คำพิพากษาที่เกี่ยวข้องกับกฎหมาย
ป.วิ.พ. ม. 145

พบผลลัพธ์ทั้งหมด 1,236 รายการ

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3636/2536

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การพิพากษาเกินคำขอในคดีครอบครองปรปักษ์และการเพิกถอนนิติกรรมการโอนที่ดิน
ผู้คัดค้านยื่นคำคัดค้านคำร้องขอของผู้ร้องที่ขอให้ศาลมีคำสั่งว่าผู้ร้องได้กรรมสิทธิ์ที่ดินพิพาททั้งแปลงโดยการครอบครองปรปักษ์ โดยผู้คัดค้านอ้างว่าผู้คัดค้านได้กรรมสิทธิ์ที่ดินพิพาทบางส่วนโดยการครอบครองปรปักษ์ จ.บิดาผู้ร้องจดทะเบียนรับโอนที่ดินพิพาทมาโดยไม่ชอบและฟ้องแย้งขอให้ศาลมีคำสั่งว่า ผู้คัดค้านได้กรรมสิทธิ์ที่ดินพิพาทบางส่วน และขอให้เพิกถอนการจดทะเบียนรับโอนกรรมสิทธิ์ที่ดินของ จ. ศาลล่างทั้งสองวินิจฉัยว่าจ.จดทะเบียนรับโอนที่ดินพิพาทมาโดยไม่ชอบ พิพากษาให้เพิกถอนการจดทะเบียนรับโอนที่ดินพิพาทของ จ. ซึ่งตรงตามคำขอท้ายฟ้องแย้งของผู้คัดค้านไม่เป็นการพิพากษาเกินคำขอ คำขอท้ายฟ้องแย้งของผู้คัดค้านที่ขอให้เพิกถอนการจดทะเบียนรับโอนที่ดินของ จ. เป็นคำขอให้เพิกถอนนิติกรรมการโอนที่ดินพิพาทของบุคคลภายนอกอันเป็นการกระทบกระเทือนถึงสิทธิของบุคคลภายนอกซึ่งมิได้เข้ามาเป็นคู่ความในคดีด้วย ศาลจึงพิพากษาคดีให้ตามคำขอท้ายฟ้องแย้งในส่วนนี้ของผู้คัดค้านไม่ได้

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3636/2536 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ขอบเขตคำพิพากษาและการพิพากษาเกินคำขอในคดีครอบครองปรปักษ์และการเพิกถอนนิติกรรม
ผู้ร้องยื่นคำร้องขอให้ศาลมีคำสั่งว่าผู้ร้องได้กรรมสิทธิ์โดยการครอบครองปรปักษ์ที่ดินพิพาททั้งแปลง ผู้คัดค้านทั้งสองยื่นคำคัดค้านว่า ผู้คัดค้านทั้งสองได้กรรมสิทธิ์โดยการครอบครองปรปักษ์ที่ดินพิพาทบางส่วน จ. บิดาผู้ร้องจดทะเบียนรับโอนที่ดินพิพาทในฐานะผู้รับมรดกจากเจ้าของที่ดินเดิมมาเป็นของตนคนเดียวทั้งแปลงเป็นการไม่ชอบและฟ้องแย้งขอให้ศาลมีคำสั่งว่าผู้คัดค้านทั้งสองได้กรรมสิทธิ์ในที่ดินพิพาทบางส่วน และขอให้เพิกถอนการจดทะเบียนรับโอนกรรมสิทธิ์ที่ดินของ จ. ด้วยศาลล่างทั้งสองวินิจฉัยว่า จ. จดทะเบียนรับโอนที่ดินพิพาทมาโดยไม่ชอบ แล้วพิพากษาให้เพิกถอนการจดทะเบียนรับโอนที่ดินของ จ. ด้วยเช่นนี้เป็นการพิพากษาตรงตามคำขอท้ายฟ้องแย้งของผู้คัดค้านทั้งสองไม่เป็นการพิพากษาเกินคำขอ แต่คำขอท้ายฟ้องแย้งของผู้คัดค้านทั้งสองที่ขอให้เพิกถอนการจดทะเบียนรับโอนที่ดินของ จ.เป็นคำขอให้เพิกถอนนิติกรรมการโอนที่ดินพิพาทของบุคคลภายนอกอันเป็นการกระทบกระเทือนถึงกรรมสิทธิ์ของบุคคลภายนอกซึ่งมิได้เข้ามาเป็นคู่ความในคดีด้วย จึงพิพากษาคดีให้ตามคำขอท้ายฟ้องแย้งในส่วนนี้ของผู้คัดค้านทั้งสองไม่ได้

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3233/2536

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ฟ้องซ้ำ: สัญญาประนีประนอมยอมความผูกพันคู่กรณีและบริวาร โจทก์ต้องบังคับคดีตามสัญญาเดิม
คดีก่อนโจทก์ขับไล่จำเลยที่ 1 และที่ 2 ให้ออกจากที่ดินพิพาทส่วนจำเลยที่ 3 เป็นบริวารของจำเลยที่ 1 และที่ 2 โจทก์กับจำเลยที่ 1 และที่ 2 ได้ทำสัญญาประนีประนอมยอมความในคดีดังกล่าวโดยโจทก์ยอมยกที่ดินเนื้อที่ 91 ตารางวา ให้แก่จำเลยที่ 1 และที่ 2ส่วนจำเลยที่ 1 และที่ 2 ยอมจะรื้อเรือนและร้านค้าออกจากที่ดินพิพาทของโจทก์ภายใน 1 ปี 6 เดือน นับแต่วันทำสัญญาประนีประนอมยอมความถ้าจำเลยที่ 1 และที่ 2 ไม่ทำการรื้อถอนภายในกำหนด จำเลยที่ 1และที่ 2 จะต้องคืนที่ดินดังกล่าวให้แก่โจทก์ และศาลได้พิพากษาตามยอมแล้ว ดังนี้ คำพิพากษาตามยอมในคดีก่อนย่อมผูกพันโจทก์จำเลยที่ 1 ที่ 2 และที่ 3 ซึ่งเป็นบริวาร นับแต่วันที่ศาลได้มีคำพิพากษาตามยอม เมื่อจำเลยที่ 1 และที่ 2 ผิดสัญญาประนีประนอมยอมความโดยไม่ยอมรื้อเรือนและร้านค้าออกจากที่ดินพิพาทโจทก์ชอบที่จะดำเนินการบังคับคดีเอาแก่จำเลยที่ 1 ที่ 2 และที่ 3ซึ่งเป็นบริวารในคดีก่อน โจทก์จึงไม่มีอำนาจฟ้องจำเลยทั้งสามเป็นคดีนี้ ดังนั้น ปัญหาที่โจทก์ฎีกาว่า ฟ้องโจทก์คดีนี้เป็นฟ้องซ้ำกับคดีก่อนหรือไม่ จึงไม่เป็นสาระแก่คดีอันควรที่จะได้รับการวินิจฉัย

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3160/2536

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การยื่นคำร้องซ้ำซ้อนเรื่องผู้จัดการมรดก ศาลต้องไต่สวนคำคัดค้าน แม้มีคำสั่งก่อนหน้า
ผู้ร้องยื่นคำร้องขอเป็นผู้จัดการมรดกของ ว.ผู้ตาย ต่อศาลชั้นต้นและคดีอยู่ในระหว่างไต่สวน ผู้ร้องไม่มีสิทธิที่จะยื่นคำร้องขอเป็นผู้จัดการของ ว. ในเรื่องเดียวกันต่อศาลอื่นอีกเป็นการฝ่าฝืนต่อประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 173วรรคสอง และเป็นการใช้สิทธิไม่สุจริต แม้ศาลนั้นจะมีคำสั่งตั้งผู้ร้องเป็นผู้จัดการมรดกของ ว.ก็ตาม คำสั่งดังกล่าวก็ไม่ผูกพันผู้คัดค้านซึ่งเป็นบุคคลภายนอก

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3043/2536

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ผลผูกพันตามคำพิพากษาถึงที่สุดในคดีแพ่ง แม้มีการฟ้องล้มละลาย จำเลยยังคงเป็นหนี้
เมื่อคดีแพ่งที่พิพากษาให้จำเลยทั้งสองชำระหนี้ต่อโจทก์ถึงที่สุดแล้ว โจทก์และจำเลยทั้งสองซึ่งเป็นคู่ความในคดีดังกล่าวจะต้องผูกพันตามคำพิพากษานั้นตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 145 คือต้องฟังว่าจำเลยทั้งสองเป็นหนี้โจทก์ตามจำนวนตามคำพิพากษา ดังกล่าวไม่มีกฎหมายบัญญัติยกเว้นไว้ว่า คดีล้มละลายนั้นคู่ความไม่ต้องผูกพันในผลของคดีแพ่งซึ่งถึงที่สุดแล้ว การที่จำเลยในคดีล้มละลายมีสิทธินำสืบว่าตนไม่มีหนี้สินล้นพ้นตัวและไม่สมควรเป็นบุคคลล้มละลายตามที่จำเลยกล่าวอ้างนั้นเป็นเพียงสิทธินำสืบทั่ว ๆ ไปของจำเลยเท่านั้น ไม่ถึงกับนำสืบหักล้างผลของคำพิพากษาซึ่งถึงที่สุดแล้วได้

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2660/2536 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ อำนาจทนายความประนีประนอม และผลผูกพันสัญญาประนีประนอมยอมความ แม้ไม่มีลายมือชื่อจำเลยร่วม
ใบแต่งทนายความของจำเลยร่วมระบุว่าให้ทนายความของจำเลยร่วมมีอำนาจประนีประนอมยอมความได้ แม้ในสัญญาประนีประนอมยอมความจะไม่มีลายมือชื่อจำเลยร่วมอยู่ด้วย แต่เมื่อทนายความจำเลยร่วม จำเลย ทนายความจำเลย และโจทก์กับทนายความโจทก์ได้ตกลงทำสัญญาประนีประนอมยอมความกันและข้อตกลงหรือการประนีประนอมยอมความกันนั้นไม่เป็นการฝ่าฝืนต่อกฎหมาย ทั้งศาลชั้นต้นได้พิพากษาตามยอมไปด้วยแล้ว สัญญาประนีประนอมยอมความดังกล่าวย่อมใช้บังคับได้และมีผลผูกพันจำเลยร่วมด้วย
ที่จำเลยร่วมฎีกาว่าศาลชั้นต้นชอบที่จะไต่สวนคำร้องของจำเลยร่วมก่อนมีคำสั่งนั้น ปัญหาข้อนี้จำเลยร่วมมิได้ยกขึ้นว่ากันมาแล้วในศาลอุทธรณ์ศาลฎีกาจึงไม่รับวินิจฉัย

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2660/2536

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ อำนาจทนายในการประนีประนอมยอมความผูกพันจำเลยร่วม แม้ไม่มีลายมือชื่อ หากใบแต่งทนายระบุชัดเจน
ใบแต่งทนายความของจำเลยร่วมระบุว่าให้ทนายความของจำเลยร่วมมีอำนาจประนีประนอมยอมความได้ แม้ในสัญญาประนีประนอมยอมความจะไม่มีลายมือชื่อจำเลยร่วมอยู่ด้วยแต่เมื่อทนายความจำเลยร่วม ทนายความจำเลย และโจทก์กับทนายความโจทก์ได้ตกลงทำสัญญาประนีประนอมยอมความกันและข้อตกลงหรือการสัญญาประนีประนอมยอมความกันนั้นไม่เป็นการฝ่าฝืนต่อกฎหมาย ทั้งศาลชั้นต้นได้พิพากษาตามยอมไปด้วยแล้วสัญญาประนีประนอมยอมความดังกล่าวย่อมใช้บังคับได้และมีผลผูกพันจำเลยร่วมด้วย ที่จำเลยร่วมฎีกาว่าศาลชั้นต้นชอบที่จะไต่สวนคำร้องของจำเลยร่วมก่อนมีคำสั่งนั้น ปัญหาข้อนี้จำเลยร่วมมิได้ยกขึ้นว่ากันมาแล้วในศาลอุทธรณ์ ศาลฎีกาจึงไม่รับวินิจฉัย

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2617/2536

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การครอบครองปรปักษ์: บุคคลภายนอกคดีพิสูจน์กรรมสิทธิ์ได้ แม้มีคำสั่งศาลถึงที่สุดแล้ว
จำเลยเป็นหลานของล. และอาศัยสิทธิของล. เข้าทำกินในที่ดินพิพาท เมื่อ ล. ตาย จำเลยไม่ได้แจ้งแก่ทายาทของ ล.ว่าจะครอบครองที่ดินพิพาทเพื่อตนย่อมถือว่าจำเลยครอบครองที่ดินพิพาทแทนทายาทของ ล. และถึงแม้จะมีคำสั่งของศาลชั้นต้นถึงที่สุดแสดงว่าจำเลยได้กรรมสิทธิ์ในที่ดินพิพาทโดยการครอบครองปรปักษ์ก็ตาม แต่โจทก์ซึ่งเป็นทายาทของ ล. เป็นบุคคลภายนอกคดี สามารถพิสูจน์ได้ว่าที่ดินพิพาทเป็นของโจทก์ คำสั่งศาลชั้นต้นย่อมไม่ผูกพันโจทก์ ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 145(2)โจทก์ฟ้องให้จำเลยคืนที่ดินพิพาทแก่โจทก์ได้

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2559/2536

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การล้มละลาย: แม้มีหนี้ถึงที่สุด แต่ศาลพิจารณาเหตุไม่สมควรให้ล้มละลายได้ หากลูกหนี้มีโอกาสชำระหนี้และไม่ได้มีเจตนาหลีกเลี่ยง
เมื่อศาลแพ่งมีคำพิพากษาคดีที่โจทก์นำมาฟ้องจำเลยเป็นคดีล้มละลายและคดีดังกล่าวถึงที่สุดแล้ว แม้จำเลยที่ 2 จะได้ยื่นคำร้องขอให้พิจารณาใหม่และคดีชั้นร้องขอพิจารณาใหม่ยังอยู่ระหว่างการพิจารณาของศาลอุทธรณ์ก็ตาม แต่คำพิพากษาศาลแพ่งดังกล่าวย่อมต้องผูกพันคู่ความจนกว่าจะมีการเปลี่ยนแปลง แก้ไข กลับหรืองดเสีย จำเลยที่ 2 จึงต้องผูกพันและมีหน้าที่ต้องชำระหนี้ตามคำพิพากษาดังกล่าว แม้จำเลยที่ 2 ไม่มีทรัพย์สินให้พึงยึดมาชำระหนี้ได้อันต้องด้วยข้อสันนิษฐานว่าเป็นบุคคลมีหนี้สินล้นพ้นตัวตามพระราชบัญญัติล้มละลาย พ.ศ. 2483 มาตรา 8 แต่จำเลยที่ 2เป็นนายทหารยศนาวาอากาศตรี อายุเพียง 40 ปีเศษ ยังมีโอกาสก้าวหน้าในหน้าที่การงานต่อไปอีก หนี้ตามคำพิพากษาศาลแพ่งอันเป็นมูลเหตุให้จำเลยที่ 2 ถูกฟ้องล้มละลาย เป็นหนี้ตามสัญญาค้ำประกันการเข้าทำงานของจำเลยที่ 1 ซึ่งเป็นบิดาจำเลยที่ 2 มิใช่หนี้ที่จำเลยที่ 2 ก่อขึ้นเพื่อประโยชน์ของตนเองโดยแท้ ประกอบกับจำเลยที่ 2มีรายได้จากเงินเดือนเดือนละ 10,500 บาท โดยไม่ปรากฏว่ามีหนี้สินอื่น และเหตุที่จำเลยที่ 2 ยังมิได้ชำระหนี้ก็น่าเชื่อว่าเพราะจำเลยที่ 2 เชื่อโดยสุจริตว่าจำเลยที่ 2 ต้องรับผิดต่อโจทก์เป็นเงินเพียง 100,000 บาท ตามที่ระบุไว้ในสัญญาค้ำประกันเท่านั้นซึ่งจะเห็นได้จากจำเลยที่ 2 ได้ขอให้มีการพิจารณาคดีแพ่งดังกล่าวใหม่ และยืนยันตลอดมาตั้งแต่เมื่ออ้างตนเองเป็นพยานว่าพร้อมชำระเงินจำนวน 100,000 บาท ให้แก่โจทก์ทันที เชื่อได้ว่าจำเลยที่ 2 มิได้มีเจตนาหลีกเลี่ยงไม่ชำระหนี้ให้แก่โจทก์เสียเลยจึงมีเหตุไม่สมควรให้จำเลยที่ 2 ล้มละลาย ตามพระราชบัญญัติล้มละลายพ.ศ. 2483 มาตรา 14

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2490/2536

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ผลผูกพันคำพิพากษาถึงที่สุด: การครอบครองปรปักษ์ vs. ทรัพย์มรดก
ในคดีที่โจทก์ฟ้องจำเลยเพื่อพิสูจน์ว่าโจทก์มีสิทธิในที่ดินพิพาทดีกว่าจำเลย ศาลพิพากษาถึงที่สุดโดยวินิจฉัยว่า ที่ดินพิพาทเป็นกรรมสิทธิ์ของจำเลยโดยการครอบครองปรปักษ์ ไม่ใช่ทรัพย์มรดกของ ช. ผลของคำพิพากษาดังกล่าวย่อมผูกพันโจทก์ โจทก์จะอ้างว่าจำเลยในฐานะผู้จัดการมรดกของ ช. ไม่มีอำนาจร้องขอครอบครองปรปักษ์ที่ดินพิพาทซึ่งเป็นมรดกของ ช. ไม่ได้ เพราะจำเลยร้องขอแสดงกรรมสิทธิ์โดยใช้สิทธิทางศาล และที่ดินพิพาทก็เป็นกรรมสิทธิ์ของจำเลยไม่ได้เป็นทรัพย์มรดกของ ช. การกระทำของจำเลยจึงไม่ได้เป็นปฏิปักษ์ต่อกองมรดกของ ช. และคำพิพากษาไม่ได้ถูกเปลี่ยนแปลงแก้ไขหรือเพิกถอนแต่อย่างใด ดังนั้น คำพิพากษาดังกล่าวยังคงมีผลผูกพันโจทก์อยู่ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา 145 วรรคแรก
of 124