พบผลลัพธ์ทั้งหมด 1,236 รายการ
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1722/2515
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ความรับผิดจากสัญญาซื้อขาย/เช่า และค่าเสียหายจากการผิดสัญญา ต้องพิจารณาความเกี่ยวข้องโดยตรงและคาดหมายได้
จำเลยทำสัญญาซื้อที่ดินและตึกจากส. โดยโจทก์มิได้รู้เห็นเกี่ยวข้องด้วย และจำเลยไม่เคยบอกให้โจทก์ทราบ โจทก์ทราบ โจทก์จึงไม่อาจคาดเห็น หรือควรจะได้คาดเห็นล่วงหน้าว่าจำเลยจะเอาเงินค่าตอบแทนการโอนสิทธิการเช่าตึกแถวพิพาท ที่โจทก์จะต้องชำระให้จำเลยไปชำระให้ ส.เมื่อจำเลยถูกส.ริบมัดจำเพราะผิดสัญญากับส.เอง ไม่เกี่ยวข้องกับโจทก์ และไม่ได้เกิดขึ้นโดยตรงจากการผิดสัญญาของโจทก์ ดังนี้ โจทก์ไม่ต้องรับผิดต่อจำเลยเพราะไม่ใช่ค่าเสียหายซึ่งตามปกติย่อมเกิดขึ้นแต่การไม่ชำระหนี้ตามมาตรา 222 และไม่ใช่ค่าสินไหมทดแทนเพื่อความเสียหายตามมาตรา 215 ทั้งไม่ใช่ค่าเสียหายอันเกิดแต่พฤติการณ์พิเศษตาม มาตรา 222 วรรคท้ายด้วย
โจทก์เสียค่าธรรมเนียมชั้นอุทธรณ์ไม่ครบ เป็นเรื่องที่ศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์จะต้องเรียกเพิ่มเติมเสียให้ถูกต้องต่อไป ไม่ทำให้คำพิพากษาศาลอุทธรณ์ซึ่งพิพากษาไปแล้วสิ้นผลแต่ประการใด
โจทก์เสียค่าธรรมเนียมชั้นอุทธรณ์ไม่ครบ เป็นเรื่องที่ศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์จะต้องเรียกเพิ่มเติมเสียให้ถูกต้องต่อไป ไม่ทำให้คำพิพากษาศาลอุทธรณ์ซึ่งพิพากษาไปแล้วสิ้นผลแต่ประการใด
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 533/2515
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
สัญญาประนีประนอมยอมความมีผลผูกพันเฉพาะคู่ความ ผู้เยาว์มีสิทธิทำนิติกรรมได้ตามกฎหมาย
ผู้ร้องเคยเป็นโจทก์ฟ้องขอแบ่งทรัพย์จากผู้คัดค้าน แล้วทำสัญญาประนีประนอมยอมความกันต่อหน้าศาล โดยผู้คัดค้านยอมยกที่ดินให้แก่ผู้ร้องและบุตรผู้เยาว์ และผู้ร้องให้สัญญาว่าจะไม่นำที่ดินส่วนของบุตรผู้เยาว์ไปจำหน่ายจ่ายโอนหรือจำนองทั้งนี้จนกว่าบุตรผู้เยาว์จะบรรลุนิติภาวะ สัญญาประนีประนอมยอมความและคำพิพากษาตามยอมในคดีดังกล่าวแล้วย่อมมีผลผูกพันเฉพาะคู่ความในกระบวนพิจารณา บุตรผู้เยาว์ผู้ได้รับการให้ที่ดินเป็นบุคคลนอกคดี และสัญญาประนีประนอมยอมความก็มิได้มีเงื่อนไขห้ามบุตรผู้เยาว์มิให้จำหน่ายจ่ายโอนที่ดินส่วนของตนบุตรผู้เยาว์โดยผู้ปกครองย่อมมีอำนาจร้องขอต่อศาล ขออนุญาตทำนิติกรรมขายที่ดินของผู้เยาว์ได้
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 533/2515 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ผลผูกพันสัญญาประนีประนอมและความสามารถในการทำนิติกรรมของผู้เยาว์
ผู้ร้องเคยเป็นโจทก์ฟ้องขอแบ่งทรัพย์จากผู้คัดค้าน แล้วทำสัญญาประนีประนอมยอมความกันต่อหน้าศาล โดยผู้คัดค้านยอมยกที่ดินให้แก่ผู้ร้องและบุตรผู้เยาว์ และผู้ร้องให้สัญญาว่าจะไม่นำที่ดินส่วนของบุตรผู้เยาว์ไปจำหน่ายจ่ายโอนหรือจำนองทั้งนี้จนกว่าบุตรผู้เยาว์จะบรรลุนิติภาวะ สัญญาประนีประนอมยอมความและคำพิพากษาตามยอมในคดีดังกล่าวแล้วย่อมมีผลผูกพันเฉพาะคู่ความในกระบวนพิจารณา บุตรผู้เยาว์ผู้ได้รับการให้ที่ดินเป็นบุคคลนอกคดี และสัญญาประนีประนอมยอมความก็มิได้มีเงื่อนไขห้ามบุตรผู้เยาว์มิให้จำหน่ายจ่ายโอนที่ดินส่วนของตนบุตรผู้เยาว์โดยผู้ปกครองย่อมมีอำนาจร้องขอต่อศาล ขออนุญาตทำนิติกรรมขายที่ดินของผู้เยาว์ได้
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 333/2515 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
คำพิพากษาผูกพันคู่ความเดิม การฟ้องซ้ำในประเด็นเดียวกัน
โจทก์เคยฟ้องผู้มีชื่อเป็นจำเลยอ้างว่าที่พิพาทเป็นของโจทก์และขอให้ศาลเรียกผู้ว่าราชการจังหวัดกับนายอำเภอเข้าเป็นจำเลยร่วมจำเลยร่วมต่อสู้ว่าที่พิพาทเป็นขององค์การบริหารส่วนจังหวัดศาลพิพากษาว่าข้อเท็จจริงฟังไม่ได้ว่าที่พิพาทเป็นของโจทก์ให้ยกฟ้องคดีถึงที่สุดไปแล้ว แล้วโจทก์มาฟ้องจำเลยเป็นคดีใหม่อ้างว่าที่พิพาทเป็นของโจทก์ ซึ่งผู้ว่าราชการจังหวัดกับนายอำเภอได้ร้องสอดเข้าเป็นจำเลยร่วมอีก ดังนี้ คำพิพากษาในคดีเดิมย่อมผูกพันโจทก์กับผู้ร้องสอดซึ่งเป็นคู่ความกันมาแล้ว (ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา 145 วรรคแรก) โจทก์จะกล่าวอ้างว่าที่พิพาทเป็นของโจทก์อีกหาได้ไม่ และย่อมไม่มีสิทธิฟ้องจำเลยซึ่งเป็นผู้เช่าที่พิพาทจากผู้ร้องสอดห้ามมิให้เกี่ยวข้องกับที่พิพาท
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 333/2515
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
คำพิพากษาถึงที่สุดผูกพันคู่ความ แม้จะฟ้องคดีใหม่ในประเด็นเดียวกัน
โจทก์เคยฟ้องผู้มีชื่อเป็นจำเลยอ้างว่าที่พิพาทเป็นของโจทก์และขอให้ศาลเรียกผู้ว่าราชการจังหวัดกับนายอำเภอเข้าเป็นจำเลยร่วมจำเลยร่วมต่อสู้ว่าที่พิพาทเป็นขององค์การบริหารส่วนจังหวัด ศาลพิพากษาว่าข้อเท็จจริงฟังไม่ได้ว่าที่พิพาทเป็นของโจทก์ให้ยกฟ้องคดีถึงที่สุดไปแล้ว แล้วโจทก์มาฟ้องจำเลยเป็นคดีใหม่อ้างว่าที่พิพาทเป็นของโจทก์ ซึ่งผู้ว่าราชการจังหวัดกับนายอำเภอได้ร้องสอดเข้าเป็นจำเลยร่วมอีก ดังนี้ คำพิพากษาในคดีเดิมย่อมผูกพันโจทก์กับผู้ร้องสอดซึ่งเป็นคู่ความกันมาแล้ว (ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 145 วรรคแรก) โจทก์จะกล่าวอ้างว่าที่พิพาทเป็นของโจทก์อีกหาได้ไม่ และย่อมไม่มีสิทธิฟ้องจำเลยซึ่งเป็นผู้เช่าที่พิพาทจากผู้ร้องสอดห้ามมิให้เกี่ยวข้องกับที่พิพาท
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 196/2515 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การเช่าช่วงที่ดินและการคุ้มครองตามพ.ร.บ.ควบคุมการเช่าเคหะฯ ผู้ซื้อที่ดินต้องรับสิทธิและหน้าที่เดิม
จ.เคยฟ้องขับไล่ ส.ออกจากที่ดิน ศาลวินิจฉัยว่าการที่ ส.ให้ผู้อื่นเช่าช่วงที่ดินแปลงนี้ ไม่ได้รับความยินยอมให้เช่าช่วงจาก อ.เจ้าของที่ดินเดิม ดังนี้ หาผูกพันโจทก์จำเลยในคดีนี้ซึ่งเป็นบุคคลภายนอกไม่
ถึงแม้โจทก์อ้างคำพิพากษาดังกล่าวเป็นพยานก็ตาม การที่ศาลฟังข้อเท็จจริงในคดีนี้โดยวินิจฉัยพยานหลักฐานจากที่ปรากฏในบันทึกท้ายสัญญาเช่าระหว่างผู้ให้เช่า กับ ส. ผู้เช่าว่า อ.ยอมให้ ส. ให้เช่าช่วงที่ดินแปลงนี้ได้ มิใช่เป็นการวินิจฉัยฝ่าฝืนพยานหลักฐานในสำนวน
ถึงแม้โจทก์อ้างคำพิพากษาดังกล่าวเป็นพยานก็ตาม การที่ศาลฟังข้อเท็จจริงในคดีนี้โดยวินิจฉัยพยานหลักฐานจากที่ปรากฏในบันทึกท้ายสัญญาเช่าระหว่างผู้ให้เช่า กับ ส. ผู้เช่าว่า อ.ยอมให้ ส. ให้เช่าช่วงที่ดินแปลงนี้ได้ มิใช่เป็นการวินิจฉัยฝ่าฝืนพยานหลักฐานในสำนวน
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 196/2515
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การเช่าช่วงที่ดินและการคุ้มครองตามพ.ร.บ.ควบคุมการเช่าเคหะและที่ดิน ผู้ซื้อที่ดินต้องรับสิทธิและหน้าที่ของผู้ให้เช่าเดิม
จ. เคยฟ้องขับไล่ ส. ออกจากที่ดิน ศาลวินิจฉัยว่าการที่ ส. ให้ผู้อื่นเช่าช่วงที่ดินแปลงนี้ ไม่ได้รับความยินยอมให้เช่าช่วงจาก อ. เจ้าของที่ดินเดิม ดังนี้หาผูกพันโจทก์จำเลยในคดีนี้ซึ่งเป็นบุคคลภายนอกไม่
ถึงแม้โจทก์อ้างคำพิพากษาดังกล่าวเป็นพยานก็ตาม การที่ศาลฟังข้อเท็จจริงในคดีนี้โดยวินิจฉัยพยานหลักฐานจากที่ปรากฏในบันทึกท้ายสัญญาเช่าระหว่างผู้ให้เช่ากับ ส.ผู้เช่าว่า อ. ยอมให้ ส. ให้เช่าช่วงที่ดินแปลงนี้ ได้มิใช่เป็นการวินิจฉัยฝ่าฝืนพยานหลักฐานในสำนวน
ถึงแม้โจทก์อ้างคำพิพากษาดังกล่าวเป็นพยานก็ตาม การที่ศาลฟังข้อเท็จจริงในคดีนี้โดยวินิจฉัยพยานหลักฐานจากที่ปรากฏในบันทึกท้ายสัญญาเช่าระหว่างผู้ให้เช่ากับ ส.ผู้เช่าว่า อ. ยอมให้ ส. ให้เช่าช่วงที่ดินแปลงนี้ ได้มิใช่เป็นการวินิจฉัยฝ่าฝืนพยานหลักฐานในสำนวน
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1898/2514 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ผลของการบอกเลิกสัญญาต่อการฟ้องขอให้บังคับตามสัญญาเดิม ศาลไม่ถือว่าสัญญาสิ้นสุดและไม่อาจบังคับให้รื้อถอนได้
ในคดีก่อน ศาลเพียงแต่ตรวจดูคำฟ้องแล้ววินิจฉัยในทำนองว่าเมื่อตามคำฟ้องมีความหมายเท่ากับโจทก์กล่าวไว้เองว่า โจทก์จำเลยไม่มีสัญญาต่อกันแล้ว ถ้าเป็นความจริงดังที่โจทก์กล่าวอ้างก็ไม่มีสัญญาอะไรที่โจทก์จะนำมาฟ้องขอให้ศาลสั่งเป็นโมฆะได้อีกส่วนที่โจทก์ขอให้จำเลยรื้อถอนเสาออกไปจากที่ของโจทก์นั้น ตามคำฟ้องก็ไม่ปรากฏว่าโจทก์ได้เคยบอกกล่าวให้จำเลยรื้อถอนและจำเลยขัดขืน จึงยังถือไม่ได้ว่าโจทก์ถูกโต้แย้งสิทธิ อันจะเป็นเหตุให้ศาลบังคับจำเลยได้ แล้วพิพากษายกฟ้องคำพิพากษา ดังนี้ ไม่อาจถือได้ว่าศาลได้ฟังว่าสัญญาระหว่างโจทก์จำเลยเลิกกันแล้ว ต่อมาโจทก์แจ้งให้จำเลยรื้อถอนเสา แล้วมาฟ้องเป็นคดีใหม่ ขอให้บังคับให้จำเลยรื้อถอนเสาออกจากที่ของโจทก์ โดยอาศัยผลแห่งคำพิพากษาในคดีก่อน ดังนี้ หาบังคับได้ไม่
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1898/2514
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ผลของคำพิพากษาเดิมที่มิได้วินิจฉัยถึงการเลิกสัญญาต่อการฟ้องบังคับรื้อถอน
ในคดีก่อน ศาลเพียงแต่ตรวจดูคำฟ้องแล้ววินิจฉัยในทำนองว่าเมื่อตามคำฟ้องมีความหมายเท่ากับโจทก์กล่าวไว้เองว่า โจทก์จำเลยไม่มีสัญญาต่อกันแล้ว ถ้าเป็นความจริงดังที่โจทก์กล่าวอ้างก็ไม่มีสัญญาอะไรที่โจทก์จะนำมาฟ้องขอให้ศาลสั่งเป็นโมฆะได้อีก ส่วนที่โจทก์ขอให้จำเลยรื้อถอนเสาออกไปจากที่ของโจทก์นั้นตามคำฟ้องก็ไม่ปรากฏว่าโจทก์ได้เคยบอกกล่าวให้จำเลยรื้อถอนและจำเลยขัดขืน จึงยังถือไม่ได้ว่าโจทก์ถูกโต้แย้งสิทธิ อันจะเป็นเหตุให้ศาลบังคับจำเลยได้ แล้วพิพากษายกฟ้องคำพิพากษา ดังนี้ ไม่อาจถือได้ว่าศาลได้ฟังว่าสัญญาระหว่างโจทก์จำเลยเลิกกันแล้ว ต่อมาโจทก์แจ้งให้จำเลยรื้อถอนเสา แล้วมาฟ้องเป็นคดีใหม่ ขอให้บังคับให้จำเลยรื้อถอนเสาออกจากที่ของโจทก์ โดยอาศัยผลแห่งคำพิพากษาในคดีก่อน ดังนี้ หาบังคับได้ไม่
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 580/2514
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การไม่ติดใจอุทธรณ์คดีหนึ่ง ไม่ถือเป็นการยอมรับข้อเท็จจริงในคดีอื่นที่เกี่ยวข้อง
โจทก์ฟ้องเรียกค่าเสียหายจากจำเลย อ้างว่าจำเลยขับรถโดยประมาทชนรถซึ่งบิดาโจทก์ขับ ทำให้บิดาโจทก์ตาย จำเลยก็ฟ้องเรียกค่าเสียหายจากโจทก์เนื่องจากรถเกิดชนกันครั้งเดียวกันนั้นด้วย ศาลชั้นต้นพิจารณาคดีรวมกัน แล้วฟังว่า เหตุที่รถชนกันเกิดเพราะความประมาทของจำเลยพิพากษาให้จำเลยใช้ค่าเสียหายแก่โจทก์และยกฟ้องคดีที่จำเลยฟ้องโจทก์จำเลยไม่ติดใจอุทธรณ์คดีที่จำเลยฟ้องโจทก์ คงอุทธรณ์แต่คดีที่ถูกโจทก์ฟ้องแต่คดีเดียวว่าจำเลยไม่ต้องรับผิดเพราะไม่ได้ประมาท ดังนี้ ประเด็นในคดีนี้ที่ว่าจำเลยจะต้องรับผิดเพราะขับรถโดยประมาทชนกับรถบิดาโจทก์จริงหรือไม่ ยังไม่ยุติ จะถือเอาการที่ไม่ติดใจอุทธรณ์คดีที่จำเลยฟ้องนั้น เป็นการปิดปากว่าจำเลยยอมรับข้อนี้แล้วหาได้ไม่