พบผลลัพธ์ทั้งหมด 1,236 รายการ
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4670/2534 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การเพิกถอนคำพิพากษาตามยอมและการยกฟ้องกรณีข้อหาที่ไม่อาจพิพากษาได้
โจทก์ฟ้องขอให้เพิกถอนคำพิพากษาตามยอมของศาลชั้นต้นซึ่งตามกฎหมายคำพิพากษาของศาลจะเพิกถอนไม่ได้ เว้นแต่จะถูกเปลี่ยนแปลงแก้ไข กลับ หรืองดเสีย โดยคำพิพากษาของศาลในลำดับที่สูงกว่า เมื่อคำฟ้องและคำขอท้ายฟ้องของโจทก์ ขอให้ศาลพิพากษาในข้อที่ไม่อาจจะพิพากษาให้ได้โดยชอบด้วยกฎหมายเช่นนี้ ศาลชั้นต้นก็ชอบที่จะยกฟ้องโจทก์เสียได้ในชั้นตรวจคำฟ้องตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 131(2) ดังนั้นการที่ศาลชั้นต้นสั่งไม่รับคำฟ้องและคืนค่าขึ้นศาลให้โจทก์ทั้งหมด จึงเป็นคำสั่งที่ไม่ชอบด้วยกฎหมาย
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4118/2534
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
คำพิพากษาถึงที่สุดผูกพันคู่ความในคดีล้มละลาย แม้จำเลยอ้างหนี้ไม่ชอบด้วยกฎหมาย ข้อสันนิษฐานหนี้สินล้นพ้นตัวมีผล
เมื่อมีคำพิพากษาให้จำเลยร่วมรับผิดชำระหนี้ 1,000,000 บาทพร้อมดอกเบี้ย คดีถึงที่สุด คำพิพากษาดังกล่าวย่อมผูกพันจำเลยซึ่งเป็นคู่ความตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 145 ต่อมาโจทก์ฟ้องจำเลยเป็นคดีล้มละลายจำเลยจะโต้เถียงว่าไม่ได้เป็นหนี้ตามคำพิพากษาหรือเป็นหนี้ที่ไม่ชอบด้วยกฎหมายหาได้ไม่ ต้องถือว่าเป็นหนี้ที่แท้จริงและถูกต้อง เมื่อไม่สามารถบังคับคดีเนื่องจากสืบหาทรัพย์สินของจำเลยไม่พบ และโจทก์ได้มีหนังสือทวงถามให้จำเลยชำระหนี้ไม่น้อยกว่าสองครั้ง ซึ่งมีระยะเวลาห่างกันไม่น้อยกว่า30 วัน จำเลยไม่ชำระจึงต้องด้วยข้อสันนิษฐานว่าจำเลยมีหนี้สินล้นพ้นตัว เมื่อจำเลยไม่นำสืบหักล้างข้อสันนิษฐานดังกล่าวข้อเท็จจริงจึงฟังได้ว่าจำเลยเป็นหนี้โจทก์ไม่น้อยกว่า 50,000 บาทเป็นหนี้ที่กำหนดจำนวนได้แน่นอนและจำเลยมีหนี้สินล้นพ้นตัว ทั้งไม่มีเหตุอื่นที่ไม่สมควรให้จำเลยล้มละลาย.
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4118/2534 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ผลผูกพันของคำพิพากษาถึงที่สุดในคดีล้มละลาย: จำเลยไม่อาจปฏิเสธหนี้ที่ศาลเคยตัดสินแล้ว
ศาลมีคำพิพากษาถึงที่สุดให้จำเลยที่ 2 ชำระหนี้ให้โจทก์ คำพิพากษาดังกล่าวย่อมผูกพันจำเลยที่ 2 เมื่อโจทก์นำหนี้ตาม คำพิพากษาดังกล่าวมาฟ้องจำเลยที่ 2 เป็นคดีล้มละลายจำเลยที่ 2 จะโต้เถียงว่าไม่ได้เป็นหนี้ตามคำพิพากษาหรือเป็นหนี้ที่ไม่ชอบ ด้วยกฎหมายหาได้ไม่.
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3922/2534
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
คำพิพากษาถึงที่สุดผูกพันคู่ความ แม้มีการเปลี่ยนแปลงเจ้าของทรัพย์สิน และเอกสารท้ายฟ้องเป็นส่วนหนึ่งของคำฟ้อง
คดีก่อนผู้เยาว์ทั้งสี่และมารดาร่วมกันฟ้องจำเลยกับ ส.ให้โอนที่ดินพิพาทซึ่งเป็นทรัพย์มรดกของ จ. บิดาผู้เยาว์ให้กับผู้เยาว์ทั้งสี่ศาลพิพากษาว่าผู้เยาว์ทั้งสี่มีสิทธิในที่ดินพิพาทสี่ในห้าส่วนให้จำเลยและส.โอนให้ผู้เยาว์ทั้งสี่คดีถึงที่สุดได้มีการแก้ไขทางทะเบียนที่ดินพิพาทจาก ส. มาเป็นชื่อผู้เยาว์ทั้งสี่และจำเลยตามคำพิพากษาแล้ว การที่จำเลยต่อสู้ในคดีนี้อีกว่าจำเลยโอนที่ดินพิพาทให้ ส. ไปแล้ว โจทก์ไม่มีสิทธิฟ้องจึงรับฟังไม่ได้ เพราะศาลได้วินิจฉัยประเด็นนี้ไว้ในคดีก่อนแล้วจำเลยจึงต้องผูกพันตามคำพิพากษาในคดีก่อน เอกสารท้ายฟ้องถือเป็นส่วนหนึ่งของคำฟ้อง การพิจารณาว่าฟ้องโจทก์เคลือบคลุมหรือไม่ ต้องอ่านคำฟ้องและเอกสารท้ายฟ้องประกอบกัน ปัญหาเรื่องฟ้องโจทก์ขาดสาระสำคัญบางประการ จำเลยมิได้ยกขึ้นว่ากันมาในศาลชั้นต้น เพิ่งยกขึ้นอ้างในชั้นอุทธรณ์ แม้ศาลอุทธรณ์จะวินิจฉัยให้ ก็ไม่ถือว่าเป็นข้อที่ยกขึ้นว่ากันมาแล้วในชั้นศาลอุทธรณ์ ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัย.
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3219/2534
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การพิทักษ์ทรัพย์เด็ดขาดจากหนี้สินล้นพ้นตัว โดยมีหนี้ถึงที่สุดและข้อสันนิษฐานตามกฎหมาย
โจทก์มีหนังสือทวงถามจำเลยที่ 2 ซึ่งต้องรับผิดในฐานะผู้ค้ำประกันจำนวนเงินไม่น้อยกว่าห้าหมื่นบาท จำนวนสองครั้งมีระยะเวลาห่างกันไม่น้อยกว่าสามสิบวัน จำเลยได้รับหนังสือทวงถามแล้วไม่ชำระหนี้แก่โจทก์ ต้องด้วยข้อสันนิษฐานว่า เป็นผู้มีหนี้สินล้นพ้นตัว ตามพระราชบัญญัติล้มละลาย พ.ศ. 2483มาตรา 8(9) และเมื่อฟังประกอบหลักฐานอื่นว่า จำเลยที่ 2 ยังเป็นหนี้โจทก์ในคดีอื่นซึ่งถึงที่สุดโดยจำเลยที่ 2 มิได้โต้แย้งถึงความอยู่และแท้จริงของหนี้ดังกล่าว จึงนำข้อเท็จจริงดังกล่าวมาฟังประกอบดุลพินิจเพื่อมีคำสั่งพิทักษ์ทรัพย์จำเลยที่ 2 เด็ดขาดได้.
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2238/2534
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การขอพิจารณาใหม่กรณีส่งหมายเรียกไม่ชอบ การขาดนัด และกรอบเวลาที่กฎหมายกำหนด
จำเลยยื่นคำร้องขอให้พิจารณาใหม่อ้างว่า โจทก์ได้ยื่นคำแถลงเท็จต่อศาลขอประกาศทางหนังสือพิมพ์แทนการส่งหมายเรียกและสำเนาคำฟ้องรวมทั้งวันนัดสืบพยานโจทก์แก่จำเลย ตลอดจนขอให้ศาลประกาศให้จำเลยทราบคำบังคับที่หน้าศาล โดยอ้างว่าไม่ทราบที่อยู่ของจำเลย ศาลหลงเชื่อจึงอนุญาตให้ประกาศโฆษณาทางหนังสือพิมพ์ ซึ่งไม่ใช่หนังสือพิมพ์ที่แพร่หลายในหมู่ประชาชน จำเลยไม่ทราบการให้จำเลยยื่นคำให้การแก้คดี การนัดสืบพยานโจทก์และการประกาศคำบังคับ หากได้ความว่าเป็นความจริงดังที่จำเลยอ้าง การส่งหมายเรียกและสำเนาคำฟ้องรวมทั้งวันนัดสืบพยานโจทก์ ตลอดจนการส่งคำบังคับแก่จำเลยก็ไม่ชอบด้วยกฎหมาย เมื่อไม่มีการส่งคำบังคับโดยชอบ จำเลยย่อมยื่นคำร้องขอให้พิจารณาใหม่เมื่อใดก็ได้ หาตกอยู่ในบังคับของประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา208 วรรคหนึ่ง ไม่
ศาลชั้นต้นมีคำสั่งยกคำร้องขอให้พิจารณาใหม่ของจำเลยโดยอ้างว่า จำเลยยื่นคำร้องขอให้พิจารณาใหม่เกินกำหนดหกเดือนนับแต่วันที่ได้ยึดทรัพย์หรือได้มีการบังคับตามคำพิพากษาตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา208 โดยยังมิได้วินิจฉัยว่า จำเลยจงใจขาดนัดยื่นคำให้การและขาดนัดพิจารณาหรือไม่ ศาลอุทธรณ์พิพากษายกคำสั่งศาลชั้นต้น ให้ศาลชั้นต้นดำเนินการไต่สวนคำร้องของจำเลยและมีคำสั่งใหม่ตามรูปคดีแล้ว ศาลอุทธรณ์จึงไม่จำต้องวินิจฉัยในประเด็นที่จำเลยอุทธรณ์ว่า การส่งหมายเรียกและสำเนาคำฟ้องรวมทั้งวันนัดสืบพยานโจทก์แก่จำเลยไม่ชอบ จำเลยมิได้จงใจขาดนัดยื่นคำให้การและขาดนัดพิจารณา
ศาลชั้นต้นมีคำสั่งยกคำร้องขอให้พิจารณาใหม่ของจำเลยโดยอ้างว่า จำเลยยื่นคำร้องขอให้พิจารณาใหม่เกินกำหนดหกเดือนนับแต่วันที่ได้ยึดทรัพย์หรือได้มีการบังคับตามคำพิพากษาตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา208 โดยยังมิได้วินิจฉัยว่า จำเลยจงใจขาดนัดยื่นคำให้การและขาดนัดพิจารณาหรือไม่ ศาลอุทธรณ์พิพากษายกคำสั่งศาลชั้นต้น ให้ศาลชั้นต้นดำเนินการไต่สวนคำร้องของจำเลยและมีคำสั่งใหม่ตามรูปคดีแล้ว ศาลอุทธรณ์จึงไม่จำต้องวินิจฉัยในประเด็นที่จำเลยอุทธรณ์ว่า การส่งหมายเรียกและสำเนาคำฟ้องรวมทั้งวันนัดสืบพยานโจทก์แก่จำเลยไม่ชอบ จำเลยมิได้จงใจขาดนัดยื่นคำให้การและขาดนัดพิจารณา
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1675/2534
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การบังคับคดีตามคำพิพากษาศาลฎีกาให้แบ่งทรัพย์มรดกโดยการขายทอดตลาด แม้ผู้จัดการมรดกจะคัดค้าน
ศาลฎีกามีคำพิพากษาถึงที่สุดให้แบ่งทรัพย์มรดกที่พิพาทถ้าตกลงแบ่งกันไม่ได้ให้ประมูลขายระหว่างทายาทหรือขายทอดตลาด เอาเงินแบ่งกันตามส่วน คำพิพากษาของศาลฎีกาย่อมผูกพันโจทก์ เมื่อที่ดินพร้อมสิ่งปลูกสร้างอันเป็นทรัพย์มรดกที่พิพาท ไม่สามารถตกลงแบ่งกันได้ ดังนี้กรณีต้องบังคับคดีต่อไปตาม คำพิพากษาศาลฎีกานั้น
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1594/2534
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การแต่งตั้งผู้จัดการมรดก: การปิดบังข้อมูลทายาทเพื่อฉ้อฉลทรัพย์มรดก และการวินิจฉัยสถานะความเป็นบุตรชอบด้วยกฎหมาย
การที่ผู้คัดค้านยื่นคำร้องขอเข้าเป็นผู้จัดการมรดกของ ป.โดยมิได้ระบุว่าผู้ร้องเป็นทายาทและได้ให้ความยินยอมด้วย และบัญชีเครือญาติท้ายคำร้องมีข้อความเพียงว่าผู้คัดค้านเป็นบุตรของป. กับ อ. เท่านั้น ยังมิใช่กรณีปิดบังทรัพย์มรดกเพื่อฉ้อฉลทายาทอื่น แม้ในคดีที่ผู้คัดค้านพิพาทกับบุคคลอื่นศาลอุทธรณ์จะพิพากษาคดีถึงที่สุดแล้วว่าผู้คัดค้านไม่ได้เป็นบุตรชอบด้วยกฎหมายของ ป.แต่ในคดีดังกล่าวไม่มีประเด็นที่ศาลอุทธรณ์จะวินิจฉัยชี้ขาดว่าผู้คัดค้านเป็นบุตรชอบด้วยกฎหมายของ ป. เพราะเหตุที่ ป.จดทะเบียนสมรสกับ อ. มารดาผู้คัดค้านในภายหลังหรือไม่ ดังนั้นในคดีนี้ศาลชอบที่จะวินิจฉัยประเด็นดังกล่าวซึ่งผู้ร้องยกขึ้นเป็นข้อต่อสู้โดยตรงได้.
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1594/2534 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การแต่งตั้งผู้จัดการมรดก: การพิสูจน์ความเป็นทายาทและเจตนาปิดบังทรัพย์มรดก
การที่ผู้คัดค้านยื่นคำร้องขอเข้าเป็นผู้จัดการมรดกของ ป.โดยมิได้ระบุว่าผู้ร้องเป็นทายาทและได้ให้ความยินยอมด้วย และบัญชีเครือญาติท้ายคำร้องมีข้อความเพียงว่าผู้คัดค้านเป็นบุตรของ ป.กับ อ.เท่านั้น ยังมิใช่กรณีปิดบังทรัพย์มรดกเพื่อฉ้อฉลทายาทอื่น
แม้ในคดีที่ผู้คัดค้านพิพาทกับบุคคลอื่นศาลอุทธรณ์จะพิพากษาคดีถึงที่สุดแล้วว่าผู้คัดค้านไม่ได้เป็นบุตรชอบด้วยกฎหมายของ ป. แต่ในคดีดังกล่าวไม่มีประเด็นที่ศาลอุทธรณ์จะวินิจฉัยชี้ขาดว่าผู้คัดค้านเป็นบุตรชอบด้วยกฎหมายของ ป.เพราะเหตุที่ ป.จดทะเบียนสมรสกับ อ.มารดาผู้คัดค้านในภายหลังหรือไม่ ดังนั้น ในคดีนี้ศาลชอบที่จะวินิจฉัยประเด็นดังกล่าวซึ่งผู้ร้องยกขึ้นเป็นข้อต่อสู้โดยตรงได้
แม้ในคดีที่ผู้คัดค้านพิพาทกับบุคคลอื่นศาลอุทธรณ์จะพิพากษาคดีถึงที่สุดแล้วว่าผู้คัดค้านไม่ได้เป็นบุตรชอบด้วยกฎหมายของ ป. แต่ในคดีดังกล่าวไม่มีประเด็นที่ศาลอุทธรณ์จะวินิจฉัยชี้ขาดว่าผู้คัดค้านเป็นบุตรชอบด้วยกฎหมายของ ป.เพราะเหตุที่ ป.จดทะเบียนสมรสกับ อ.มารดาผู้คัดค้านในภายหลังหรือไม่ ดังนั้น ในคดีนี้ศาลชอบที่จะวินิจฉัยประเด็นดังกล่าวซึ่งผู้ร้องยกขึ้นเป็นข้อต่อสู้โดยตรงได้
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1589/2534
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
หุ้นส่วนร่วมรับผิดค่าเช่ารถ แม้ไม่ได้ลงชื่อในสัญญาเช่า หากมีส่วนร่วมในการทำสัญญาและรับประโยชน์
จำเลยฎีกาว่า ฟ้องโจทก์ไม่ได้บรรยายว่า จำเลยร่วมกันเข้าหุ้นส่วนอย่างไร จำเลยคนไหนแต่ผู้เดียวหรือร่วมกับใครบ้างมาทำสัญญาเช่าฉบับไหน เมื่อใด ครั้งไหนที่แทนกัน มีใบมอบอำนาจหรือตั้งตัวแทนหรือไม่ โดยเฉพาะข้อที่โจทก์อ้างว่าจำเลยเข้าหุ้นส่วนโจทก์จะต้องบรรยายให้เข้าลักษณะหุ้นส่วนตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1026 ว่าจำเลยคนไหนลงหุ้นอย่างไร ด้วยอะไร อันจะถือว่าเป็นหุ้นส่วน ฟ้องโจทก์จึงไม่ชัดเจนเป็นฟ้องเคลือบคลุม นั้น เมื่อจำเลยมิได้ให้การต่อสู้ไว้ว่าฟ้องโจทก์เคลือบคลุมด้วยเหตุดังที่จำเลยฎีกามาดังกล่าว จึงเป็นข้อที่มิได้ยกขึ้นว่ากันมาแล้วในศาลชั้นต้น และมิใช่ข้อกฎหมายอันเกี่ยวด้วยความสงบเรียบร้อยของประชาชน ศาลฎีกาจึงไม่รับวินิจฉัย แม้ฟ้องโจทก์จะมิได้บรรยายให้ชัดแจ้งว่า จำเลยร่วมกันเป็นหุ้นส่วนอย่างไรก็ตาม แต่การที่จำเลยแต่ละคนจะเข้าหุ้นส่วนกันอย่างไร เป็นรายละเอียดที่โจทก์นำสืบได้ในชั้นพิจารณา โจทก์ไม่จำเป็นต้องบรรยายมาในฟ้องก็ได้ การนำสืบของโจทก์ในข้อนี้จึงชอบด้วยกฎหมาย และไม่ต้องห้ามมิให้รับฟัง โจทก์ในคดีนี้มิได้เป็นคู่ความในคดีก่อน ดังนั้น จึงไม่อาจนำข้อเท็จจริงตามคำพิพากษาศาลฎีกาในคดีก่อนมาฟังเป็นยุติในคดีนี้ได้ จำเลยที่ 3 เป็นหุ้นส่วนกับจำเลยที่ 1 ที่ 2 และที่ 4รับเหมาช่วงงานก่อสร้างทางพิพาทจากบริษัท ภ. จำเลยที่ 3จึงต้องร่วมรับผิดกับจำเลยอื่นในอันที่จะต้องชำระค่าเช่ารถแทรกเตอร์ที่ค้างชำระอยู่แก่โจทก์ด้วย แม้จำเลยที่ 3 จะมิได้ลงชื่อเป็นผู้เช่าหรือมอบหมายเป็นหนังสือให้จำเลยอื่นลงชื่อในสัญญาเช่ารถแทรกเตอร์แทนจำเลยที่ 3 ก็ตาม จำเลยที่ 3 ฎีกาว่า สัญญาเช่าที่โจทก์อ้างน่าจะไม่เป็นความจริงโจทก์อาจเพิ่งมาทำขึ้นภายหลังโดยคบคิดกับจำเลยที่ 2 และที่ 4เพื่อโยนความรับผิดไปยังจำเลยที่ 1 และที่ 3 ซึ่งมีฐานะการเงินมั่นคงอยู่ นั้น เป็นข้อที่มิได้ยกขึ้นว่ากันมาแล้วในศาลชั้นต้น และมิใช่ข้อกฎหมายอันเกี่ยวด้วยความสงบเรียบร้อยของประชาชนศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัยให้ ศาลชั้นต้นชี้สองสถานกำหนดประเด็นข้อพิพาทไว้ 3 ข้อ คือ1.ฟ้องโจทก์เคลือบคลุมหรือไม่ 2.จำเลยทั้งห้าเป็นหุ้นส่วนกันหรือไม่และ 3.จำเลยเช่ารถตามฟ้องใช่หรือไม่ ดังนี้ ประเด็นว่าค่าเช่ารถมีเพียงไร ย่อมเป็นผลสืบเนื่องจากเมื่อวินิจฉัยประเด็นข้อ 3 แล้วจึงถือว่าอยู่ในประเด็นข้อ 3 ด้วย ดังนั้น แม้ศาลชั้นต้นจะมิได้กำหนดประเด็นข้อพิพาทในเรื่องค่าเช่าอีก ก็ถือว่าคดีมีประเด็นเรื่องค่าเช่าด้วย โจทก์จึงมีสิทธินำสืบในประเด็นค่าเช่า และศาลมีอำนาจวินิจฉัยให้ได้ บริษัทภ.รับเหมาก่อสร้างทางให้แก่กรมทางหลวง และบริษัทภ.ได้ให้จำเลยรับเหมาช่วงงานก่อสร้างทางดังกล่าวซึ่งจำเลยก็ได้เช่ารถแทรกเตอร์ของโจทก์ไปใช้ในการก่อสร้างทางดังกล่าว แต่จำเลยไม่สามารถสร้างทางให้แล้วเสร็จภายในกำหนดในสัญญา ดังนี้จำเลยจะถือเอาวันที่กรมทางหลวงบอกเลิกสัญญากับบริษัทภ. เป็นวันที่สัญญาเช่ารถแทรกเตอร์ระงับ และให้คิดค่าเช่าถึงวันดังกล่าวหาได้ไม่ เพราะวันเลิกสัญญาก่อสร้างทางกับวันที่จำเลยเช่าและผิดนัดไม่ชำระค่าเช่ารถแทรกเตอร์เป็นคนละส่วนแยกออกจากกันได้