พบผลลัพธ์ทั้งหมด 1,236 รายการ
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 380/2509
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การตั้งผู้จัดการมรดก: สิทธิในการคัดค้านและขอบเขตการจัดการทรัพย์สินมรดก
เมื่อผู้ตายมีคดีพิพาทอยู่กับผู้คัดค้าน สิทธิต่างๆ ของผู้ตายจะต้องมีผู้จัดการต่อไป และย่อมจะต้องจัดการเฉพาะทรัพย์สินอันเป็นมรดกของผู้ตายเพียงเท่าที่ผู้ตายมีสิทธิอยู่ ไม่ใช่เข้าไปจัดการซ้อนผู้จัดการในคดีที่ผู้คัดค้านกล่าวอ้าง การตั้งผู้ร้องเป็นผู้จัดการมรดกในคดีนี้จึงไม่เป็นการตั้งผู้จัดการมรดกซ้ำ
ในคดีที่ร้องขอตั้งผู้จัดการมรดก แม้ศาลจะสั่งให้ผู้ร้องเป็นผู้จัดการมรดกตามที่ผู้ร้องอ้างว่ามีอยู่ตามบัญชีทรัพย์ท้ายคำร้องก็ดีก็หาตัดสิทธิผู้คัดค้านซึ่งเป็นบุคคลภายนอกที่จะพิสูจน์ว่าตนมีสิทธิดีกว่าผู้ร้องไม่และประเด็นแห่งคดีมีอยู่เพียงว่าสมควรจะตั้งผู้ร้องเป็นผู้จัดการมรดกตามคำร้องขอหรือไม่เท่านั้น
ผู้คัดค้านมิได้มีส่วนได้เสียในทรัพย์มรดกของผู้ตาย จึงไม่มีสิทธิจะคัดค้านการจัดตั้งผู้จัดการมรดก
ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 188(4) มิได้หมายความว่า ถ้าใครคัดค้านจะเป็นคู่ความไปเสียทั้งหมดคงหมายเฉพาะผู้คัดค้านที่จะคัดค้านได้เท่านั้น
ในคดีที่ร้องขอตั้งผู้จัดการมรดก แม้ศาลจะสั่งให้ผู้ร้องเป็นผู้จัดการมรดกตามที่ผู้ร้องอ้างว่ามีอยู่ตามบัญชีทรัพย์ท้ายคำร้องก็ดีก็หาตัดสิทธิผู้คัดค้านซึ่งเป็นบุคคลภายนอกที่จะพิสูจน์ว่าตนมีสิทธิดีกว่าผู้ร้องไม่และประเด็นแห่งคดีมีอยู่เพียงว่าสมควรจะตั้งผู้ร้องเป็นผู้จัดการมรดกตามคำร้องขอหรือไม่เท่านั้น
ผู้คัดค้านมิได้มีส่วนได้เสียในทรัพย์มรดกของผู้ตาย จึงไม่มีสิทธิจะคัดค้านการจัดตั้งผู้จัดการมรดก
ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 188(4) มิได้หมายความว่า ถ้าใครคัดค้านจะเป็นคู่ความไปเสียทั้งหมดคงหมายเฉพาะผู้คัดค้านที่จะคัดค้านได้เท่านั้น
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 280/2509 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การครอบครองปรปักษ์: ทายาทต้องพิสูจน์การเช่าหากจำเลยอ้างซื้อขายและครอบครองนานกว่า
ที่พิพาทมีโฉนด โจทก์อ้างว่าที่พิพาทเป็นมรดกตกได้แก่โจทก์ จำเลยอ้างว่าบิดามารดาโจทก์ขายที่พิพาทให้บิดามารดาจำเลยโดยมิได้มีการแก้ทะเบียนกัน ข้อเท็จจริงรับกันว่า บิดามารดาจำเลยและจำเลยได้ครอบครองที่พิพาทมา 40 ปีแล้ว จำเลยยื่นคำร้องขอให้ศาลแสดงว่าที่เป็นกรรมสิทธิ์ของจำเลย ศาลได้สั่งแสดงตามคำขอของจำเลยแล้ว เป็นหน้าที่ของฝ่ายโจทก์ซึ่งเป็นทายาทเดิมจะต้องนำสืบแสดงว่าฝ่ายจำเลยได้ทำนาพิพาทโดยเช่าจากฝ่ายโจทก์ดังที่โจทก์อ้าง.
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 280/2509
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ภาระการพิสูจน์ในคดีครอบครองปรปักษ์ กรณีเจ้าของเดิมอ้างมรดก vs. ผู้ครอบครองอ้างซื้อขาย
ที่พิพาทมีโฉนด โจทก์อ้างว่าที่พิพาทเป็นมรดกตกได้แก่โจทก์จำเลยอ้างว่าบิดามารดาโจทก์ขายที่พิพาทให้บิดามารดาจำเลยโดยมิได้มีการแก้ทะเบียนกัน ข้อเท็จจริงรับกันว่าบิดามารดาจำเลยและจำเลยได้ครอบครองที่พิพาทมา 40 ปี แล้ว จำเลยยื่นคำร้องขอให้ศาลแสดงว่าที่เป็นกรรมสิทธิ์ของจำเลย ศาลได้สั่งแสดงตามคำขอของจำเลยแล้วเป็นหน้าที่ของฝ่ายโจทก์ซึ่งเป็นทายาทเดิมจะต้องนำสืบแสดงว่าฝ่ายจำเลยได้ทำนาพิพาทโดยเช่าจากฝ่ายโจทก์ดังที่โจทก์อ้าง
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 8/2509
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ผลของคำสั่งพิทักษ์ทรัพย์เด็ดขาดและการพิพากษาให้ล้มละลาย โดยไม่รอการประชุมเจ้าหนี้
คดีล้มละลายนั้น เมื่อศาลมีคำสั่งพิทักษ์ทรัพย์เด็ดขาดแล้วย่อมมีผลบังคับได้ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา145 และเมื่อไม่มีการทุเลาการบังคับตามคำพิพากษาก็ย่อมไม่เหตุใดที่จะต้องรอการบระชุมเจ้าหนี้ไว้จนกว่าคดีจะถึงที่สุด
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 8/2509 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
คำสั่งพิทักษ์ทรัพย์เด็ดขาดและการพิพากษาล้มละลาย: การดำเนินการตามมติเจ้าหนี้โดยไม่ต้องรอคดีถึงที่สุด
คดีล้มละลายนั้น เมื่อศาลมีคำสั่งพิทักษ์ทรัพย์เด็ดขาดแล้ว ย่อมมีผลบังคับได้ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 145 และเมื่อไม่มีการทุเลาการบังคับตามคำพิพากษา ก็ย่อมไม่มีเหตุใดที่จะต้องรอการประชุมเจ้าหนี้ไว้จนกว่าคดีจะถึงที่สุด.
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1472/2508
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การโอนสิทธิการเช่าและส่งมอบทรัพย์สิน เจ้าของร่วมมีส่วนผูกพันตามสัญญา
จำเลยที่ 1 ทำหนังสือสัญญาขายสิ่งของในห้องพิพาท และตกลงโอนสิทธิการเช่าห้องพิพาทให้โจทก์ โดยจำเลยที่ 2 ซึ่งเป็นภริยาโดยมิชอบด้วยกฎหมายรู้เห็นยินยอมด้วย แต่มิได้ลงชื่อในสัญญานั้น สัญญานั้นย่อมผูกพันสิ่งของส่วนของจำเลยที่ 2 ซึ่งเป็นเจ้าของรวมด้วยตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1361 วรรคสอง โจทก์จึงบังคับให้จำเลยที่ 2 ส่งมอบสิ่งของนั้นให้แก่โจทก์ได้
เมื่อคำขอท้ายฟ้องมีว่า "ถ้าการโอนการเช่าห้องพิพาทไม่สามารถกระทำได้ก็ให้จำเลยคืนเงินให้โจทก์ " มิได้เรียกร้องให้คืนเงินในกรณีที่จำเลยไม่ส่งมอบสิ่งของในห้องพิพาทให้โจทก์ด้วยแล้ว เมื่อข้อเท็จจริงฟังได้ว่าจำเลยที่ 1 เท่านั้นมีสิทธิในการเช่าจำเลยที่ 2 จึงไม่ต้องรับผิดร่วมกับจำเลยที่ 1 ในเมื่อจำเลยที่ 1 ไม่สามารถโอนสิทธิการเช่าให้โจทก์ได้ โจทก์จะขอให้บังคับจำเลยที่ 2 โดยอ้างว่าเงินที่จำเลยที่ 1 ได้รับมาย่อมตกเป็นทรัพย์ของจำเลยทั้งสองร่วมกันจำเลยที่ 2 ต้องร่วมรับผิดกับจำเลยที่ 1 คืนเงินให้โจทก์ด้วยมิได้ เพราะเท่ากับเป็นการขอให้บังคับแก่บุคคลภายนอก
เมื่อคำขอท้ายฟ้องมีว่า "ถ้าการโอนการเช่าห้องพิพาทไม่สามารถกระทำได้ก็ให้จำเลยคืนเงินให้โจทก์ " มิได้เรียกร้องให้คืนเงินในกรณีที่จำเลยไม่ส่งมอบสิ่งของในห้องพิพาทให้โจทก์ด้วยแล้ว เมื่อข้อเท็จจริงฟังได้ว่าจำเลยที่ 1 เท่านั้นมีสิทธิในการเช่าจำเลยที่ 2 จึงไม่ต้องรับผิดร่วมกับจำเลยที่ 1 ในเมื่อจำเลยที่ 1 ไม่สามารถโอนสิทธิการเช่าให้โจทก์ได้ โจทก์จะขอให้บังคับจำเลยที่ 2 โดยอ้างว่าเงินที่จำเลยที่ 1 ได้รับมาย่อมตกเป็นทรัพย์ของจำเลยทั้งสองร่วมกันจำเลยที่ 2 ต้องร่วมรับผิดกับจำเลยที่ 1 คืนเงินให้โจทก์ด้วยมิได้ เพราะเท่ากับเป็นการขอให้บังคับแก่บุคคลภายนอก
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1472/2508 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การโอนสิทธิการเช่าและกรรมสิทธิ์ในทรัพย์สินร่วม แม้มิได้ลงชื่อในสัญญา ก็ผูกพันได้ตามกฎหมาย
จำเลยที่ 1 ทำหนังสือสัญญาขายสิ่งของในห้องพิพาท และตกลงโอนสิทธิการเช่าห้องพิพาทให้โจทก์ โดยจำเลยที่ 2 ซึ่งเป็นภริยาโดยมิชอบด้วยกฎหมายรู้เห็นยินยอมด้วย แต่มิได้ลงชื่อในสัญญานั้น สัญญานั้นย่อมผูกพันสิ่งของส่วนของจำเลยที่ 2 ซึ่งเป็นเจ้าของร่วมด้วยตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1361 วรรค 2 โจทก์จึงบังคับให้จำเลยที่ 2 ส่งมอบสิ่งของนั้นให้แก่โจทก์ได้
เมื่อคำขอท้ายฟ้องมีว่า "ถ้าการโอนการเช่าห้องพิพาทไม่สามารถกระทำได้ ก็ให้จำเลยคืนเงินให้โจทก์" มิได้เรียกร้องให้คืนเงินในกรณีที่จำเลยไม่ส่งมอบสิ่งของในห้องพิพาทให้โจทก์ด้วยแล้ว เมื่อข้อเท็จจริงฟังได้ว่าจำเลยที่ 1 เท่านั้นมีสิทธิในการเช่า จำเลยที่ 2 จึงไม่ต้องรับผิดร่วมกับจำเลยที่ 1 ในเมื่อจำเลยที่ 1 ไม่สามารถโอนสิทธิการเช่าให้โจทก์ได้ โจทก์จะขอให้บังคับจำเลยที่ 2 โดยอ้างว่าเงินที่จำเลยที่ 1 ได้รับมาย่อมตกเป็นทรัพย์ของจำเลยทั้งสองร่วมกัน จำเลยที่ 2 ต้องร่วมรับผิดกับจำเลยที่ 1 คืนเงินให้โจทก์ด้วยมิได้ เพราะเท่ากับเป็นการขอให้บังคับแก่บุคคลภายนอก
เมื่อคำขอท้ายฟ้องมีว่า "ถ้าการโอนการเช่าห้องพิพาทไม่สามารถกระทำได้ ก็ให้จำเลยคืนเงินให้โจทก์" มิได้เรียกร้องให้คืนเงินในกรณีที่จำเลยไม่ส่งมอบสิ่งของในห้องพิพาทให้โจทก์ด้วยแล้ว เมื่อข้อเท็จจริงฟังได้ว่าจำเลยที่ 1 เท่านั้นมีสิทธิในการเช่า จำเลยที่ 2 จึงไม่ต้องรับผิดร่วมกับจำเลยที่ 1 ในเมื่อจำเลยที่ 1 ไม่สามารถโอนสิทธิการเช่าให้โจทก์ได้ โจทก์จะขอให้บังคับจำเลยที่ 2 โดยอ้างว่าเงินที่จำเลยที่ 1 ได้รับมาย่อมตกเป็นทรัพย์ของจำเลยทั้งสองร่วมกัน จำเลยที่ 2 ต้องร่วมรับผิดกับจำเลยที่ 1 คืนเงินให้โจทก์ด้วยมิได้ เพราะเท่ากับเป็นการขอให้บังคับแก่บุคคลภายนอก
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 979/2508
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การประนีประนอมยอมความและการใช้สิทธิทางฎีกา กรณีข้อพิพาทเกี่ยวกับกรรมสิทธิ์ที่ดิน
โจทก์ผู้มีชื่อถือกรรมสิทธิ์ในโฉนด ย่อมมีสิทธิทำสัญญาประนีประนอมยอมความกับจำเลยได้ และเมื่อศาลพิพากษาตามยอมแล้วว่าที่ดินตามโฉนดนั้นเป็นของโจทก์ หากบุคคลภายนอกผู้ใดเห็นว่าตนมีสิทธิในที่ดินนั้นดีกว่าโจทก์ ก็ชอบที่จะว่ากล่าวเอากับโจทก์ จะมาฟ้องจำเลยหาได้ไม่
เมื่อโจทก์จำเลยประนีประนอมยอมความกัน และศาลพิพากษาตามยอมแล้ว หากต่อมาโจทก์เห็นว่าจำเลยฉ้อฉล โจทก์ก็มีสิทธิอุทธรณ์ฎีกา มิใช่นำคดีมาฟ้องใหม่
เดิม โจทก์ฟ้องจำเลยให้โอนโฉนดแลกเปลี่ยนกัน ที่สุดศาลพิพากษาตามยอมว่าที่ดินโฉนดที่ 480 เป็นของโจทก์ ที่ดินโฉนดที่ 485 เป็นของจำเลย ต่อมาโจทก์มาฟ้องใหม่ ขอให้ศาลเพิกถอนสัญญาประนีประนอมยอมความ ให้คำพิพากษาตามยอมเป็นอันไม่ใช้บังคับเพราะเหตุจำเลยฉ้อฉล ขอให้แสดงว่าที่ดินโฉนดที่ 485 เป็นของโจทก์ ที่ดินโฉนดที่ 477 เป็นของจำเลย กรณีเช่นนี้หาเป็นฟ้องซ้ำไม่
เมื่อโจทก์จำเลยประนีประนอมยอมความกัน และศาลพิพากษาตามยอมแล้ว หากต่อมาโจทก์เห็นว่าจำเลยฉ้อฉล โจทก์ก็มีสิทธิอุทธรณ์ฎีกา มิใช่นำคดีมาฟ้องใหม่
เดิม โจทก์ฟ้องจำเลยให้โอนโฉนดแลกเปลี่ยนกัน ที่สุดศาลพิพากษาตามยอมว่าที่ดินโฉนดที่ 480 เป็นของโจทก์ ที่ดินโฉนดที่ 485 เป็นของจำเลย ต่อมาโจทก์มาฟ้องใหม่ ขอให้ศาลเพิกถอนสัญญาประนีประนอมยอมความ ให้คำพิพากษาตามยอมเป็นอันไม่ใช้บังคับเพราะเหตุจำเลยฉ้อฉล ขอให้แสดงว่าที่ดินโฉนดที่ 485 เป็นของโจทก์ ที่ดินโฉนดที่ 477 เป็นของจำเลย กรณีเช่นนี้หาเป็นฟ้องซ้ำไม่
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 979/2508 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
สิทธิทำสัญญาประนีประนอมยอมความและการอุทธรณ์ฎีกาเมื่อมีข้อกล่าวอ้างฉ้อฉล สิทธิทางอุทธรณ์มิใช่นำคดีฟ้องใหม่
โจทก์ผู้มีชื่อถือกรรมสิทธิ์ในโฉนด ย่อมมีสิทธิทำสัญญาประนีประนอมยอมความกับจำเลยได้ และเมื่อศาลพิพากษาตามยอมแล้วว่าที่ดินตามโฉนดนั้นเป็นของโจทก์ หากบุคคลภายนอกผู้ใดเห็นว่าตนมีสิทธิในที่ดินนั้นดีกว่าโจทก์ ก็ชอบที่จะว่ากล่าวเอากับโจทก์ จะมาฟ้องจำเลยหาได้ไม่
เมื่อโจทก์จำเลยประนีประนอมยอมความกัน และศาลพิพากษาตามยอมแล้ว หากต่อมาโจทก์เห็นว่าจำเลยฉ้อฉล โจทก์ก็มีสิทธิอุทธรณ์ฎีกา มิใช่นำคดีมาฟ้องใหม่
เดิม โจทก์ฟ้องจำเลยให้โอนโฉนดแลกเปลี่ยนกัน ที่สุดศาลพิพากษาตามยอมว่า ที่ดินโฉนดที่ 480 เป็นของโจทก์ ที่ดินโฉนดที่ 485 เป็นของจำเลย ต่อมาโจทก์มาฟ้องใหม่ ขอให้ศาลเพิกถอนสัญญาประนีประนอมยอมความ ให้คำพิพากษาตามยอมเป็นอันไม่ใช้บังคับเพราะเหตุจำเลยฉ้อฉล ขอให้แสดงว่าที่ดินโฉนดที่ 485 เป็นของโจทก์ ที่ดินโฉนดที่ 477 เป็นของจำเลย กรณีเช่นนี้หาเป็นฟ้องซ้ำไม่.
เมื่อโจทก์จำเลยประนีประนอมยอมความกัน และศาลพิพากษาตามยอมแล้ว หากต่อมาโจทก์เห็นว่าจำเลยฉ้อฉล โจทก์ก็มีสิทธิอุทธรณ์ฎีกา มิใช่นำคดีมาฟ้องใหม่
เดิม โจทก์ฟ้องจำเลยให้โอนโฉนดแลกเปลี่ยนกัน ที่สุดศาลพิพากษาตามยอมว่า ที่ดินโฉนดที่ 480 เป็นของโจทก์ ที่ดินโฉนดที่ 485 เป็นของจำเลย ต่อมาโจทก์มาฟ้องใหม่ ขอให้ศาลเพิกถอนสัญญาประนีประนอมยอมความ ให้คำพิพากษาตามยอมเป็นอันไม่ใช้บังคับเพราะเหตุจำเลยฉ้อฉล ขอให้แสดงว่าที่ดินโฉนดที่ 485 เป็นของโจทก์ ที่ดินโฉนดที่ 477 เป็นของจำเลย กรณีเช่นนี้หาเป็นฟ้องซ้ำไม่.
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 973/2508 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การเข้าทำนาในช่วงระหว่างความชอบด้วยกฎหมาย แม้ศาลฎีกาพิพากษาภายหลัง ย่อมไม่เป็นละเมิด
การที่จำเลยเข้าทำนาพิพาทในระหว่างที่ศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์พิพากษาให้ยกฟ้องโจทก์ ไม่เป็นการผิดกฎหมาย เพราะจำเลยเป็นผู้ชนะคดี ย่อมมีสิทธิเข้าทำนาได้โดยอาศัยสิทธิตามคำพิพากษา แม้ต่อมาภายหลังศาลฎีกาจะได้พิพากษากลับให้โจทก์ชนะก็ไม่ทำให้การกระทำของจำเลยในตอนนั้นกลายเป็นผิดกฎหมายจึงไม่เป็นการละเมิดตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 420.