คำพิพากษาที่เกี่ยวข้องกับกฎหมาย
ป.วิ.พ. ม. 145

พบผลลัพธ์ทั้งหมด 1,236 รายการ

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 120/2534

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การครอบครองที่ดินพิพาท การเพิกถอนนิติกรรมโอนมรดก และอำนาจของศาลในการบังคับเจ้าพนักงานที่ดิน
ที่โจทก์ฟ้องขอให้ใส่ชื่อโจทก์เป็นผู้มีสิทธิครอบครองแต่ผู้เดียวใน น.ส.3 ที่พิพาทเป็นคำขอเพื่อให้เจ้าพนักงานที่ดินจดทะเบียนโอนที่พิพาทเป็นของโจทก์ แต่เจ้าพนักงานที่ดินเป็นบุคคลภายนอก และกรณีไม่ต้องด้วยข้อยกเว้นที่ให้คำพิพากษาของศาลมีผลผูกพันบุคคลภายนอกที่บัญญัติไว้ในประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา 145 ศาลจึงไม่อาจสั่งเพื่อบังคับเจ้าพนักงานที่ดินให้กระทำการตามที่โจทก์ประสงค์ได้

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 6/2534 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การคุ้มครองชั่วคราวในระหว่างอุทธรณ์ สัญญาภาระจำยอมยังไม่ยุติ ศาลชอบที่จะมีคำสั่งคุ้มครองประโยชน์โจทก์ได้
โจทก์ยื่นคำร้องขอคุ้มครองชั่วคราวในขณะที่คดีอยู่ระหว่างพิจารณาของศาลอุทธรณ์ แม้ศาลชั้นต้นจะพิพากษายกฟ้อง โดยวินิจฉัยว่าสัญญาภาระจำยอมระหว่างโจทก์กับจำเลยได้เลิกกันไปแล้วไม่อาจใช้บังคับกันได้อีกต่อไป แต่ข้อเท็จจริงนี้หาได้ยุติไม่ ศาลอุทธรณ์อาจวินิจฉัยว่าสัญญาภาระจำยอมยังคงบังคับได้ และพิพากษาให้โจทก์ชนะคดีก็ได้ ทั้งปรากฏตามคำฟ้อง คำให้การ คำร้อง และคำร้องคัดค้านว่า ตามคำฟ้องและโอกาสที่โจทก์ยื่นคำร้องนั้นมีเหตุสมควรและเพียงพอที่จะนำวิธีคุ้มครองชั่วคราวก่อนมีคำพิพากษามาใช้ครบถ้วนตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 255(1) และ (2) แล้วศาลอุทธรณ์ชอบที่จะมีคำสั่งอนุญาตตามคำร้องของโจทก์ ให้ศาลชั้นต้นมีหนังสือแจ้งสำนักงานที่ดินที่ที่พิพาทตั้งอยู่ห้ามจำเลยจดทะเบียนสิทธิหรือทำนิติกรรมใด ๆ เกี่ยวกับที่พิพาทเฉพาะส่วนตามสัญญาภารจำยอมไว้ในระหว่างอุทธรณ์ได้โดยไม่จำเป็นต้องไต่สวนพยานหลักฐานของคู่ความก่อน

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 6039/2533

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การเพิกถอนนิติกรรมซื้อขายจำนองที่ดินกระทบสิทธิบุคคลภายนอกคดี ศาลไม่อาจพิพากษาได้
โจทก์ฟ้องขอให้เพิกถอนสัญญาซื้อขายที่ดินพิพาทระหว่างมารดาโจทก์กับจำเลยที่ 1 และสัญญาจำนองที่ดินพิพาทระหว่างมารดาโจทก์กับจำเลยที่ 3 และระหว่างจำเลยที่ 1 กับจำเลยที่ 3 และใส่ชื่อโจทก์เป็นเจ้าของในที่ดินพิพาทตามส่วน แต่ที่ดินพิพาทก่อนทำนิติกรรมดังกล่าวมีชื่อมารดาโจทก์ซึ่งมิได้ถูกฟ้องหรือเป็นคู่ความในคดีด้วยเป็นเจ้าของ ศาลไม่อาจพิจารณาพิพากษาตามคำขอให้มีผลกระทบกระเทือนสิทธิของมารดาโจทก์ซึ่งเป็นบุคคลภายนอกคดีได้ปัญหานี้เป็นข้อกฎหมายอันเกี่ยวด้วยความสงบเรียบร้อยของประชาชนศาลฎีกายกขึ้นวินิจฉัยเองได้.

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 6039/2533 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ สิทธิในที่ดินมรดก: ศาลไม่อาจพิพากษาให้กระทบสิทธิบุคคลภายนอกคดี
โจทก์ฟ้องขอให้เพิกถอนสัญญาซื้อขายที่ดินพิพาทระหว่างมารดาโจทก์กับจำเลยที่ 1 และสัญญาจำนองที่ดินพิพาทระหว่างมารดาโจทก์กับจำเลยที่ 3 และระหว่างจำเลยที่ 1 กับจำเลยที่ 3 และใส่ชื่อโจทก์เป็นเจ้าของในที่ดินพิพาทตามส่วน แต่ที่ดินพิพาทก่อนทำนิติกรรมดังกล่าวมีชื่อมารดาโจทก์ซึ่งมิได้ถูกฟ้องหรือเป็นคู่ความในคดีด้วยเป็นเจ้าของ ศาลไม่อาจพิจารณาพิพากษาตามคำขอให้มีผลกระทบกระเทือนสิทธิของมารดาโจทก์ซึ่งเป็นบุคคลภายนอกคดีได้ ปัญหานี้เป็นข้อกฎหมายอันเกี่ยวด้วยความสงบเรียบร้อยของประชาชนศาลฎีกายกขึ้นวินิจฉัยเองได้

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 5974/2533

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ สิทธิในมรดกและการครอบครองปรปักษ์: ทายาทร่วมมีสิทธิเหนือผู้ครอบครองโดยมิชอบ
คดีเดิม ศาลมีคำสั่งว่าที่พิพาทเป็นกรรมสิทธิ์ของจำเลยโดยการครอบครองปรปักษ์คดีถึงที่สุดแล้ว โจทก์จึงไม่อาจฟ้องขอให้เพิกถอนคำสั่งดังกล่าว แต่ไม่ตัดสิทธิโจทก์ที่จะฟ้องว่าโจทก์และทายาทอื่นมีสิทธิในที่พิพาทดีกว่าจำเลยไม่ต้องผูกพันตามคำสั่งดังกล่าว ในคดีนี้โจทก์บรรยายฟ้องว่าโจทก์ จำเลยกับทายาทอื่นเป็นทายาทผู้มีสิทธิรับมรดกที่พิพาทเฉพาะส่วนของผู้ตายที่โจทก์เป็นผู้จัดการมรดกซึ่งยังไม่ได้รังวัดแบ่งแยกกรรมสิทธิ์ ทุกคนจึงเป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์ร่วมกัน แต่จำเลยบังอาจยื่นคำร้องและเบิกความพร้อมกับแสดงพยานหลักฐานอันเป็นเท็จต่อศาล จนศาลหลงเชื่อว่าจำเลยเป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์ที่พิพาทเพียงผู้เดียว จึงมีคำสั่งว่าที่พิพาทเป็นกรรมสิทธิ์ของจำเลย ทำให้โจทก์และทายาทอื่นเสียหาย ขอให้เพิกถอนคำสั่งดังกล่าว คำฟ้องของโจทก์พอจะแปลความหมายได้ว่าโจทก์ประสงค์ขอให้ศาลพิพากษาว่า โจทก์และทายาทอื่นมีสิทธิในที่พิพาทดีกว่าจำเลย ขอให้คำสั่งดังกล่าวไม่ผูกพันโจทก์ คำขอท้ายฟ้องในข้อนี้จึงบังคับได้ ส่วนคำขอท้ายฟ้องอีกข้อที่ขอให้พิพากษาให้เจ้าพนักงานที่ดินกรุงเทพมหานคร สาขาบางเขน ยุติการดำเนินการจดทะเบียนแก้ไขชื่อ ผู้ถือกรรมสิทธิ์ตามคำสั่งดังกล่าวข้างต้น หรือหากได้จดทะเบียนแล้วก็ให้จัดการแก้ไขให้อยู่ในสภาพเดิมนั้น เจ้าพนักงานที่ดินดังกล่าวเป็นบุคคลภายนอกคดี เมื่อโจทก์ไม่ได้ฟ้องเจ้าพนักงานที่ดินเป็นจำเลยในคดีนี้ด้วยศาลก็ไม่อาจพิพากษาถึงเจ้าพนักงานที่ดินนั้นได้ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา 145 วรรคสอง คำบรรยายฟ้องดังกล่าวข้างต้นของโจทก์เป็นการฟ้องเรียกทรัพย์มรดกจากจำเลยรวมเข้ากองมรดกเพื่อจัดการแบ่งปันให้แก่ทายาทต่อไป ซึ่งเป็นเรื่องการจัดการมรดกที่ยังจัดการไม่เสร็จ หาใช่เรื่องฟ้องแบ่งมรดกอันมีอายุความ 1 ปี ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา 1754 ไม่ โจทก์ จำเลย และทายาทอื่นของผู้ตายได้อาศัยสิทธิของผู้ตายเข้าปลูกบ้านอาศัยในที่พิพาทตั้งแต่ก่อนผู้ตายถึงแก่ความตาย และยังร่วมกันครอบครองที่พิพาทซึ่งเป็นมรดกที่ยังไม่ได้แบ่งในฐานะทายาทผู้มีสิทธิรับมรดกตลอดมาแม้ภายหลังผู้ตายถึงแก่ความตายแล้ว ถือได้ว่าจำเลยได้ครอบครองที่พิพาทแทนโจทก์และทายาทอื่น จำเลยย่อมไม่ได้กรรมสิทธิ์ในที่พิพาทโดยการครอบครองปรปักษ์ โจทก์และทายาทอื่นจึงมีสิทธิในที่พิพาทดีกว่าจำเลย จำเลยไม่อาจใช้คำสั่งศาลในคดีเดิม ที่แสดงว่าที่พิพาทเป็นของจำเลยโดยการครอบครองปรปักษ์มายันโจทก์และทายาทอื่นได้.

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 5974/2533 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ สิทธิในที่ดินมรดก: การครอบครองร่วมกันของทายาทไม่ถือเป็นการครอบครองปรปักษ์
คดีเดิม ศาลมีคำสั่งว่าที่พิพาทเป็นกรรมสิทธิ์ของจำเลยโดยการครอบครองปรปักษ์คดีถึงที่สุดแล้ว โจทก์จึงไม่อาจฟ้องขอให้เพิกถอนคำสั่งดังกล่าว แต่ไม่ตัดสิทธิโจทก์ที่จะฟ้องว่าโจทก์และทายาทอื่นมีสิทธิในที่พิพาทดีกว่าจำเลยไม่ต้องผูกพันตามคำสั่งดังกล่าว ในคดีนี้โจทก์บรรยายฟ้องว่าโจทก์ จำเลยกับทายาทอื่นเป็นทายาทผู้มีสิทธิรับมรดกที่พิพาทเฉพาะส่วนของผู้ตายที่โจทก์เป็นผู้จัดการมรดกซึ่งยังไม่ได้ รังวัดแบ่งแยกกรรมสิทธิ์ ทุกคนจึงเป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์ร่วมกัน แต่จำเลยบังอาจยื่นคำร้องและเบิกความพร้อมกับแสดงพยานหลักฐานอันเป็นเท็จต่อศาล จนศาลหลงเชื่อว่าจำเลยเป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์ที่พิพาทเพียงผู้เดียว จึงมีคำสั่งว่าที่พิพาทเป็นกรรมสิทธิ์ของจำเลย ทำให้โจทก์และทายาทอื่นเสียหาย ขอให้เพิกถอนคำสั่งดังกล่าว คำฟ้องของโจทก์พอจะแปลความหมายได้ว่าโจทก์ประสงค์ขอให้ศาลพิพากษาว่า โจทก์และทายาทอื่นมีสิทธิในที่พิพาทดีกว่าจำเลย ขอให้คำสั่งดังกล่าวไม่ผูกพันโจทก์ คำขอท้ายฟ้องในข้อนี้จึงบังคับได้ ส่วนคำขอท้ายฟ้องอีกข้อที่ขอให้พิพากษาให้เจ้าพนักงานที่ดินกรุงเทพมหานคร สาขาบางเขน ยุติการดำเนินการจดทะเบียนแก้ไขชื่อ ผู้ถือกรรมสิทธิ์ตามคำสั่งดังกล่าวข้างต้น หรือหากได้จดทะเบียนแล้วก็ให้จัดการแก้ไขให้อยู่ในสภาพเดิมนั้น เจ้าพนักงานที่ดินดังกล่าวเป็นบุคคลภายนอกคดี เมื่อโจทก์ไม่ได้ฟ้องเจ้าพนักงานที่ดินเป็นจำเลยในคดีนี้ด้วยศาลก็ไม่อาจพิพากษาถึงเจ้าพนักงานที่ดินนั้นได้ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา 145 วรรคสอง
คำบรรยายฟ้องดังกล่าวข้างต้นของโจทก์เป็นการฟ้องเรียกทรัพย์มรดกจากจำเลยรวมเข้ากองมรดกเพื่อจัดการแบ่งปันให้แก่ทายาทต่อไป ซึ่งเป็นเรื่องการจัดการมรดกที่ยังจัดการไม่เสร็จ หาใช่เรื่องฟ้องแบ่งมรดกอันมีอายุความ 1 ปี ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา 1754 ไม่
โจทก์ จำเลย และทายาทอื่นของผู้ตายได้อาศัยสิทธิของผู้ตายเข้าปลูกบ้านอาศัยในที่พิพาทตั้งแต่ก่อนผู้ตายถึงแก่ความตาย และยังร่วมกันครอบครองที่พิพาทซึ่งเป็นมรดกที่ยังไม่ได้แบ่งในฐานะทายาทผู้มีสิทธิรับมรดกตลอดมาแม้ภายหลังผู้ตายถึงแก่ความตายแล้ว ถือได้ว่าจำเลยได้ครอบครองที่พิพาทแทนโจทก์และทายาทอื่น จำเลยย่อมไม่ได้กรรมสิทธิ์ในที่พิพาทโดยการครอบครองปรปักษ์ โจทก์และทายาทอื่นจึงมีสิทธิในที่พิพาทดีกว่าจำเลย จำเลยไม่อาจใช้คำสั่งศาลในคดีเดิม ที่แสดงว่าที่พิพาทเป็นของจำเลยโดยการครอบครองปรปักษ์มายันโจทก์และทายาทอื่นได้.

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 5455/2533

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ สัญญาประนีประนอมยอมความผู้เยาว์: ผลผูกพันตามคำพิพากษาตามยอม แม้มิได้ขออนุญาตศาล
สัญญาประนีประนอมยอมความที่จำเลยที่ 1 ในฐานะผู้แทนโดยชอบธรรมทำแทนจำเลยที่ 3 ผู้เยาว์ในศาล โดยมิได้ขออนุญาตจากศาลตามป.พ.พ. มาตรา 1574 ก่อน แต่เป็นการทำสัญญาประนีประนอมยอมความกันในศาลชั้นต้นซึ่งมีอำนาจอนุญาตให้ผู้แทนโดยชอบธรรมทำแทนผู้เยาว์และศาลชั้นต้นพิพากษาตามยอม คดีถึงที่สุดแล้ว คำพิพากษาตามยอมมีผลผูกพันจำเลยที่ 3 ผู้เยาว์ตาม ป.วิ.พ. มาตรา 145.

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 5455/2533 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ สัญญาประนีประนอมยอมความที่ผู้แทนทำแทนผู้เยาว์โดยไม่ขออนุญาตศาล มีผลผูกพันผู้เยาว์หรือไม่
สัญญาประนีประนอมยอมความที่จำเลยที่ 1 ในฐานะผู้แทนโดยชอบธรรมทำแทนจำเลยที่ 3 ผู้เยาว์ในศาล โดยมิได้ขออนุญาตจากศาลตาม ป.พ.พ. มาตรา 1574 ก่อน แต่เป็นการทำสัญญาประนีประนอมยอมความกันในศาลชั้นต้นซึ่งมีอำนาจอนุญาตให้ผู้แทนโดยชอบธรรมทำแทนผู้เยาว์และศาลชั้นต้นพิพากษาตามยอม คดีถึงที่สุดแล้ว คำพิพากษาตามยอมมีผลผูกพันจำเลยที่ 3 ผู้เยาว์ตาม ป.วิ.พ.มาตรา 145

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4993/2533

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ สิทธิครอบครองที่ดิน: ผลของคำพิพากษาคดีก่อน และการไม่ขาดสิทธิฟ้องภายใน 1 ปี
ประเด็นในคดีก่อนมีว่า โจทก์ (จำเลยที่ 1 คดีนี้) หรือจำเลย(โจทก์คดีนี้) ครอบครองที่ดินพิพาท ส่วนประเด็นในคดีนี้มีว่าโจทก์ได้ซื้อและครอบครองที่ดินพิพาทจนเป็นเจ้าของแล้วจำเลยได้บุกรุกที่ดินของโจทก์หรือไม่ ซึ่งศาลจำต้องวินิจฉัยประเด็นทั้งสองว่าใครเป็นผู้มีสิทธิครอบครองที่ดินพิพาทเช่นเดียวกันจึงเป็นประเด็นอย่างเดียวกัน ปัญหาว่าโจทก์ไม่ฟ้องเรียกคืนซึ่งการครอบครองที่ดินพิพาทภายใน 1 ปี นับแต่เวลาถูกรบกวนการครอบครองหรือถูกแย่งการครอบครองจึงขาดสิทธิที่จะฟ้องเรียกคืนซึ่งการครอบครองที่ดินพิพาทนั้นแม้ศาลชั้นต้นมิได้กำหนดเป็นประเด็นข้อพิพาทไว้และจำเลยมิได้โต้แย้งคัดค้านไว้ก็ตามแต่เป็นปัญหาเกี่ยวด้วยความสงบเรียบร้อยของประชาชน ศาลฎีกาเห็นสมควรยกขึ้นวินิจฉัยได้เพราะจำเลยให้การต่อสู้ไว้ตั้งแต่ต้น จำเลยเพิ่งเข้าไปครอบครองปลูกต้นมันสำปะหลังในที่ดินพิพาทเมื่อประมาณเดือนมีนาคม 2521 และต่อมาจำเลยที่ 1 ก็ได้ฟ้องโจทก์กับพวกเป็นจำเลยเมื่อวันที่ 13 กันยายน 2521 ศาลฎีกาพิพากษาเมื่อปี 2526 การที่จำเลยที่ 1 ครอบครองที่ดินพิพาทในระหว่างที่ศาลพิจารณาคดีที่จำเลยที่ 1 ฟ้องโจทก์ขอให้ห้ามเกี่ยวข้องกับที่ดินพิพาทโดยอ้างว่าเป็นของจำเลยที่ 1 นั้น จำเลยที่ 1 จะยกเอาสิทธิแห่งการครอบครองมายันโจทก์ซึ่งเป็นคู่ความในคดีนั้นหาได้ไม่การที่โจทก์ฟ้องคดีนี้เมื่อวันที่ 3 กรกฎาคม 2522 จึงยังไม่ขาดสิทธิฟ้องคดีเพื่อเอาคืนซึ่งการครอบครองแต่อย่างใด.

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4817-4818/2533

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ สิทธิครอบครองที่ดิน - ไถ่ถอนจำนอง - ผลกระทบต่อสิทธิเจ้าหนี้
คำขอให้จำเลยทั้งสามจัดการไถ่ถอนจำนองเพื่อให้ที่ดินของโจทก์ทั้งสองปลอดจากการจำนอง ถ้าโจทก์มิได้ฟ้องผู้รับจำนองเข้ามาด้วยศาลไม่อาจพิพากษาให้ตามคำขอส่วนนี้ ซึ่งจะมีผลกระทบกระเทือนสิทธิของผู้รับจำนองได้
of 124