟื้นคดีที่ต้องห้าม
ตามคำร้องของโจทก์เป็นกรณีที่โจทก์ยืนยันตามคำร้องเดิมโดยอ้างเหตุว่าโจทก์มิได้มีเจตนาขาดนัดพิจารณา ขอให้ศาลชั้นต้นทำการไต่สวนเหตุแห่งการมาศาลล่าช้าของโจทก์ ซึ่งคำร้องเดิมของโจทก์ก็อ้างเหตุว่า โจทก์มิได้จงใจไม่ไปศาลตามนัด ขอให้มีคำสั่งไต่สวนและเพิกถอนคำสั่งจำหน่ายคดีและให้ดำเนินการพิจารณาคดีโจทก์ต่อไป ศาลชั้นต้นมีคำสั่งในคำร้องเดิมของโจทก์ว่า "ศาลไม่เคยมีคำสั่งจำหน่ายคดีโดยอ้างว่าโจทก์ทิ้งฟ้อง ให้โจทก์ตรวจสอบคำสั่งศาลให้ดีก่อนค่อยมายื่นคำร้องใหม่ ค่าคำร้องเป็นพับ" โจทก์อุทธรณ์และฎีกาต่อมา ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า โจทก์อุทธรณ์ว่า โจทก์มาศาลล่าช้าเพราะเหตุสุดวิสัย ขอให้ศาลอุทธรณ์ยกคำสั่งศาลชั้นต้นที่สั่งจำหน่ายคดีโจทก์และให้ไต่สวนเหตุแห่งการมาศาลล่าช้า จึงมิใช่เป็นการอุทธรณ์โต้แย้งคัดค้านคำสั่งของศาลชั้นต้นดังกล่าวว่าไม่ชอบอย่างไร หรือเพราะเหตุใด เป็นอุทธรณ์ที่ไม่ชัดแจ้งตาม ป.วิ.พ.มาตรา 225 วรรคหนึ่ง จึงพิพากษายกฎีกาโจทก์ และยกคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ ถือได้ว่าศาลฎีกาได้วินิจฉัยเกี่ยวกับอุทธรณ์และฎีกาของโจทก์โดยอาศัยเหตุตามที่โจทก์ได้ยื่นคำร้องแล้ว การที่โจทก์มายื่นคำร้องใหม่เป็นประเด็นอย่างเดียวกันกับคำร้องเดิมของโจทก์ ซึ่งเป็นกรณีที่ศาลฎีกามีคำพิพากษาถึงที่สุดแล้ว จึงต้องห้ามมิให้โจทก์รื้อร้องกันอีก ที่ศาลชั้นต้นมีคำสั่งให้ยกคำร้องของโจทก์ชอบแล้ว

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 348/2540

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ อำนาจฟ้องของทายาทในคดีเพิกถอนการออกใบแทนโฉนดที่ดินและโอนกรรมสิทธิ์อันมีผลมาจากสัญญาประนีประนอมยอมความ
โจทก์ทั้งสามบรรยายฟ้องว่าโจทก์ทั้งสามเป็นบุตรของส.และน.ที่ดินพิพาทเป็นมรดกของส. กับน.โจทก์ทั้งสามในฐานะทายาทจึงมีส่วนได้เสียในที่ดินแปลงดังกล่าวซึ่งต่อมาจำเลยที่1ได้ฟ้องค. ในฐานะผู้จัดการมรดกของส. ให้โอนที่ดินหลายแปลงเป็นคดีแพ่งหมายเลขแดงที่9536/2523ของศาลแพ่งแล้วจำเลยที่1กับค.ได้ทำสัญญาประนีประนอมยอมความกันโดยค.ตกลงโอนที่ดินให้จำเลยที่1ตามฟ้องรวมทั้งที่ดินพิพาทในคดีนี้ด้วยและในการทำสัญญาประนีประนอมยอมความในคดีดังกล่าวค.มิได้แยกที่ดินส่วนที่เป็นสินสมรสของน.ออกก่อนน.และโจทก์ทั้งสามจึงได้ยื่นฟ้องค.ขอให้แบ่งสินสมรสและขอให้แบ่งมรดกเป็นคดีแพ่งหมายเลขดำที่10864/2534ของศาลแพ่งและน.ได้ฟ้องคดีขอให้ศาลพิพากษาว่าสัญญาประนีประนอมยอมความระหว่างจำเลยที่1กับค. ในคดีแพ่งหมายเลขแดงที่9536/2523ไม่มีผลผูกพันส่วนที่เป็นสินสมรสของน. เป็นคดีแพ่งหมายเลขดำที่16824/2534ของศาลแพ่งในระหว่างดำเนินคดีดังกล่าวศาลแพ่งได้มีคำสั่งให้ค.ปฏิบัติตามสัญญาประนีประนอมยอมความแต่ค.ไม่ยอมส่งโฉนดที่ดินและหนังสือรับรองการทำประโยชน์ให้แก่ศาลศาลแพ่งจึงมีหนังสือถึงจำเลยที่3ที่4และที่9ซึ่งเป็นเจ้าพนักงานที่ดินสังกัดจำเลยที่10ให้ออกใบแทนโฉนดที่ดินและใบแทนหนังสือรับรองการทำประโยชน์โจทก์ทั้งสามคัดค้านต่อเจ้าพนักงานที่ดินว่าออกใบแทนไม่ได้เพราะเอกสารดังกล่าวอยู่ที่โจทก์มิได้สูญหายไปแต่จำเลยที่3ที่4ที่9และที่10ยังฝ่าฝืนออกใบแทนโฉนดที่ดินและใบแทนหนังสือรับรองการทำประโยชน์ทั้งๆที่ปิดประกาศไม่ครบกำหนดและไม่ได้ปิดประกาศในที่ดินพิพาททุกแปลงอันเป็นการไม่ชอบแล้วโอนให้จำเลยที่1เสร็จแล้วจำเลยที่1ได้จดทะเบียนโอนให้แก่จำเลยที่2และที่5ถึงที่8โดยจำเลยที่2และที่5ถึงที่8รู้ว่าโจทก์ทั้งสามและน.ได้ฟ้องค.ขอแบ่งสินสมรสและแบ่งมรดกและได้ฟ้องคดีขอให้มีคำพิพากษาว่าสัญญาประนีประนอมยอมความระหว่างจำเลยที่1กับค. ในคดีแพ่งหมายเลขแดงที่9536/2523ของศาลแพ่งไม่มีผลผูกพันสินสมรสของน. ทั้งนี้จำเลยที่1ที่2และที่5ถึงที่8สมคบกันกระทำเพื่อมิให้โจทก์ทั้งสามได้รับส่วนแบ่งที่ดินพิพาทโจทก์ทั้งสามถือว่าการกระทำของจำเลยทั้งสิบเป็นเหตุให้เจ้าพนักงานที่ดินต้องเพิกถอนโฉนดที่ดินและหนังสือรับรองการทำประโยชน์ของนายสดที่โจทก์ทั้งสามครอบครองอยู่อันเป็นการโต้แย้งสิทธิของโจทก์ทั้งสามคำฟ้องของโจทก์ทั้งสามจึงเป็นการกล่าวอ้างว่าโจทก์ทั้งสามเป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์รวมในที่ดินพิพาทและเป็นทายาทผู้มีสิทธิได้รับส่วนแบ่งในที่ดินพิพาทจึงเป็นผู้มีส่วนได้เสียและกล่าวอ้างว่าการกระทำของจำเลยที่3ที่4ที่9และที่10ในการออกใบแทนโฉนดที่ดินและใบแทนหนังสือรับรองการทำประโยชน์ไม่ชอบด้วยกฎหมายทั้งอ้างว่าการกระทำของจำเลยที่1ที่2และที่5ถึงที่8ที่สมคบกันโอนที่ดินพิพาทให้แก่กันนั้นทำให้โจทก์ทั้งสามได้รับความเสียหายเมื่อโจทก์ทั้งสามมิได้เป็นคู่ความในคดีดังกล่าวด้วยคำพิพากษาและการบังคับคดีในคดีดังกล่าวจึงไม่มีผลผูกพันโจทก์ทั้งสามในคดีนี้คำฟ้องของโจทก์ทั้งสามจึงเป็นการตั้งประเด็นข้อพิพาทขึ้นมาใหม่โจทก์ทั้งสามจึงมีอำนาจฟ้อง

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 348/2540 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ อำนาจฟ้องคดีเพิกถอนการออกใบแทนโฉนดที่ดินและโอนกรรมสิทธิ์ กรณีทายาทผู้มีส่วนได้เสียโต้แย้งการทำสัญญาประนีประนอมยอมความ
โจทก์ทั้งสามบรรยายฟ้องว่า โจทก์ทั้งสามเป็นบุตรของ ส.และ น.ที่ดินพิพาทเป็นมรดกของ ส. กับ น.โจทก์ทั้งสามในฐานะทายาทจึงมีส่วนได้เสียในที่ดินแปลงดังกล่าว ซึ่งต่อมาจำเลยที่ 1 ได้ฟ้อง ค.ในฐานะผู้จัดการมรดกของส. ให้โอนที่ดินหลายแปลงเป็นคดีแพ่งหมายเลขแดงที่ 9536/2523 ของศาลแพ่งแล้วจำเลยที่ 1 กับ ค.ได้ทำสัญญาประนีประนอมยอมความกันโดยค.ตกลงโอนที่ดินให้จำเลยที่ 1 ตามฟ้องรวมทั้งที่ดินพิพาทในคดีนี้ด้วย และในการทำสัญญาประนีประนอมยอมความในคดีดังกล่าว ค.มิได้แยกที่ดินส่วนที่เป็นสินสมรสของ น.ออกก่อน น.และโจทก์ทั้งสามจึงได้ยื่นฟ้อง ค.ขอให้แบ่งสินสมรสและขอให้แบ่งมรดกเป็นคดีแพ่งหมายเลขดำที่ 10864/2534 ของศาลแพ่ง และ น.ได้ฟ้องคดีขอให้ศาลพิพากษาว่า สัญญาประนีประนอมยอมความระหว่างจำเลยที่ 1กับ ค. ในคดีแพ่งหมายเลขแดงที่ 9536/2523 ไม่มีผลผูกพันส่วนที่เป็นสินสมรสของ น. เป็นคดีแพ่งหมายเลขดำที่ 16824/2534ของศาลแพ่ง ในระหว่างดำเนินคดีดังกล่าว ศาลแพ่งได้มีคำสั่งให้ค.ปฏิบัติตามสัญญาประนีประนอมยอมความแต่ค.ไม่ยอมส่งโฉนดที่ดินและหนังสือรับรองการทำประโยชน์ให้แก่ศาล ศาลแพ่งจึงมีหนังสือถึงจำเลยที่ 3 ที่ 4 และที่ 9 ซึ่งเป็นเจ้าพนักงานที่ดินสังกัดจำเลยที่ 10 ให้ออกใบแทนโฉนดที่ดินและใบแทนหนังสือรับรองการทำประโยชน์โจทก์ทั้งสามคัดค้านต่อเจ้าพนักงานที่ดินว่าออกใบแทนไม่ได้เพราะเอกสารดังกล่าวอยู่ที่โจทก์มิได้สูญหายไป แต่จำเลยที่ 3 ที่ 4 ที่ 9 และที่ 10 ยังฝ่าฝืนออกใบแทนโฉนดที่ดินและใบแทนหนังสือรับรองการทำประโยชน์ทั้ง ๆ ที่ปิดประกาศไม่ครบกำหนดและไม่ได้ปิดประกาศในที่ดินพิพาททุกแปลงอันเป็นการไม่ชอบแล้วโอนให้จำเลยที่ 1 เสร็จแล้วจำเลยที่ 1 ได้จดทะเบียนโอนให้แก่จำเลยที่ 2 และที่ 5 ถึงที่ 8 โดยจำเลยที่ 2 และที่ 5 ถึงที่ 8รู้ว่าโจทก์ทั้งสามและ น.ได้ฟ้อง ค.ขอแบ่งสินสมรสและแบ่งมรดกและได้ฟ้องคดีขอให้มีคำพิพากษาว่าสัญญาประนีประนอมยอมความระหว่างจำเลยที่ 1 กับ ค. ในคดีแพ่งหมายเลขแดงที่ 9536/2523ของศาลแพ่ง ไม่มีผลผูกพันสินสมรสของ น. ทั้งนี้ จำเลยที่ 1ที่ 2 และที่ 5 ถึงที่ 8 สมคบกันกระทำเพื่อมิให้โจทก์ทั้งสามได้รับส่วนแบ่งที่ดินพิพาท โจทก์ทั้งสามถือว่าการกระทำของจำเลยทั้งสิบเป็นเหตุให้เจ้าพนักงานที่ดินต้องเพิกถอนโฉนดที่ดินและหนังสือรับรองการทำประโยชน์ของนายสดที่โจทก์ทั้งสามครอบครองอยู่อันเป็นการโต้แย้งสิทธิของโจทก์ทั้งสาม คำฟ้องของโจทก์ทั้งสามจึงเป็นการกล่าวอ้างว่าโจทก์ทั้งสามเป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์รวมในที่ดินพิพาทและเป็นทายาทผู้มีสิทธิได้รับส่วนแบ่งในที่ดินพิพาทจึงเป็นผู้มีส่วนได้เสีย และกล่าวอ้างว่าการกระทำของจำเลยที่ 3ที่ 4 ที่ 9 และที่ 10 ในการออกใบแทนโฉนดที่ดินและใบแทนหนังสือรับรองการทำประโยชน์ไม่ชอบด้วยกฎหมาย ทั้งอ้างว่าการกระทำของจำเลยที่ 1 ที่ 2 และที่ 5 ถึงที่ 8 ที่สมคบกันโอนที่ดินพิพาทให้แก่กันนั้นทำให้โจทก์ทั้งสามได้รับความเสียหายเมื่อโจทก์ทั้งสามมิได้เป็นคู่ความในคดีดังกล่าวด้วย คำพิพากษาและการบังคับคดีในคดีดังกล่าวจึงไม่มีผลผูกพันโจทก์ทั้งสามในคดีนี้คำฟ้องของโจทก์ทั้งสามจึงเป็นการตั้งประเด็นข้อพิพาทขึ้นมาใหม่ โจทก์ทั้งสามจึงมีอำนาจฟ้อง

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 348/2540 เวอร์ชัน 3 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ อำนาจฟ้องกรณีโต้แย้งสิทธิในที่ดินจากการโอนที่ดินโดยไม่ชอบ และผลกระทบต่อผู้มีสิทธิในมรดก/สินสมรส
โจทก์ทั้งสามบรรยายฟ้องว่า โจทก์ทั้งสามเป็นบุตรของ ส.และ น. ที่ดินพิพาทเป็นมรดกของ ส.กับ น.โจทก์ทั้งสามในฐานะทายาทจึงมีส่วนได้เสียในที่ดินแปลงดังกล่าว ซึ่งต่อมาจำเลยที่ 1 ได้ฟ้อง ค.ในฐานะผู้จัดการมรดกของ ส.ให้โอนที่ดินหลายแปลงเป็นคดีแพ่งหมายเลขแดงที่ 9536/2523 ของศาลแพ่งแล้วจำเลยที่ 1 กับ ค.ได้ทำสัญญาประนีประนอมยอมความกันโดย ค.ตกลงโอนที่ดินให้จำเลยที่ 1 ตามฟ้องรวมทั้งที่ดินพิพาทในคดีนี้ด้วย และในการทำสัญญาประนี-ประนอมยอมความในคดีดังกล่าว ค.มิได้แยกที่ดินส่วนที่เป็นสินสมรสของ น.ออกก่อนน.และโจทก์ทั้งสามจึงได้ยื่นฟ้อง ค.ขอให้แบ่งสินสมรสและขอให้แบ่งมรดกเป็นคดีแพ่งหมายเลขดำที่ 10864/2534 ของศาลแพ่ง และ น.ได้ฟ้องคดีขอให้ศาลพิพากษาว่า สัญญาประนีประนอมยอมความระหว่างจำเลยที่ 1 กับ ค.ในคดีแพ่งหมายเลขแดงที่ 9536/2523 ไม่มีผลผูกพันส่วนที่เป็นสินสมรสของ น.เป็นคดีแพ่งหมายเลขดำที่ 16824/2534 ของศาลแพ่ง ในระหว่างดำเนินคดีดังกล่าว ศาลแพ่งได้มีคำสั่งให้ ค.ปฏิบัติตามสัญญาประนีประนอมยอมความ แต่ค.ไม่ยอมส่งโฉนดที่ดินและหนังสือรับรองการทำประโยชน์ให้แก่ศาล ศาลแพ่งจึงมีหนังสือถึงจำเลยที่ 3 ที่ 4 และที่ 9 ซึ่งเป็นเจ้าพนักงานที่ดินสังกัดจำเลยที่ 10 ให้ออกใบแทนโฉนดที่ดินและใบแทนหนังสือรับรองการทำประโยชน์โจทก์ทั้งสามคัดค้านต่อเจ้าพนักงานที่ดินว่าออกใบแทนไม่ได้เพราะเอกสารดังกล่าวอยู่ที่โจทก์มิได้สูญหายไป แต่จำเลยที่ 3 ที่ 4 ที่ 9 และที่ 10 ยังฝ่าฝืนออกใบแทนโฉนดที่ดินและใบแทนหนังสือรับรองการทำประโยชน์ทั้ง ๆ ที่ปิดประกาศไม่ครบกำหนดและไม่ได้ปิดประกาศในที่ดินพิพาททุกแปลงอันเป็นการไม่ชอบ แล้วโอนให้จำเลยที่ 1 เสร็จแล้วจำเลยที่ 1 ได้จดทะเบียนโอนให้แก่จำเลยที่ 2 และที่ 5 ถึงที่ 8 โดยจำเลยที่ 2 และที่ 5 ถึงที่ 8 รู้ว่าโจทก์ทั้งสามและ น.ได้ฟ้องค.ขอแบ่งสินสมรสและแบ่งมรดก และได้ฟ้องคดีขอให้มีคำพิพากษาว่าสัญญาประนี-ประนอมยอมความระหว่างจำเลยที่ 1 กับ ค.ในคดีแพ่งหมายเลขแดงที่ 9536/2523ของศาลแพ่ง ไม่มีผลผูกพันสินสมรสของ น. ทั้งนี้ จำเลยที่ 1 ที่ 2 และที่ 5 ถึงที่ 8 สมคบกันกระทำเพื่อมิให้โจทก์ทั้งสามได้รับส่วนแบ่งที่ดินพิพาท โจทก์ทั้งสามถือว่าการกระทำของจำเลยทั้งสิบเป็นเหตุให้เจ้าพนักงานที่ดินต้องเพิกถอนโฉนดที่ดินและหนังสือรับรองการทำประโยชน์ของนายสดที่โจทก์ทั้งสามครอบครองอยู่อันเป็นการโต้แย้งสิทธิของโจทก์ทั้งสาม คำฟ้องของโจทก์ทั้งสามจึงเป็นการกล่าวอ้างว่าโจทก์ทั้งสามเป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์รวมในที่ดินพิพาทและเป็นทายาทผู้มีสิทธิได้รับส่วนแบ่งในที่ดินพิพาทจึงเป็นผู้มีส่วนได้เสีย และกล่าวอ้างว่าการกระทำของจำเลยที่ 3 ที่ 4 ที่ 9 และที่ 10 ในการออกใบแทนโฉนดที่ดินและใบแทนหนังสือรับรองการทำประโยชน์ไม่ชอบด้วยกฎหมาย ทั้งอ้างว่าการกระทำของจำเลยที่ 1 ที่ 2 และที่ 5 ถึงที่ 8 ที่สมคบกันโอนที่ดินพิพาทให้แก่กันนั้นทำให้โจทก์ทั้งสามได้รับความเสียหาย เมื่อโจทก์ทั้งสามมิได้เป็นคู่ความในคดีดังกล่าวด้วย คำพิพากษาและการบังคับคดีในคดีดังกล่าวจึงไม่มีผลผูกพันโจทก์ทั้งสามในคดีนี้คำฟ้องของโจทก์ทั้งสามจึงเป็นการตั้งประเด็นข้อพิพาทขึ้นมาใหม่ โจทก์ทั้งสามจึงมีอำนาจฟ้อง

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 10225/2539

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ สัญญาซื้อขายที่ดิน: จำเลยผิดสัญญาเนื่องจากเสียสิทธิครอบครองจากคดีแย่งครอบครอง ทำให้ไม่สามารถโอนได้ โจทก์มีสิทธิเรียกร้องค่าเสียหาย
ตามข้อ2ของสัญญาจะซื้อจะขายเป็นหน้าที่ของโจทก์ที่จะต้องชำระราคาที่ดินพิพาทให้แก่จำเลยส่วนจำเลยมีหน้าที่ส่งมอบการครอบครองที่ดินพิพาทให้แก่โจทก์โดยปลอดจากภาระผูกพันหากมีผู้บุกรุกที่ดินพิพาทจำเลยก็ต้องฟ้องขับไล่ผู้บุกรุกให้ออกไปจากที่ดินพิพาทสำหรับสัญญาข้อ3ที่โจทก์ตกลงจะออกค่าใช้จ่ายในการดำเนินการฟ้องร้องให้จำเลยนั้นข้อสัญญาดังกล่าวมิได้เกี่ยวกับการซื้อขายที่ดินพิพาทมิได้เป็นสาระสำคัญของสัญญาแต่เป็นข้อตกลงระหว่างโจทก์กับจำเลยต่างหากจากข้อสัญญาจะซื้อจะขายที่ดินพิพาทกล่าวคือหากโจทก์ไม่ออกค่าใช้จ่ายในการฟ้องร้องให้แก่จำเลยจำเลยก็ยังมีหน้าที่ต้องฟ้องร้องผู้บุกรุกให้ออกไปจากที่ดินพิพาทเพื่อนำที่ดินพิพาทส่งมอบให้โจทก์เช่นเดิมหากจำเลยเสียค่าใช้จ่ายในการดำเนินคดีไปเป็นจำนวนเท่าใดแล้วโจทก์ไม่ชำระจำเลยก็มีสิทธิเรียกร้องเงินจำนวนนี้จากโจทก์ได้ดังนั้นแม้จำเลยยื่นฎีกาในคดีที่จำเลยฟ้องขับไล่ผู้ร้องสอดโดยโจทก์มิได้ออกค่าใช้จ่ายในชั้นฎีกาให้ก็ถือไม่ได้ว่าโจทก์เป็นฝ่ายผิดสัญญาจะซื้อจะขาย ก่อนโจทก์ฟ้องคดีนี้จำเลยได้ฟ้องขับไล่ผู้ร้องสอดออกจากที่ดินพิพาทผู้ร้องสอดให้การต่อสู้คดีว่าผู้ร้องสอดทั้งสองได้ครอบครองที่ดินพิพาทจนได้สิทธิครอบครองแล้วจำเลยหมดสิทธิเรียกคืนคดีดังกล่าวศาลอุทธรณ์พิพากษายกฟ้องคดีถึงที่สุดจากผลของคำพิพากษาอันถึงที่สุดของศาลอุทธรณ์ดังกล่าวจำเลยจึงไม่มีสิทธิครอบครองที่ดินพิพาทอีกต่อไปและไม่อาจโอนสิทธิครอบครองที่ดินพิพาทให้แก่โจทก์ตามสัญญาจะซื้อจะขายได้แม้จำเลยจะยังมีชื่อในที่ดินน.ส.3ที่พิพาทและผู้ร้องสอดได้ออกไปจากที่ดินพิพาทแล้วก็ไม่ก่อให้เกิดสิทธิครอบครองที่ดินพิพาทแก่จำเลยแต่อย่างใดและเมื่อจำเลยไม่สามารถโอนที่ดินพิพาทให้แก่โจทก์ตามสัญญาจะซื้อจะขายและกรณีเช่นนี้ก็มิได้เกิดขึ้นเพราะความผิดของโจทก์แต่เป็นความผิดของจำเลยเองจำเลยจึงตกเป็นผู้ผิดสัญญาจะซื้อจะขายโจทก์มีสิทธิเรียกค่าเสียหายจากจำเลยได้ โจทก์ทำสัญญาจะซื้อจะขายกับจำเลยโดยรู้อยู่แล้วว่าขณะนั้นผู้ร้องสอดได้แย่งสิทธิครอบครองที่ดินพิพาทของจำเลยอยู่แสดงว่าโจทก์เข้าทำสัญญาจะซื้อจะขายโดยเสี่ยงภัยเองเพราะรู้อยู่ว่าหากจำเลยแพ้คดีจำเลยก็ไม่อาจโอนที่ดินพิพาทให้แก่โจทก์ได้เมื่อค่าเสียหายที่โจทก์เรียกร้องมาสูงเกินไปและโจทก์มิได้นำสืบให้ปรากฎว่าโจทก์เสียหายเป็นจำนวนเท่าใดศาลย่อมกำหนดค่าเสียหายให้โจทก์ตามจำนวนที่เหมาะสมได้

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 7182/2539

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การฟ้องเพิกถอนนิติกรรมกระทบสิทธิบุคคลภายนอก - ประเด็นความสงบเรียบร้อยของประชาชน
ผู้ที่เกี่ยวข้องในการทำนิติกรรมตามฟ้องนอกจากจำเลยแล้วยังมีบุคคลอื่นอีกหลายคน แต่โจทก์ฟ้องจำเลยเพียงคนเดียวโดยมิได้ฟ้องบุคคลดังกล่าวด้วย ซึ่งขณะที่โจทก์ฟ้องจำเลยไม่มีสิทธิในที่ดินพิพาทแล้ว หากศาลพิพากษาให้เพิกถอนนิติกรรมตามคำขอของโจทก์แล้ว ย่อมเป็นการพิพากษากระทบไปถึงสิทธิของบุคคลภายนอกซึ่งมิได้เข้ามาเป็นคู่ความในคดีต้องห้ามตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 145จึงไม่อาจบังคับตามคำขอของโจทก์ได้ ปัญหาดังกล่าวแม้คู่ความจะไม่อุทธรณ์และฎีกาแต่เป็นปัญหาเกี่ยวกับความสงบเรียบร้อยของประชาชน ศาลฎีกามีอำนาจยกขึ้นวินิจฉัยได้เองและพิพากษายกฟ้องโจทก์
of 124