คำพิพากษาที่เกี่ยวข้องกับกฎหมาย
ป.วิ.พ. ม. 145

พบผลลัพธ์ทั้งหมด 1,236 รายการ

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3/2514 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ข้อพิพาทเรื่องเขตที่ดินและสิทธิในผลผลิต แม้มีคำพิพากษาถึงที่สุดแล้ว การฟ้องเรียกค่าเสียหายจากผลผลิตที่เก็บไป ยังไม่เป็นการฟ้องซ้ำ
คดีแพ่งแดงที่ 295/2510 ศาลชั้นต้นได้พิพากษาชี้ขาดไปตามสัญญาประนีประนอมและคดีถึงที่สุดแล้วว่าให้ถือแนวต้นมะม่วงทั้ง 12 ต้นเป็นเส้นแบ่งเขตแดนระหว่างที่ดินของโจทก์และจำเลยจำเลยจะโต้เถียงว่าต้องแบ่งแนวเขตเป็นอย่างอื่นให้ผิดไปจากคำพิพากษาตามยอมหาได้ไม่
คดีแพ่งแดงที่ 295/2510 โจทก์จำเลยพิพาทกันด้วยเรื่องที่ดินตรงที่ติดต่อกันในประเด็นที่ว่า มีอาณาเขตอยู่ตรงไหน จำเลยบุกรุกที่ดินโจทก์หรือไม่ แต่ในคดีนี้โจทก์ฟ้องว่าศาลได้พิพากษาชี้ขาดคดีแพ่งแดงที่ 295/2510 แล้วว่า ให้ถือแนวต้นมะม่วงทั้ง 12 ต้นเป็นแนวเขตที่ดินระหว่างโจทก์จำเลย ต้นมะม่วงที่เป็นแนวเขตจึงเป็นของโจทก์ จำเลยเก็บผลมะม่วงนั้นไป ต้องชดใช้ค่าผลมะม่วงให้โจทก์ประเด็นในคดีนี้เป็นคนละประเด็นกับคดีแพ่งแดงที่ 295/2510 กรณีจึงไม่ต้องด้วยมาตรา 148 แห่งประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3/2514

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ฟ้องเรียกค่าเสียหายผลมะม่วงหลังมีคำพิพากษาเรื่องเขตแดน ไม่ถือเป็นการฟ้องซ้ำ
คดีแพ่งแดงที่ 295/2510 ศาลชั้นต้นได้พิพากษาชี้ขาดไปตามสัญญาประนีประนอมและคดีถึงที่สุดแล้วว่าให้ถือแนวต้นมะม่วงทั้ง 12 ต้นเป็นเส้นแบ่งเขตแดนระหว่างที่ดินของโจทก์และจำเลยจำเลยจะโต้เถียงว่าต้องแบ่งแนวเขตเป็นอย่างอื่นให้ผิดไปจากคำพิพากษาตามยอมหาได้ไม่
คดีแพ่งแดงที่ 295/2510 โจทก์จำเลยพิพาทกันด้วยเรื่องที่ดินตรงที่ติดต่อกันในประเด็นที่ว่า มีอาณาเขตอยู่ตรงไหน จำเลยบุกรุกที่ดินโจทก์หรือไม่ แต่ในคดีนี้โจทก์ฟ้องว่าศาลได้พิพากษาชี้ขาดคดีแพ่งแดงที่ 295/2510 แล้วว่า ให้ถือแนวต้นมะม่วงทั้ง 12 ต้นเป็นแนวเขตที่ดินระหว่างโจทก์จำเลย ต้นมะม่วงที่เป็นแนวเขตจึงเป็นของโจทก์ จำเลยเก็บผลมะม่วงนั้นไป ต้องชดใช้ค่าผลมะม่วงให้โจทก์ประเด็นในคดีนี้เป็นคนละประเด็นกับคดีแพ่งแดงที่ 295/2510กรณีจึงไม่ต้องด้วยมาตรา 148 แห่งประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1484/2513

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ สัญญาประนีประนอมยอมความกับผู้มีสิทธิไม่ชัดเจน: เหตุผลสมควรให้งดบังคับคดีได้
โจทก์ฟ้องขับไล่จำเลยออกจากตึกพิพาทซึ่งอ้างว่าเป็นของโจทก์แล้วโจทก์จำเลยทำสัญญายอมความกัน โดยโจทก์ยอมให้จำเลยอยู่ในตึกพิพาทต่อไป และจำเลยจะต้องชำระค่าเช่าเป็นรายเดือนถ้าผิดนัดจะยอมออกจากตึกพิพาท ในสัญญายอมความมีข้อความแสดงว่า จำเลยยังไม่ทราบว่าตึกพิพาทเป็นของใครกันแน่ เพราะโจทก์กับบุคคลภายนอกกำลังมีคดีพิพาทกันเรื่องกรรมสิทธิ์อยู่ ต่อมาบุคคลภายนอกชนะคดีโจทก์ และเร่งรัดจำเลย จนต้องไปทำสัญญาเช่าให้แต่คดีนั้นยังไม่ถึงที่สุด และจำเลยค้างชำระค่าเช่าแก่โจทก์ตามสัญญายอมความ โดยอ้างว่าไม่ทราบว่าจะชำระให้ใครถูก ดังนี้ เมื่อโจทก์ขอให้บังคับให้จำเลยขนย้ายออกจากตึกพิพาท คดีมีเหตุผลควรให้งดการบังคับคดีไว้

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1484/2513 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ สัญญาประนีประนอมยอมความและเหตุผลสมควรในการงดบังคับคดี กรณีกรรมสิทธิ์พิพาทไม่ชัดเจน
โจทก์ฟ้องขับไล่จำเลยออกจากตึกพิพาทซึ่งอ้างว่าเป็นของโจทก์แล้วโจทก์จำเลยทำสัญญายอมความกัน โดยโจทก์ยอมให้จำเลยอยู่ในตึกพิพาทต่อไป และจำเลยจะต้องชำระค่าเช่าเป็นรายเดือนถ้าผิดนัดจะยอมออกจากตึกพิพาท ในสัญญายอมความมีข้อความแสดงว่าจำเลยยังไม่ทราบว่าตึกพิพาทเป็นของใครกันแน่ เพราะโจทก์กับบุคคลภายนอกกำลังมีคดีพิพาทกันเรื่องกรรมสิทธิ์อยู่ ต่อมาบุคคลภายนอกชนะคดีโจทก์ และเร่งรัดจำเลย จนต้องไปทำสัญญาเช่าให้แต่คดีนั้นยังไม่ถึงที่สุด และจำเลยค้างชำระค่าเช่าแก่โจทก์ตามสัญญายอมความ โดยอ้างว่าไม่ทราบว่าจะชำระให้ใครถูก ดังนี้เมื่อโจทก์ขอให้บังคับให้จำเลยขนย้ายออกจากตึกพิพาท คดีมีเหตุผลควรให้งดการบังคับคดีไว้

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1373/2513 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ สัญญาค้ำประกันหน้าที่การงาน: ผู้ค้ำประกันรับผิดเฉพาะความเสียหายในหน้าที่ หากมิได้ระบุความรับผิดนอกเหนือจากนั้น
การทำสัญญาค้ำประกันบุคคลเข้าทำงาน โดยปกติย่อมเป็นที่เข้าใจกันว่าผู้ค้ำประกันจะต้องรับผิดเมื่อลูกจ้างทำให้เกิดความเสียหายขึ้นแก่นายจ้างเฉพาะในหน้าที่การงานของลูกจ้างนั้นเท่านั้น ถ้านายจ้างประสงค์จะให้รับผิดตลอดถึงการกระทำนอกหน้าที่การงานที่ว่าจ้างกันด้วยแล้วก็ชอบที่จะระบุไว้ให้ชัดในสัญญาค้ำประกัน
นายจ้างอ้างว่าการที่ลูกจ้างก่อให้เกิดความเสียหายขึ้นนั้น ลูกจ้างได้กระทำไปในทางการที่จ้างหรือในหน้าที่การงานของลูกจ้าง เมื่อผู้ค้ำประกันให้การปฏิเสธข้อนี้ นายจ้างมีหน้าที่ต้องนำสืบ
(ประชุมใหญ่ ครั้งที่ 26/2513)

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1373/2513

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ สัญญาค้ำประกัน: ขอบเขตความรับผิดจำกัดเฉพาะความเสียหายในหน้าที่การงาน หากมิได้ระบุขยายขอบเขตชัดแจ้ง
การทำสัญญาค้ำประกันบุคคลเข้าทำงาน โดยปกติย่อมเป็นที่เข้าใจกันว่าผู้ค้ำประกันจะต้องรับผิดเมื่อลูกจ้างทำให้เกิดความเสียหายขึ้นแก่นายจ้างเฉพาะในหน้าที่การงานของลูกจ้างนั้นเท่านั้น ถ้านายจ้างประสงค์จะให้รับผิดตลอดถึงการกระทำนอกหน้าที่การงานที่ว่าจ้างกันด้วยแล้วก็ชอบที่จะระบุไว้ให้ชัดในสัญญาค้ำประกัน
นายจ้างอ้างว่าการที่ลูกจ้างก่อให้เกิดความเสียหายขึ้นนั้น ลูกจ้างได้กระทำไปในทางการที่จ้างหรือในหน้าที่การงานของลูกจ้างเมื่อผู้ค้ำประกันให้การปฏิเสธข้อนี้ นายจ้างมีหน้าที่ต้องนำสืบ
(ประชุมใหญ่ ครั้งที่ 26/2513)

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1071/2513 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ แม้มีคำพิพากษาเพิกถอนคืนการให้ แต่หากกรรมสิทธิ์ยังไม่โอน โจทก์ยังบังคับให้จำเลยโอนได้
จำเลยทำสัญญาจะขายที่ดินพิพาทแก่โจทก์และจำเลยเป็นฝ่ายผิดสัญญา โจทก์จึงฟ้องขอให้บังคับจำเลยโอนที่พิพาทให้โจทก์เป็นคดีนี้ ในระหว่างพิจารณา มารดาจำเลยได้ฟ้องเรียกที่ดินคืนจากจำเลยเพราะเหตุเนรคุณ ซึ่งศาลชั้นต้นได้พิพากษาให้เพิกถอนคืนการให้ ถ้าจำเลยไม่ปฏิบัติตามก็ให้ถือเอาคำพิพากษาแทนการแสดงเจตนาของจำเลย คดีถึงที่สุด ดังนี้ แม้ที่พิพาทที่โจทก์ฟ้องขอให้บังคับจำเลยโอนให้โจทก์ในคดีนี้จะถูกศาลพิพากษาให้เพิกถอนคืนการให้ในคดีระหว่างมารดาจำเลยเป็นโจทก์ฟ้องจำเลยตามสำนวนคดีแพ่งแดงที่ 14/2511 ก็ตาม แต่ยังไม่มีการจดทะเบียนโอนกรรมสิทธิ์กลับคืนไปยังมารดาจำเลย กรรมสิทธิ์ในที่พิพาทจึงยังเป็นของจำเลยอยู่ จำเลยอยู่ในฐานะที่จะถูกบังคับให้โอนขายให้โจทก์ตามฟ้องได้ ส่วนปัญหาระหว่างโจทก์กับมารดาจำเลยซึ่งต่างเป็นผู้ชนะคดีด้วยกัน ใครจะมีสิทธิดีกว่ากันนั้น ก็จะต้องไปว่ากล่าวกันในชั้นบังคับคดีหรือฟ้องร้องกันใหม่ ไม่ใช่ปัญหาที่จะต้องวินิจฉัยชี้ขาดในชั้นนี้
คำพิพากษาในคดีแพ่งแดงที่ 14/2511 เป็นคำพิพากษาให้เพิกถอนคืนการให้เพราะเหตุเนรคุณไม่ใช่คำพิพากษาที่วินิจฉัยถึงกรรมสิทธิ์แห่งทรัพย์สินใด ๆ ตามนัยแห่งประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 145 (2) ใช้ยันโจทก์ซึ่งไม่ได้เป็นคู่ความด้วยไม่ได้

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1071/2513

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ สัญญาซื้อขายที่ดิน & เพิกถอนคืนการให้: สิทธิเรียกร้องยังคงอยู่แม้มีคำพิพากษาคืนการให้
จำเลยทำสัญญาจะขายที่ดินพิพาทแก่โจทก์และจำเลยเป็นฝ่ายผิดสัญญา โจทก์จึงฟ้องขอให้บังคับจำเลยโอนที่พิพาทให้โจทก์เป็นคดีนี้ ในระหว่างพิจารณา มารดาจำเลยได้ฟ้องเรียกที่ดินคืนจากจำเลยเพราะเหตุเนรคุณ ซึ่งศาลชั้นต้นได้พิพากษาให้เพิกถอนคืนการให้ ถ้าจำเลยไม่ปฏิบัติตามก็ให้ถือเอาคำพิพากษาแทนการแสดงเจตนาของจำเลย คดีถึงที่สุด ดังนี้ แม้ที่พิพาทที่โจทก์ฟ้องขอให้บังคับจำเลยโอนให้โจทก์ในคดีนี้จะถูกศาลพิพากษาให้เพิกถอนคืนการให้ในคดีระหว่างมารดาจำเลยเป็นโจทก์ฟ้องจำเลยตามสำนวนคดีแพ่งแดงที่ 14/2511 ก็ตาม แต่ยังไม่มีการจดทะเบียนโอนกรรมสิทธิ์กลับคืนไปยังมารดาจำเลย กรรมสิทธิ์ในที่พิพาทจึงยังเป็นของจำเลยอยู่ จำเลยอยู่ในฐานะที่จะถูกบังคับให้โอนขายให้โจทก์ตามฟ้องได้ ส่วนปัญหาระหว่างโจทก์กับมารดาจำเลยซึ่งต่างเป็นผู้ชนะคดีด้วยกัน ใครจะมีสิทธิดีกว่ากันนั้น ก็จะต้องไปว่ากล่าวกันในชั้นบังคับคดีหรือฟ้องร้องกันใหม่ ไม่ใช่ปัญหาที่จะต้องวินิจฉัยชี้ขาดในชั้นนี้
คำพิพากษาในคดีแพ่งแดงที่ 14/2511 เป็นคำพิพากษาให้เพิกถอนคืนการให้เพราะเหตุเนรคุณ ไม่ใช่คำพิพากษาที่วินิจฉัยถึงกรรมสิทธิ์แห่งทรัพย์สินใด ๆ ตามนัยแห่งประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 145(2) ใช้ยันโจทก์ซึ่งไม่ได้เป็นคู่ความด้วยไม่ได้

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 599/2513 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ฟ้องซ้ำ: คำพิพากษาถึงที่สุดผูกพันคู่ความ ห้ามเถียงรื้อฟื้นประเด็นเดิม
เดิมจำเลยฟ้องขอให้ถอนชื่อโจทก์จากโฉนดโดยอ้างว่าที่ดินเป็นของจำเลย โจทก์ต่อสู้ว่าบุคคลภายนอกยกที่ดินให้แก่โจทก์ ศาลคดีเดิมพิพากษาคดีถึงที่สุดว่า ที่พิพาทเป็นของจำเลย คำพิพากษาของศาลคดีเดิมย่อมผูกพันโจทก์จำเลย ดังนั้น การที่โจทก์กลับมาฟ้องกล่าวอ้างว่า จำเลยแบ่งขายที่พิพาทให้โจทก์ครึ่งหนึ่งจึงเท่ากับเป็นการเถียงรื้อฟื้นคดีเดิมว่าที่พิพาทไม่ใช่เป็นของจำเลยทั้งหมด แต่เป็นของโจทก์ครึ่งหนึ่ง กรณีจึงเป็นการฟ้องซ้ำ

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 599/2513

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ฟ้องซ้ำ: คำพิพากษาคดีเดิมผูกพันคู่ความ การฟ้องกล่าวอ้างกรรมสิทธิ์ใหม่จึงเป็นการเถียงรื้อฟื้นคดี
เดิมจำเลยฟ้องขอให้ถอนชื่อโจทก์จากโฉนดโดยอ้างว่าที่ดินเป็นของจำเลย โจทก์ต่อสู้ว่าบุคคลภายนอกยกที่ดินให้แก่โจทก์ ศาลคดีเดิมพิพากษา คดีถึงที่สุดว่า ที่พิพาทเป็นของจำเลย คำพิพากษาของศาลคดีเดิมย่อมผูกพันโจทก์จำเลย ดังนั้น การที่โจทก์กลับมาฟ้องกล่าวอ้างว่า จำเลยแบ่งขายที่พิพาทให้โจทก์ครึ่งหนึ่งจึงเท่ากับเป็นการเถียงรื้อฟื้นคดีเดิมว่า ที่พิพาทไม่ใช่เป็นของจำเลยทั้งหมด แต่เป็นของโจทก์ครึ่งหนึ่ง กรณีจึงเป็นการฟ้องซ้ำ
of 124