พบผลลัพธ์ทั้งหมด 430 รายการ
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3019/2533
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การฟ้องเท็จและคำพิพากษาศาลที่อาศัยข้อมูลเท็จ โจทก์ต้องแสดงความเสียหายที่เกิดขึ้นต่อสิทธิของตนเอง
คดีก่อนจำเลยที่ 1 ยื่นคำร้องว่าที่ดินโฉนด เลขที่ 5072 เป็นกรรมสิทธิ์ของโจทก์ ล. ย. และ ป. ต่อมา ย. และ ป.ยกที่ดินเฉพาะ ส่วนของตน ให้จำเลยที่ 1 จำเลยที่ 1 ได้ ครอบครองจนได้กรรมสิทธิ์ ขอให้ศาลสั่งแสดงกรรมสิทธิ์ โจทก์มาฟ้องคดีนี้อ้างว่าจำเลยทั้งสองเบิกความเท็จในคดีก่อนเป็น 2 ประการ คือคำเบิกความที่ว่า ย. และ ป. มีกรรมสิทธิ์ภายในที่ดินโฉนด เลขที่ 5072ด้วย ประการหนึ่งและคำเบิกความที่ว่า ย. และ ป. ยกที่ดินให้จำเลยที่ 1 แล้วจำเลยที่ 1 ได้ ครอบครองโดย สงบ เปิดเผย ด้วย เจตนาเป็นเจ้าของติดต่อ กันเกิน 10 ปีแล้ว อีกประการหนึ่งในการไต่สวนมูลฟ้องคดีนี้ได้ความว่า ย. และ ป. มีกรรมสิทธิ์รวมในที่ดินดังกล่าวโดย การแบ่งแยกการครอบครองแล้ว ดังนี้ จึงฟังไม่ได้ว่าคำเบิกความของจำเลยทั้งสองในประการแรกเป็นความเท็จและเมื่อข้อเท็จจริงปรากฏว่า โจทก์ไม่ได้เข้าเป็นคู่ความในคดีก่อนและคำฟ้องโจทก์ในคดีนี้ก็มิได้กล่าวว่าโจทก์มีส่วนได้เสียหรือมีสิทธิในที่ดินของ ย. และ ป. อย่างไร คำเบิกความของจำเลยทั้งสองในประการที่ 2 จึงไม่กระทบกระเทือนถึง สิทธิของโจทก์ และคำฟ้องของโจทก์ไม่ปรากฏเหตุที่ทำให้เห็นได้ว่าโจทก์ได้ รับความเสียหายจากคำเบิกความของจำเลยทั้งสอง ข้อที่โจทก์อ้างว่าโจทก์เป็นผู้ครอบครองที่ดินส่วนของ ย. และ ป. นั้น เป็นการนำสืบนอกเหนือจากที่กล่าวในฟ้องคำเบิกความของจำเลยทั้งสองที่บางส่วนไม่เป็นเท็จบางส่วนไม่ทำให้โจทก์เสียหายเช่นนี้คดีโจทก์จึงไม่มีมูล
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3019/2533 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การฟ้องร้องกรณีเบิกความเท็จต้องเชื่อมโยงกับความเสียหายที่โจทก์ได้รับ โดยข้อเท็จจริงที่นำสืบต้องอยู่ในคำฟ้อง
ข้อเท็จจริงที่โจทก์นำสืบนอกเหนือจากที่กล่าวในฟ้องจะนำมาพิจารณาประกอบคำฟ้องของโจทก์ไม่ได้ เมื่อคำเบิกความของจำเลยทั้งสองบางส่วนไม่เป็นเท็จ และบางส่วนไม่ทำให้โจทก์ได้ รับความเสียหาย คดีของโจทก์จึงไม่มีมูลที่ศาลจะประทับฟ้อง ไว้พิจารณา.
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1381/2533
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การฟ้องเบิกความเท็จต้องระบุประเด็นสำคัญของคดีก่อน และความเกี่ยวข้องของการกระทำผิด
โจทก์บรรยายฟ้องว่า จำเลยเบิกความเท็จต่อศาลในคดีอาญาที่ พ.เป็นจำเลยในความผิดฐานร่วมกันทำเหมืองแร่โดยไม่ได้รับประทานบัตรชั่วคราวหรือประทานบัตร โดยบรรยายรายละเอียดข้อความทั้งสิ้นที่จำเลยเบิกความ กับความจริงที่ตรงกันข้ามกับคำเบิกความของจำเลยนั้นเป็นอย่างไร และว่าคำเบิกความของจำเลยเป็นข้อสำคัญในคดแต่คดีที่จำเลยเบิกความเท็จนั้นประเด็นสำคัญของคดีคือข้อเท็จจริงเกี่ยวกับการกระทำผิดของ พ. จำเลยคดีนั้นมีอย่างไร โจทก์มิได้บรรยายไว้ ที่อ้างว่าความจริงจำเลยเป็นคนงานของบริษัท พี. ใช้รถตักรถดั๊มขุดตักกะสะ แร่ดีบุกจากที่ดินทั้งสองแปลงแล้วบรรทุกเข้าไปในเหมืองแร่ของบริษัท พี. โจทก์ก็บรรยายให้ทราบแต่เพียงความสัมพันธ์ระหว่าง พ. กับบริษัท พี.เท่านั้น การกระทำของคนงานบริษัท พี. ที่อ้างว่าจำเลยเห็นดังกล่าวจะเกี่ยวข้องกับการกระทำของ พ. อย่างไร โจทก์หาได้บรรยายให้ชัดแจ้งไม่ ถือไม่ได้ว่าโจทก์ได้บรรยายฟ้องให้เห็นว่าคำเบิกความของจำเลยเป็นข้อสำคัญในคดีอย่างไร ไม่ชอบด้วยป.วิ.อ. มาตรา 158(5).
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1349/2533
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
เบิกความเท็จต่อศาล: การเปลี่ยนแปลงคำเบิกความสำคัญต่อคดี ถือเป็นความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 177
จำเลยเห็น ม. กับ ส. เข็นรถบรรทุกกล่องสีน้ำตาลผ่านหลังบ้านจำเลยในวันเวลาตาม ที่ได้ เบิกความไว้จริง แต่ เมื่อจำเลยมาเบิกความต่อ ศาลกลับเบิกความว่าเห็น ม. กับชาย อีกคนหนึ่งชื่อ จ. จำหน้าไม่ได้จึงเป็นการนำความอันเป็นเท็จมาเบิกความต่อ ศาลและเป็นข้อความสำคัญในคดี เป็นความผิดตาม ป.อ. มาตรา 177.
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1033/2533 เวอร์ชัน 3 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ขอบเขตความผิดฐานเจ้าพนักงานปฏิบัติ/ละเว้นหน้าที่โดยมิชอบ, เบิกความเท็จ, และหมิ่นประมาท: การพิเคราะห์เจตนาและหน้าที่
การปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่ตาม ป.อ. มาตรา 157หมายถึง หน้าที่ของเจ้าพนักงานผู้นั้นโดยตรงตาม ที่กฎหมายบัญญัติไว้หรือได้ รับ มอบหมายให้มีหน้าที่นั้น ๆ เท่านั้น ถ้า ไม่ เกี่ยวกับหน้าที่ของเจ้าพนักงานผู้นั้นโดยตรงแล้วย่อมไม่เป็นความผิดตามมาตรานี้ จำเลยได้ เบิกความเป็นพยานโจทก์ ซึ่ง การเบิกความของเจ้าพนักงานตำรวจไม่ใช่หน้าที่ราชการหรือหน้าที่ที่ได้ รับ มอบหมายโดยตรงของจำเลย จำเลยจึงไม่มีความผิดตาม มาตรานี้ ป.อ. มาตรา 177 บัญญัติไว้เพื่อป้องกันมิให้จำเลยที่ถูกฟ้องร้องได้ รับโทษหรือได้ รับความเสียหาย อันเกิดจากการรับฟังพยานอันเป็นเท็จ ผู้ที่จะเสียหายคือจำเลยในคดีนั้น การที่โจทก์มิได้ถูก ฟ้องเป็นจำเลยในคดีก่อน โจทก์จึงไม่ได้รับความเสียหายโดยตรงในการเบิกความของจำเลยในคดีดังกล่าวนั้น โจทก์จึงไม่ใช่ผู้เสียหายและไม่มีอำนาจฟ้อง การใส่ความตาม ป.อ. มาตรา 326 ผู้กระทำต้อง มีเจตนาใส่ความผู้อื่น ข้อที่จำเลยเบิกความเกี่ยวกับตัว โจทก์ในคดีอาญาอื่นเป็นข้อที่จำเลยสืบทราบมาจากชาวบ้าน ไม่ใช่ข้อที่จำเลยประสบมาด้วยตนเอง ส่วนข้อที่ชาวบ้านบอกให้จำเลยรับทราบนั้นจะเป็นความจริงหรือไม่โจทก์ไม่ทราบ การเบิกความของจำเลย จำเลยมีเจตนาจะให้ความจริงต่อ ศาลในการพิจารณาคดีตาม ที่จำเลยสืบทราบมาเท่านั้นจำเลยหาได้ มีเจตนาใส่ความโจทก์ให้ถูก ดูหมิ่น ถูก เกลียดชังแต่ อย่างใดไม่ จึงไม่เป็นความผิดตาม มาตรานี้.
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1033/2533 เวอร์ชัน 4 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ขอบเขตความผิดตามมาตรา 157, 177, 326: หน้าที่, ความเสียหาย, และเจตนาใส่ความ
การปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบหรือโดยทุจริตอันจะเป็นความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 157 นั้น หมายถึงหน้าที่ของเจ้าพนักงานผู้นั้นโดยตรงตามที่กฎหมายบัญญัติไว้หรือได้รับมอบหมายให้มีหน้าที่นั้น ๆ เท่านั้น ถ้าไม่เกี่ยวกับหน้าที่โดยตรงแล้ว ย่อมไม่เป็นความผิดตามมาตรานี้ การที่จำเลยเบิกความเป็นพยานที่ศาลไม่ใช่หน้าที่ราชการหรือหน้าที่ที่ได้รับมอบหมายโดยตรงของจำเลย จำเลยจึงไม่มีความผิดตามบทกฎหมายดังกล่าว
ความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 177 บัญญัติขึ้นเพื่อป้องกันมิให้จำเลยที่ถูกฟ้องร้องได้รับโทษหรือได้รับความเสียหายอันเกิดจากการรับฟังพยานอันเป็นเท็จ เมื่อโจทก์ในคดีนี้มิได้ถูกฟ้องเป็นจำเลยในคดีที่จำเลยในคดีนี้ไปเบิกความเป็นพยาน โจทก์จึงไม่ได้รับความเสียหายโดยตรงในการเบิกความของจำเลย โจทก์ไม่ใช่ผู้เสียหายและไม่มีอำนาจฟ้องจำเลยในความผิดตามมาตรานี้ ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 28(2)
ข้อความที่จำเลยเบิกความเกี่ยวกับตัวโจทก์ เป็นข้อที่จำเลยสืบทราบมาจากชาวบ้าน จำเลยไม่ได้ประสบมาด้วยตนเอง และข้อที่ชาวบ้านบอกให้จำเลยรับทราบนี้จะเป็นความจริงหรือไม่โจทก์ก็ไม่ทราบดังนี้ การที่จำเลยเบิกความจึงมีเพียงเจตนาจะให้ความจริงต่อศาลในการพิจารณาคดีตามที่จำเลยสืบทราบมาเท่านั้น หาได้มีเจตนาใส่ความโจทก์ให้ถูกดูหมิ่นถูกเกลียดชังไม่ จึงไม่เป็นความผิดฐานหมิ่นประมาทตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 326.
ความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 177 บัญญัติขึ้นเพื่อป้องกันมิให้จำเลยที่ถูกฟ้องร้องได้รับโทษหรือได้รับความเสียหายอันเกิดจากการรับฟังพยานอันเป็นเท็จ เมื่อโจทก์ในคดีนี้มิได้ถูกฟ้องเป็นจำเลยในคดีที่จำเลยในคดีนี้ไปเบิกความเป็นพยาน โจทก์จึงไม่ได้รับความเสียหายโดยตรงในการเบิกความของจำเลย โจทก์ไม่ใช่ผู้เสียหายและไม่มีอำนาจฟ้องจำเลยในความผิดตามมาตรานี้ ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 28(2)
ข้อความที่จำเลยเบิกความเกี่ยวกับตัวโจทก์ เป็นข้อที่จำเลยสืบทราบมาจากชาวบ้าน จำเลยไม่ได้ประสบมาด้วยตนเอง และข้อที่ชาวบ้านบอกให้จำเลยรับทราบนี้จะเป็นความจริงหรือไม่โจทก์ก็ไม่ทราบดังนี้ การที่จำเลยเบิกความจึงมีเพียงเจตนาจะให้ความจริงต่อศาลในการพิจารณาคดีตามที่จำเลยสืบทราบมาเท่านั้น หาได้มีเจตนาใส่ความโจทก์ให้ถูกดูหมิ่นถูกเกลียดชังไม่ จึงไม่เป็นความผิดฐานหมิ่นประมาทตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 326.
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1033/2533
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ขอบเขตความผิดฐานปฏิบัติ/ละเว้นหน้าที่โดยมิชอบ, เบิกความเท็จ, และหมิ่นประมาท: เจ้าพนักงานต้องมีหน้าที่โดยตรง
การปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบหรือโดยทุจริตอันจะเป็นความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 157 นั้น หมายถึงหน้าที่ของเจ้าพนักงานผู้นั้นโดยตรงตามที่กฎหมายบัญญัติไว้หรือได้รับมอบหมายให้มีหน้าที่นั้น ๆ เท่านั้น ถ้าไม่เกี่ยวกับหน้าที่โดยตรงแล้ว ย่อมไม่เป็นความผิดตามมาตรานี้ การที่จำเลยเบิกความเป็นพยานที่ศาลไม่ใช่หน้าที่ราชการหรือหน้าที่ที่ได้รับมอบหมายโดยตรงของจำเลย จำเลยจึงไม่มีความผิดตามบทกฎหมายดังกล่าว ความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 177 บัญญัติขึ้นเพื่อป้องกันมิให้จำเลยที่ถูกฟ้องร้องได้รับโทษหรือได้รับความเสียหายอันเกิดจากการรับฟังพยานอันเป็นเท็จ เมื่อโจทก์ในคดีนี้มิได้ถูกฟ้องเป็นจำเลยในคดีที่จำเลยในคดีนี้ไปเบิกความเป็นพยาน โจทก์จึงไม่ได้รับความเสียหายโดยตรงในการเบิกความของจำเลย โจทก์ไม่ใช่ผู้เสียหายและไม่มีอำนาจฟ้องจำเลยในความผิดตามมาตรานี้ ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 28(2) ข้อความที่จำเลยเบิกความเกี่ยวกับตัวโจทก์ เป็นข้อที่จำเลยสืบทราบมาจากชาวบ้าน จำเลยไม่ได้ประสบมาด้วยตนเอง และข้อที่ชาวบ้านบอกให้จำเลยรับทราบนี้จะเป็นความจริงหรือไม่โจทก์ก็ไม่ทราบดังนี้ การที่จำเลยเบิกความจึงมีเพียงเจตนาจะให้ความจริงต่อศาลในการพิจารณาคดีตามที่จำเลยสืบทราบมาเท่านั้น หาได้มีเจตนาใส่ความโจทก์ให้ถูกดูหมิ่นถูกเกลียดชังไม่ จึงไม่เป็นความผิดฐานหมิ่นประมาทตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 326.
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1033/2533 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ขอบเขตความผิด ม.157, 177, 326: การเบิกความต่อศาลและการใส่ความผู้อื่น ต้องพิจารณาหน้าที่, ผู้เสียหาย, และเจตนา
การปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบหรือโดยทุจริตอันจะเป็นความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 157 นั้นหมายถึงหน้าที่ของเจ้าพนักงานผู้นั้นโดยตรงตามที่กฎหมายบัญญัติไว้ หรือได้รับมอบหมายให้มีหน้าที่นั้น ๆ เท่านั้น ถ้าไม่เกี่ยวกับหน้าที่โดยตรงแล้ว ย่อมไม่เป็นความผิดตามมาตรานี้ การที่จำเลยเบิกความเป็นพยานที่ศาลไม่ใช่หน้าที่ราชการหรือหน้าที่ที่ได้รับมอบหมายโดยตรงของจำเลย จำเลยจึงไม่มีความผิดตามบทกฎหมายดังกล่าว ความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 177 บัญญัติขึ้นเป็นการป้องกันมิให้จำเลยที่ถูกฟ้องร้องได้รับโทษหรือได้รับความเสียหายอันเกิดจากการรับฟังพยานอันเป็นเท็จ เมื่อโจทก์ในคดีนี้มิได้ถูกฟ้องเป็นจำเลยในคดีที่จำเลยในคดีนี้ไปเบิกความเป็นพยาน โจทก์จึงไม่ได้รับความเสียหายโดยตรงในการเบิกความของจำเลยโจทก์ไม่ใช่ผู้เสียหายและไม่มีอำนาจฟ้องจำเลยในความผิดตามมาตรานี้ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 28(2) ข้อความที่จำเลยเบิกความเกี่ยวกับตัวโจทก์ เป็นข้อที่จำเลยสืบทราบมาจากชาวบ้าน จำเลยไม่ได้ประสบมาด้วยตนเอง และข้อที่ชาวบ้านบอกให้จำเลยรับทราบนี้จะเป็นความจริงหรือไม่โจทก์ก็ไม่ทราบ ดังนี้ การที่จำเลยเบิกความจึงมีเพียงเจตนาจะให้ความจริงต่อศาลในการพิจารณาคดีตามที่จำเลยสืบทราบมาเท่านั้น หาได้มีเจตนาใส่ความโจทก์ให้ถูกดูหมิ่นถูกเกลียดชังไม่ จึงไม่เป็นความผิดฐานหมิ่นประมาทตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 326
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4579/2532
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การแก้ไขฟ้องอาญาเนื่องจากข้อผิดพลาดในการพิมพ์วันเวลาที่กระทำความผิด อนุญาตได้หากไม่ทำให้จำเลยเสียเปรียบ
โจทก์ขอแก้ฟ้องวันเวลาที่อ้างว่าจำเลยกระทำความผิดโดยอ้างเหตุว่าเนื่องจากพิมพ์ผิดพลาด เป็นการขอแก้รายละเอียดซึ่งต้องแถลงในฟ้องและเหตุที่โจทก์อ้างมานั้นเป็นเหตุอันสมควรอนุญาตให้โจทก์แก้ฟ้องได้ เพราะอาจเกิดบกพร่องเช่นนั้นได้ ทั้งจำเลยให้การปฏิเสธลอย ๆ และชั้นไต่สวนมูลฟ้อง พยานโจทก์ก็เบิกความว่าจำเลยกระทำความผิดตามวันที่ที่โจทก์ขอแก้ จึงไม่ทำให้จำเลยหลงข้อต่อสู้ชอบที่จะให้โจทก์แก้ฟ้องได้.
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3160/2532 เวอร์ชัน 3 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
เบิกความเท็จในคดีเช็ค: ข้อสำคัญคือเจตนาในการชำระหนี้ ไม่ใช่รูปแบบการแลกเงิน
จำเลยฟ้องโจทก์ในคดีเดิมขอให้ลงโทษตามพระราชบัญญัติว่าด้วยความผิดอันเกิดจากการใช้เช็ค พ.ศ. 2497 และเบิกความในคดีดังกล่าวว่า โจทก์ออกเช็คพิพาทนำไปแลกเงินสดจากจำเลย ความจริงโจทก์ออกเช็คพิพาทเพื่อแลกเช็คฉบับอื่นที่มี ส. เป็นผู้สั่งจ่ายโดย พ. น้องชายโจทก์นำไปแลกเงินสดจากจำเลย โจทก์จึงฟ้องจำเลยคดีนี้ว่าเบิกความเท็จ เมื่อข้อเท็จจริงฟังได้ว่า โจทก์ได้ออกเช็คพิพาทแล้วนำไปให้จำเลยเพื่อแลกเช็คของ ส. คืนมาเพราะต้องการชำระหนี้แทน พ. เช่นนี้ เช็คพิพาทจึงเป็นเช็คที่โจทก์ออกเพื่อชำระหนี้แก่จำเลย ข้อที่ว่าโจทก์นำเช็คไปแลกเงินสดหรือแลกเช็คอื่นจากจำเลย จึงมิใช่ข้อสำคัญในคดีดังกล่าว ดังนั้น แม้จำเลยจะเบิกความแตกต่างไปบ้างก็ไม่ทำให้การกระทำของจำเลยเป็นความผิดตามโจทก์ฟ้อง