พบผลลัพธ์ทั้งหมด 1,236 รายการ
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 619/2518 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ข้อเท็จจริงยุติในคดีก่อนไม่ผูกมัดคดีหลัง ศาลพิจารณาพยานหลักฐานในสำนวนคดีปัจจุบันเป็นสำคัญ
ในคดีก่อนจำเลยเข้าเป็นโจทก์ร่วมกับพนักงานอัยการฟ้องโจทก์ในความผิดต่อพระราชบัญญัติว่าด้วยความผิดอัน เกิดจากการใช้เช็ค และเบิกความว่าโจทก์ออกเช็คแลกเงินสดไปจากจำเลย ศาลพิพากษายกฟ้องโดยฟังข้อเท็จจริงว่า โจทก์ออกเช็คดังกล่าวให้จำเลยเป็นประกันการกู้ยืม โจทก์จึงมาฟ้องจำเลยกล่าวหาจำเลยฟ้องเท็จและเบิกความเท็จในคดีก่อน ดังนี้คำชี้ขาดของศาลในข้อเท็จจริงในคดีก่อนนั้นต้องถือว่ายุติระหว่างโจทก์จำเลยในคดีนั้น ส่วนคดีหลังนี้ก็ชอบที่ศาลจะต้องพิจารณาพยานหลักฐานที่ปรากฏในสำนวนคดีนี้เป็นสำคัญ จะถือเอาข้อเท็จจริงซึ่งยุติในคดีก่อนมาผูกมัดให้ศาลวินิจฉัยคดีหลังตามหาได้ไม่ ข้อเท็จจริงดังกล่าวเป็นเพียงพยานหลักฐานส่วนหนึ่งซึ่งศาลอาจใช้ประกอบการพิจารณาคดีหลังเท่านั้น ศาลจึงวินิจฉัยคดีหลังนี้โดยไม่ต้องถือตามข้อเท็จจริงในคดีเรื่องก่อน
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2611/2517
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ผลผูกพันคำพิพากษาตามสัญญาประนีประนอมยอมความ การเพิกถอนสัญญาเนื่องจากสำคัญผิด
ในคดีก่อน จำเลยฟ้องโจทก์ทั้งสองในฐานะผู้ค้ำประกันให้ชำระหนี้เงินกู้คู่ความทำสัญญาประนีประนอมยอมความกัน โดยโจทก์ทั้งสองยอมชำระหนี้ให้แก่จำเลยตามฟ้องและศาลพิพากษาตามยอมแล้ว ต่อมาโจทก์ทั้งสองมาฟ้องจำเลยขอให้เพิกถอนสัญญาประนีประนอมยอมความที่ทำไว้ในคดีก่อน และพิพากษาว่า คำพิพากษาในคดีนั้นไม่ผูกพันโจทก์ทั้งสองโดยอ้างว่าทำไปเพราะสำคัญผิดว่าลูกหนี้ยังไม่ได้ชำระเงินกู้ให้จำเลยซึ่งความจริงลูกหนี้ชำระให้เสร็จสิ้นแล้ว ดังนี้หาได้ไม่เพราะคำพิพากษาของศาลในคดีก่อนนั้นย่อมผูกพันคู่ความในกระบวนพิจารณาของศาลที่พิพากษานับตั้งแต่วันที่ได้พิพากษาจนถึงวันที่คำพิพากษาได้ถูกเปลี่ยนแปลงแก้ไขกลับหรืองดเสียถ้าหากมีตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 145
เรื่องอำนาจฟ้องเป็นข้อกฎหมายเกี่ยวด้วยความสงบเรียบร้อยของประชาชนแม้ไม่มีฝ่ายใดอ้างขึ้นมา เมื่อศาลฎีกาเห็นสมควรก็ยกขึ้นวินิจฉัยเองได้
เรื่องอำนาจฟ้องเป็นข้อกฎหมายเกี่ยวด้วยความสงบเรียบร้อยของประชาชนแม้ไม่มีฝ่ายใดอ้างขึ้นมา เมื่อศาลฎีกาเห็นสมควรก็ยกขึ้นวินิจฉัยเองได้
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2611/2517 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ผลผูกพันคำพิพากษาตามสัญญาประนีประนอมยอมความ และการฟ้องเพิกถอนสัญญาจากข้อสำคัญผิด
ในคดีก่อน จำเลยฟ้องโจทก์ทั้งสองในฐานะผู้ค้ำประกันให้ชำระหนี้เงินกู้ คู่ความทำสัญญาประนีประนอมยอมความกันโดย โจทก์ทั้งสองยอมชำระหนี้ให้แก่จำเลยตามฟ้องและศาลพิพากษาตามยอมแล้ว ต่อมาโจทก์ทั้งสองมาฟ้องจำเลยขอให้เพิกถอนสัญญาประนีประนอมยอมความที่ทำไว้ในคดีก่อน และพิพากษาว่า คำพิพากษาในคดีนั้นไม่ผูกพันโจทก์ทั้งสองโดยอ้างว่าทำไปเพราะสำคัญผิดว่าลูกหนี้ยังไม่ได้ชำระเงินกู้ให้จำเลยซึ่งความจริงลูกหนี้ชำระให้เสร็จสิ้นแล้ว ดังนี้หาได้ไม่เพราะคำพิพากษาของศาลในคดีก่อนนั้นย่อมผูกพันคู่ความในกระบวนพิจารณาของศาลที่พิพากษานับตั้งแต่วันที่ได้พิพากษาจนถึงวันที่คำพิพากษาได้ถูกเปลี่ยนแปลงแก้ไขกลับหรืองดเสียถ้าหากมีตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 145
เรื่องอำนาจฟ้องเป็นข้อกฎหมายเกี่ยวด้วยความสงบเรียบร้อยของประชาชนแม้ไม่มีฝ่ายใดอ้างขึ้นมา เมื่อศาลฎีกาเห็นสมควรก็ยกขึ้นวินิจฉัยเองได้
เรื่องอำนาจฟ้องเป็นข้อกฎหมายเกี่ยวด้วยความสงบเรียบร้อยของประชาชนแม้ไม่มีฝ่ายใดอ้างขึ้นมา เมื่อศาลฎีกาเห็นสมควรก็ยกขึ้นวินิจฉัยเองได้
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2370/2517 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
สิทธิในที่ดินพิพาท: การถอนอุทธรณ์ทำให้ข้อต่อสู้ยุติ การฎีกาต้องประเด็นที่เคยต่อสู้ในชั้นอุทธรณ์
ศาลชั้นต้นวินิจฉัยว่า สิทธิในที่ดินพิพาทครึ่งหนึ่งเป็นของโจทก์อีกครึ่งหนึ่งเป็นทรัพย์มรดกของสามีโจทก์ซึ่งตกทอดไปยังทายาทซึ่งมีอยู่ทั้งหมด 7 คน คือ ตัวโจทก์เองและบุตรโจทก์อีก 6 คน(รวมทั้งสามีจำเลยด้วย) การที่สามีจำเลยเอาที่พิพาทไปขายฝากก. ได้นั้น ก็เพราะสามีจำเลยขอยืมที่พิพาทไปจากโจทก์โจทก์มิได้ยกที่พิพาทให้แก่สามีจำเลยจริงๆ กรณีเป็นดังนี้ จึงเท่ากับว่าศาลชั้นต้นได้วินิจฉัยชี้ขาดแล้วว่า ที่พิพาทไม่ใช่ทรัพย์สินที่สามีจำเลยหาได้ร่วมกันมาดังที่จำเลยให้การต่อสู้คดีไว้ ฉะนั้น เมื่อจำเลยถอนอุทธรณ์เสียแล้ว ข้อต่อสู้ของจำเลยจึงเป็นอันยุติไปตามคำพิพากษาของศาลชั้นต้น จำเลยไม่ได้ฎีกาโต้แย้งในประเด็นที่ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้ศาลชั้นต้น คงฎีกาแต่เพียงข้อเดียวว่า ที่พิพาทเป็นของจำเลย ศาลฎีกาจึงรับวินิจฉัยให้ไม่ได้ เพราะไม่ใช่เป็นฎีกาในประเด็นที่คู่ความได้ว่ากล่าวกันมาแล้วในชั้นอุทธรณ์
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2370/2517
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การถอนอุทธรณ์ทำให้ข้อต่อสู้ยุติ ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัยประเด็นใหม่ที่ไม่เคยต่อสู้ในชั้นอุทธรณ์
ศาลชั้นต้นวินิจฉัยว่า สิทธิในที่ดินพิพาทครึ่งหนึ่งเป็นของโจทก์ อีกครึ่งหนึ่งเป็นทรัพย์มรดกของสามีโจทก์ซึ่งตกทอดไปยังทายาทซึ่งมีอยู่ทั้งหมด 7 คน คือ ตัวโจทก์เองและบุตรโจทก์อีก 6 คน (รวมทั้งสามีจำเลยด้วย) การที่สามีจำเลยเอาที่พิพาทไปขายฝาก ก. ได้นั้น ก็เพราะสามีจำเลยขอยืมที่พิพาทไปจากโจทก์ โจทก์มิได้ยกที่พิพาทให้แก่สามีจำเลยจริงๆ กรณีเป็นดังนี้ จึงเท่ากับว่าศาลชั้นต้นได้วินิจฉัยชี้ขาดแล้วว่า ที่พิพาทไม่ใช่ทรัพย์สินที่สามีจำเลยหาได้ร่วมกันมาดังที่จำเลยให้การต่อสู้คดีไว้ ฉะนั้น เมื่อจำเลยถอนอุทธรณ์เสียแล้ว ข้อต่อสู้ของจำเลยจึงเป็นอันยุติไปตามคำพิพากษาของศาลชั้นต้น จำเลยไม่ได้ฎีกาโต้แย้งในประเด็นที่ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้ศาลชั้นต้น คงฎีกาแต่เพียงข้อเดียวว่า ที่พิพาทเป็นของจำเลย ศาลฎีกาจึงรับวินิจฉัยให้ไม่ได้ เพราะไม่ใช่เป็นฎีกาในประเด็นที่คู่ความได้ว่ากล่าวกันมาแล้วในชั้นอุทธรณ์
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2128/2517
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การครอบครองที่ดินพิพาทหลังคำพิพากษาถึงที่สุด และอายุความฟ้องร้องเรียกคืนการครอบครอง
เดิมจำเลยฟ้องหาว่าโจทก์บุกรุกที่พิพาท ขอให้ศาลพิพากษาว่าที่พิพาทเป็นของจำเลย ห้ามโจทก์เข้าเกี่ยวข้อง โจทก์ต่อสู้ว่าที่พิพาทเป็นของโจทก์ ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยชนะคดี และนับวันที่ศาลชั้นต้นพิพากษา จำเลยได้เข้าครอบครองทำกินในที่พิพาทแต่ฝ่ายเดียว ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน ศาลฎีกาพิพากษากลับให้ยกฟ้อง จำเลยคงครอบครองที่พิพาทตลอดมา โจทก์จึงฟ้องขอให้ศาลพิพากษาว่าที่พิพาทเป็นของโจทก์ ให้ขับไล่จำเลยและเรียกค่าเสียหาย การที่จำเลยครอบครองที่พิพาทระหว่างคดีในคดีก่อนนั้น จำเลยเข้าครอบครองโดยผลของคำพิพากษาศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์ ซึ่งมิใช่เป็นการแย่งการครอบครองโดยมิชอบด้วยกฎหมาย จำเลยจะอ้างสิทธิแห่งการครอบครองดังกล่าวมายันโจทก์หาได้ไม่ ส่วนที่จำเลยครอบครองที่พิพาทตั้งแต่วันที่ศาลฎีกาพิพากษายกฟ้องมาจนถึงวันที่โจทก์ฟ้องคดีนี้ยังไม่เกิน 1 ปีโจทก์หาหมดสิทธิฟ้องร้องไม่
ในคดีก่อน ศาลฎีกาวินิจฉัยชี้ขาดว่าโจทก์และสามีเป็นฝ่ายครอบครองที่พิพาท จำเลยไม่ได้ครอบครอง จึงไม่มีสิทธิในที่พิพาท คำพิพากษาดังกล่าวยอมผูกพันคู่ความตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 145 จำเลยจะเถียงในคดีนี้ว่าจำเลยได้ครอบครองที่พิพาทหาได้ไม่
การที่จำเลยเข้าทำประโยชน์ในที่พิพาทระหว่างคดีเดิมนั้นเมื่อต่อมาศาลพิพากษาคดีถึงที่สุดว่าจำเลยไม่มีสิทธิในที่พิพาทและคดีนี้ศาลพิพากษาว่าที่พิพาทเป็นของโจทก์การกระทำของจำเลยดังกล่าวย่อมเป็นการละเมิดต่อสิทธิของโจทก์ โจทก์เรียกค่าเสียหายได้แต่ค่าเสียหายที่เกิน 1 ปี ย่อมขาดอายุความ
ในคดีก่อน ศาลฎีกาวินิจฉัยชี้ขาดว่าโจทก์และสามีเป็นฝ่ายครอบครองที่พิพาท จำเลยไม่ได้ครอบครอง จึงไม่มีสิทธิในที่พิพาท คำพิพากษาดังกล่าวยอมผูกพันคู่ความตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 145 จำเลยจะเถียงในคดีนี้ว่าจำเลยได้ครอบครองที่พิพาทหาได้ไม่
การที่จำเลยเข้าทำประโยชน์ในที่พิพาทระหว่างคดีเดิมนั้นเมื่อต่อมาศาลพิพากษาคดีถึงที่สุดว่าจำเลยไม่มีสิทธิในที่พิพาทและคดีนี้ศาลพิพากษาว่าที่พิพาทเป็นของโจทก์การกระทำของจำเลยดังกล่าวย่อมเป็นการละเมิดต่อสิทธิของโจทก์ โจทก์เรียกค่าเสียหายได้แต่ค่าเสียหายที่เกิน 1 ปี ย่อมขาดอายุความ
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2128/2517 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การครอบครองที่ดินพิพาทหลังคำพิพากษาถึงที่สุด และอายุความการฟ้องร้องเรียกคืน
เดิมจำเลยฟ้องหาว่าโจทก์บุกรุกที่พิพาท ขอให้ศาลพิพากษาว่าที่พิพาทเป็นของจำเลย ห้ามโจทก์เข้าเกี่ยวข้อง โจทก์ต่อสู้ว่าที่พิพาทเป็นของโจทก์ ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยชนะคดีและนับวันที่ศาลชั้นต้นพิพากษา จำเลยได้เข้าครอบครองทำกินในที่พิพาทแต่ฝ่ายเดียว ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน ศาลฎีกาพิพากษากลับให้ยกฟ้อง จำเลยคงครอบครองที่พิพาทตลอดมาโจทก์จึงฟ้องขอให้ศาลพิพากษาว่าที่พิพาทเป็นของโจทก์ให้ขับไล่จำเลยและเรียกค่าเสียหาย การที่จำเลยครอบครองที่พิพาทระหว่างคดีในคดีก่อนนั้น จำเลยเข้าครอบครองโดยผลของคำพิพากษาศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์ ซึ่งมิใช่เป็นการแย่งการครอบครองโดยมิชอบด้วยกฎหมาย จำเลยจะอ้างสิทธิแห่งการครอบครองดังกล่าวมายันโจทก์หาได้ไม่ ส่วนที่จำเลยครอบครองที่พิพาทตั้งแต่วันที่ศาลฎีกาพิพากษายกฟ้องมาจนถึงวันที่โจทก์ฟ้องคดีนี้ยังไม่เกิน 1 ปีโจทก์หาหมดสิทธิฟ้องร้องไม่
ในคดีก่อน ศาลฎีกาวินิจฉัยชี้ขาดว่าโจทก์และสามีเป็นฝ่ายครอบครองที่พิพาท จำเลยไม่ได้ครอบครอง จึงไม่มีสิทธิในที่พิพาท คำพิพากษาดังกล่าวย่อมผูกพันคู่ความตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 145 จำเลยจะเถียงในคดีนี้ว่าจำเลยได้ครอบครองที่พิพาทหาได้ไม่
การที่จำเลยเข้าทำประโยชน์ในที่พิพาทระหว่างคดีเดิมนั้น เมื่อต่อมาศาลพิพากษาคดีถึงที่สุดว่าจำเลยไม่มีสิทธิในที่พิพาทและคดีนี้ศาลพิพากษาว่าที่พิพาทเป็นของโจทก์การกระทำของจำเลยดังกล่าว ย่อมเป็นการละเมิดต่อสิทธิของโจทก์ โจทก์เรียกค่าเสียหายได้แต่ค่าเสียหายที่เกิน 1 ปี ย่อมขาดอายุความ
ในคดีก่อน ศาลฎีกาวินิจฉัยชี้ขาดว่าโจทก์และสามีเป็นฝ่ายครอบครองที่พิพาท จำเลยไม่ได้ครอบครอง จึงไม่มีสิทธิในที่พิพาท คำพิพากษาดังกล่าวย่อมผูกพันคู่ความตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 145 จำเลยจะเถียงในคดีนี้ว่าจำเลยได้ครอบครองที่พิพาทหาได้ไม่
การที่จำเลยเข้าทำประโยชน์ในที่พิพาทระหว่างคดีเดิมนั้น เมื่อต่อมาศาลพิพากษาคดีถึงที่สุดว่าจำเลยไม่มีสิทธิในที่พิพาทและคดีนี้ศาลพิพากษาว่าที่พิพาทเป็นของโจทก์การกระทำของจำเลยดังกล่าว ย่อมเป็นการละเมิดต่อสิทธิของโจทก์ โจทก์เรียกค่าเสียหายได้แต่ค่าเสียหายที่เกิน 1 ปี ย่อมขาดอายุความ
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1769/2517 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
สิทธิบังคับคดีของเจ้าหนี้หลายราย: เจ้าหนี้รายหลังมีสิทธิบังคับคดีได้ แม้มีคำพิพากษาในคดีก่อนหน้า
เดิมผู้ร้องฟ้องจำเลยขอถอนคืนการให้เพราะเหตุประพฤติเนรคุณ ศาลพิพากษาให้จำเลยคืนที่ดินพิพาทซึ่งมี น.ส.3 ให้แก่ผู้ร้องคดีอยู่ระหว่างการบังคับคดี ต่อมาโจทก์ยื่นฟ้องจำเลยตามสัญญากู้ยืมแล้วโจทก์จำเลยทำสัญญาประนีประนอมยอมความกัน ศาลพิพากษาตามยอม คดีถึงที่สุด โจทก์นำยึดที่ดินพิพาทเพื่อชำระหนี้ตามคำพิพากษาดังนี้ ถือว่าที่ดินพิพาทยังคงเป็นของจำเลยอยู่ เพราะคดีทั้งสองสำนวนนี้ยังอยู่ในชั้นบังคับคดีด้วยกัน ผู้ร้องจะอ้างคำพิพากษาในคดีที่ผู้ร้องชนะจำเลยมายันโจทก์ซึ่งเป็นบุคคลภายนอกไม่ได้ แม้คดีจะถึงที่สุดแล้วก็ตาม โจทก์ในฐานะที่เป็นบุคคลภายนอกอาจพิสูจน์ได้ว่าตนมีสิทธิดีกว่าผู้ร้องตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 145 วรรคสอง (2) และเมื่อข้อเท็จจริงปรากฏว่าจำเลยได้กู้เงินโจทก์ไปจริง ส่วนคดีที่ผู้ร้องฟ้องจำเลยนั้น กลับส่อพิรุธว่าอาจจะไม่มีมูลความจริงตามฟ้อง ผู้ร้องย่อมจะขอให้ถอนการยึดไม่ได้
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1769/2517
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
สิทธิบังคับคดีของเจ้าหนี้หลายราย: ผู้มีสิทธิเหนือทรัพย์สินก่อนย่อมมีสิทธิบังคับคดีก่อน แม้คดีถึงที่สุดแล้ว
เดิมผู้ร้องฟ้องจำเลยขอถอนคืนการให้เพราะเหตุประพฤติเนรคุณศาลพิพากษาให้จำเลยคืนที่ดินพิพาทซึ่งมี น.ส.3 ให้แก่ผู้ร้องคดีอยู่ระหว่างการบังคับคดี ต่อมาโจทก์ยื่นฟ้องจำเลยตามสัญญากู้ยืมแล้วโจทก์จำเลยทำสัญญาประนีประนอมยอมความกัน ศาลพิพากษาตามยอม คดีถึงที่สุด โจทก์นำยึดที่ดินพิพาทเพื่อชำระหนี้ตามคำพิพากษาดังนี้ ถือว่าที่ดินพิพาทยังคงเป็นของจำเลยอยู่ เพราะคดีทั้งสองสำนวนนี้ยังอยู่ในชั้นบังคับคดีด้วยกัน ผู้ร้องจะอ้างคำพิพากษาในคดีที่ผู้ร้องชนะจำเลยมายันโจทก์ซึ่งเป็นบุคคลภายนอกไม่ได้ แม้คดีจะถึงที่สุดแล้วก็ตาม โจทก์ในฐานะที่เป็นบุคคลภายนอกอาจพิสูจน์ได้ว่าตนมีสิทธิดีกว่าผู้ร้องตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 145 วรรคสอง (2) และเมื่อข้อเท็จจริงปรากฏว่าจำเลยได้กู้เงินโจทก์ไปจริง ส่วนคดีที่ผู้ร้องฟ้องจำเลยนั้น กลับส่อพิรุธว่าอาจจะไม่มีมูลความจริงตามฟ้อง ผู้ร้องย่อมจะขอให้ถอนการยึดไม่ได้
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1435/2517 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การแต่งตั้งทนายความหลายคนและการผูกพันตามสัญญาประนีประนอมยอมความ
เมื่อกระบวนพิจารณาที่ศาลชั้นต้นดำเนินมา มิใช่เป็นกรณีการพิจารณาโดยขาดนัด คู่ความจะร้องขอให้มีการพิจารณาคดีใหม่ตามมาตรา 207 ไม่ได้
เดิมบริษัทจำกัดจำเลย โดย ช. กรรมการผู้จัดการ ได้แต่งตั้งทนายความคนหนึ่งแล้วต่อมาบริษัทจำเลยได้เปลี่ยนกรรมการบริษัทใหม่บริษัทจำเลยโดยกรรมการชุดใหม่จึงได้แต่งตั้งทนายความอีกคนหนึ่งทนายความแต่ละคนดังกล่าวต่างมีอำนาจทำสัญญาประนีประนอมยอมความได้ดังนี้ เมื่อทนายความคนหลังได้ทำสัญญาประนีประนอมยอมความกับโจทก์ และศาลพิพากษาคดีไปตามสัญญาประนีประนอมยอมความนั้นแล้ว ย่อมเป็นกระบวนพิจารณาที่ชอบด้วยกฎหมาย และผูกพันบริษัทจำเลย บริษัทจำเลยโดยทนายความคนแรกจะร้องขอให้พิจารณาใหม่ โดยเหตุที่ทนายความคนแรกไม่ได้รู้เห็นในการทำสัญญาประนีประนอมยอมความดังกล่าวนั้นด้วยหาได้ไม่
เดิมบริษัทจำกัดจำเลย โดย ช. กรรมการผู้จัดการ ได้แต่งตั้งทนายความคนหนึ่งแล้วต่อมาบริษัทจำเลยได้เปลี่ยนกรรมการบริษัทใหม่บริษัทจำเลยโดยกรรมการชุดใหม่จึงได้แต่งตั้งทนายความอีกคนหนึ่งทนายความแต่ละคนดังกล่าวต่างมีอำนาจทำสัญญาประนีประนอมยอมความได้ดังนี้ เมื่อทนายความคนหลังได้ทำสัญญาประนีประนอมยอมความกับโจทก์ และศาลพิพากษาคดีไปตามสัญญาประนีประนอมยอมความนั้นแล้ว ย่อมเป็นกระบวนพิจารณาที่ชอบด้วยกฎหมาย และผูกพันบริษัทจำเลย บริษัทจำเลยโดยทนายความคนแรกจะร้องขอให้พิจารณาใหม่ โดยเหตุที่ทนายความคนแรกไม่ได้รู้เห็นในการทำสัญญาประนีประนอมยอมความดังกล่าวนั้นด้วยหาได้ไม่