คำพิพากษาที่เกี่ยวข้องกับกฎหมาย
ป.อ. ม. 177

พบผลลัพธ์ทั้งหมด 430 รายการ

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1764/2518

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ คำฟ้องเบิกความเท็จต่อศาล: การบรรยายฟ้องต้องระบุความขัดแย้งระหว่างคำเบิกความกับคำให้การในชั้นสอบสวน
บรรยายฟ้องว่า จำเลยซึ่งเป็นพยานโจทก์ในคดีปล้นทรัพย์เบิกความเท็จต่อศาลว่าจำคนร้ายไม่ได้ อันเป็นความเท็จและเป็นข้อสำคัญในคดี ซึ่งความจริงจำเลยเคยให้การในฐานะพยานในชั้นสอบสวนว่าจำคนร้ายได้ ดังนี้ แม้จะมิได้กล่าวให้ปรากฏชัดว่าความจริงเป็นดังที่จำเลยเบิกความหรือเป็นดังที่จำเลยให้การ ก็ย่อมเข้าใจได้แล้วว่าโจทก์กล่าวอ้างว่าคำเบิกความของจำเลยเป็นความเท็จ ส่วนความจริงเป็นดังที่จำเลยได้ให้การไว้ในชั้นสอบสวนนั่นเอง และในคดีอาญาเรื่องปล้นทรัพย์ คำเบิกความของพยานในข้อที่ว่าจำคนร้ายได้หรือไม่นั้น ย่อมเป็นข้อสำคัญในคดี คำฟ้องของโจทก์จึงเป็นคำฟ้องในข้อหาตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 177 ที่สมบูรณ์แล้ว

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1050/2518 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ค่าธรรมเนียมศาลและการเป็นผู้เสียหายโดยตรง: ศาลเป็นผู้เสียหายจากการไม่ชำระค่าธรรมเนียม ไม่ใช่คู่ความ
การที่กฎหมายบัญญัติให้ชำระค่าธรรมเนียมศาลนั้น เป็นวิธีการอย่างหนึ่งในการเก็บเป็นรายได้ของรัฐบาล เมื่อมีการหลีกเลี่ยงไม่ชำระค่าธรรมเนียมศาล ศาลย่อมเป็นผู้เสียหาย บุคคลอื่นหาใช่ผู้เสียหายโดยตรงไม่
โจทก์ฟ้องว่า จำเลยซึ่งแพ้คดีแพ่งได้ยื่นคำร้องและเบิกความในการขออุทธรณ์และฎีกาอย่างคนอนาถาอันเป็นเท็จว่า จำเลยยากจนไม่มีทรัพย์สินพอจะจำหน่ายจ่ายโอนเพื่อหาเงินมาเสียค่าธรรมเนียมได้ ทำให้โจทก์เสียหายโดยต้องอ้างพยานมาสืบต่อสู้ ต้องเสียค่าธรรมเนียมค่าทนายและค่าใช้จ่าย ขอให้ลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 137,177 ดังนี้ ศาลย่อมพิพากษายกฟ้อง เพราะโจทก์ไม่ใช่ผู้เสียหายโดยตรง ไม่มีอำนาจฟ้อง

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1050/2518

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การหลีกเลี่ยงค่าธรรมเนียมศาลไม่ทำให้บุคคลอื่นเสียหายโดยตรง ศาลเป็นผู้เสียหาย
การที่กฎหมายบัญญัติให้ชำระค่าธรรมเนียมศาลนั้น เป็นวิธีการอย่างหนึ่งในการเก็บเป็นรายได้ของรัฐบาลเมื่อมีการหลีกเลี่ยงไม่ชำระค่าธรรมเนียมศาลศาลย่อมเป็นผู้เสียหายบุคคลอื่นหาใช่ผู้เสียหายโดยตรงไม่
โจทก์ฟ้องว่า จำเลยซึ่งแพ้คดีแพ่งได้ยื่นคำร้องและเบิกความในการขออุทธรณ์และฎีกาอย่างคนอนาถาอันเป็นเท็จว่า จำเลยยากจนไม่มีทรัพย์สินพอจะจำหน่ายจ่ายโอนเพื่อหาเงินมาเสียค่าธรรมเนียมได้ทำให้โจทก์เสียหายโดยต้องอ้างพยานมาสืบต่อสู้ต้องเสียค่าธรรมเนียมค่าทนายและค่าใช้จ่ายขอให้ลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 137,177 ดังนี้ ศาลย่อมพิพากษายกฟ้องเพราะโจทก์ไม่ใช่ผู้เสียหายโดยตรงไม่มีอำนาจฟ้อง

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 619/2518 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ข้อเท็จจริงยุติในคดีก่อนไม่ผูกมัดคดีหลัง ศาลพิจารณาพยานหลักฐานในสำนวนคดีปัจจุบันเป็นสำคัญ
ในคดีก่อนจำเลยเข้าเป็นโจทก์ร่วมกับพนักงานอัยการฟ้องโจทก์ในความผิดต่อพระราชบัญญัติว่าด้วยความผิดอัน เกิดจากการใช้เช็ค และเบิกความว่าโจทก์ออกเช็คแลกเงินสดไปจากจำเลย ศาลพิพากษายกฟ้องโดยฟังข้อเท็จจริงว่า โจทก์ออกเช็คดังกล่าวให้จำเลยเป็นประกันการกู้ยืม โจทก์จึงมาฟ้องจำเลยกล่าวหาจำเลยฟ้องเท็จและเบิกความเท็จในคดีก่อน ดังนี้คำชี้ขาดของศาลในข้อเท็จจริงในคดีก่อนนั้นต้องถือว่ายุติระหว่างโจทก์จำเลยในคดีนั้น ส่วนคดีหลังนี้ก็ชอบที่ศาลจะต้องพิจารณาพยานหลักฐานที่ปรากฏในสำนวนคดีนี้เป็นสำคัญ จะถือเอาข้อเท็จจริงซึ่งยุติในคดีก่อนมาผูกมัดให้ศาลวินิจฉัยคดีหลังตามหาได้ไม่ ข้อเท็จจริงดังกล่าวเป็นเพียงพยานหลักฐานส่วนหนึ่งซึ่งศาลอาจใช้ประกอบการพิจารณาคดีหลังเท่านั้น ศาลจึงวินิจฉัยคดีหลังนี้โดยไม่ต้องถือตามข้อเท็จจริงในคดีเรื่องก่อน

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 619/2518

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ข้อเท็จจริงยุติในคดีก่อนไม่ผูกมัดคดีหลัง ศาลพิจารณาพยานหลักฐานในสำนวนคดีปัจจุบันเป็นสำคัญ
ในคดีก่อน จำเลยเข้าเป็นโจทก์ร่วมกับพนักงานอัยการฟ้องโจทก์ในความผิดต่อพระราชบัญญัติว่าด้วยความผิดอันเกิดจากการใช้เช็คและเบิกความว่าโจทก์ออกเช็คแลกเงินสดไปจากจำเลย ศาลพิพากษายกฟ้องโดยฟังข้อเท็จจริงว่า โจทก์ออกเช็คดังกล่าวให้จำเลยเป็นประกันการกู้ยืมโจทก์จึงมาฟ้องจำเลยกล่าวหาว่าจำเลยฟ้องเท็จและเบิกความเท็จในคดีก่อน ดังนี้ คำชี้ขาดของศาลในข้อเท็จจริงในคดีก่อนนั้นต้องถือว่ายุติระหว่างโจทก์จำเลยในคดีนั้นส่วนคดีหลังนี้ก็ชอบที่ศาลจะต้องพิจารณาพยานหลักฐานที่ปรากฏในสำนวนคดีนี้เป็นสำคัญจะถือเอาข้อเท็จจริงซึ่งยุติในคดีก่อนมาผูกมัดให้ศาลวินิจฉัยคดีหลังตามหาได้ไม่ข้อเท็จจริงดังกล่าวเป็นเพียงพยานหลักฐานส่วนหนึ่งซึ่งศาลอาจใช้ประกอบการพิจารณาคดีหลังเท่านั้นศาลจึงวินิจฉัยคดีหลังนี้โดยไม่ต้องถือตามข้อเท็จจริงในคดีเรื่องก่อน

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 9/2518

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การเบิกความเท็จในคดีจัดการมรดก: ประเด็นสำคัญไม่ใช่จำนวนทายาทหรือทรัพย์สิน
คดีร้องขอเป็นผู้จัดการมรดกประเด็นในคดีมีว่า ผู้ร้องเป็นทายาทหรือผู้มีส่วนได้เสียที่จะมีสิทธิยื่นคำร้องขอต่อศาลหรือไม่ มีเหตุที่จะแต่งตั้งผู้จัดการมรดกหรือไม่ ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1713 และผู้ร้องเป็นบุคคลต้องห้ามที่จะเป็นผู้จัดการมรดกตามมาตรา 1718 หรือไม่ส่วนที่ว่าเจ้ามรดกมีทายาทกี่คน ทรัพย์มรดกมีเท่าไรนั้นมิใช่ข้อสำคัญในคดี ดังนั้น แม้ผู้ร้องจะเบิกความเกี่ยวกับจำนวนทายาทหรือแสดงหลักฐานทรัพย์มรดกไม่ตรงต่อความจริงไปบ้าง ก็ไม่มีมูลความผิดฐานเบิกความเท็จ หรือแสดงหลักฐานเท็จตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 177,180
คดีฟ้องขอถอดถอนผู้จัดการมรดกประเด็นในคดีอยู่ที่ว่าผู้จัดการมรดกปฏิบัติหน้าที่ผู้จัดการมรดกตามกฎหมายหรือไม่ซึ่งหน้าที่ผู้จัดการมรดกนี้เริ่มต้นแต่ศาลมีคำสั่งแต่งตั้งตามมาตรา 1716 ดังนั้น แม้ผู้จัดการมรดกจะเบิกความเท็จในคดีดังกล่าวว่าไม่รู้ตัวทายาทของเจ้ามรดกบางคนในขณะที่ยื่นคำร้องขอเป็นผู้จัดการมรดกก็ตาม ก็ไม่ใช่ข้อสำคัญในคดี จึงไม่มีมูลความผิดฐานเบิกความเท็จตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 177

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 9/2518 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การเบิกความเท็จในคดีผู้จัดการมรดก: ประเด็นสำคัญของคดีไม่ใช่จำนวนทายาทหรือทรัพย์สิน
คดีร้องขอเป็นผู้จัดการมรดก ประเด็นในคดีมีว่าผู้ร้องเป็นทายาทหรือผู้มีส่วนได้เสียที่จะมีสิทธิยื่นคำร้องขอต่อศาลหรือไม่ มีเหตุที่จะแต่งตั้งผู้จัดการมรดกหรือไม่ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1713 และผู้ร้องเป็นบุคคลต้องห้ามที่จะเป็นผู้จัดการมรดกตามมาตรา 1718 หรือไม่ ส่วนที่ว่าเจ้ามรดกมีทายาทกี่คน ทรัพย์มรดกมีเท่าไรนั้นมิใช่ข้อสำคัญในคดี ดังนั้นแม้ผู้ร้องจะเบิกความเกี่ยวกับจำนวนทายาทหรือแสดงหลักฐานทรัพย์มรดกไม่ตรงต่อความจริงไปบ้าง ก็ไม่มีมูลความผิดฐานเบิกความเท็จหรือแสดงหลักฐานเท็จตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 177, 180
คดีฟ้องขอถอดถอนผู้จัดการมรดกประเด็นในคดีอยู่ที่ว่า ผู้จัดการมรดกปฏิบัติหน้าที่ผู้จัดการมรดกตามกฎหมายหรือไม่ ซึ่งหน้าที่ผู้จัดการมรดกนี้เริ่มต้นแต่ศาลมีคำสั่งแต่งตั้งตามมาตรา 1716 ดังนั้น แม้ผู้จัดการมรดกจะเบิกความเท็จในคดีดังกล่าวว่าไม่รู้ตัวทายาทเจ้ามรดกบางคนในขณะที่ยื่นคำร้องขอเป็นผู้จัดการมรดกก็ตาม ก็ไม่ใช่ข้อสำคัญในคดีจึงไม่มีมูลความผิดฐานเบิกความเท็จตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 177

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2433/2517 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ แจ้งความเท็จ-เบิกความเท็จ: การแจ้งความตามคำบอกเล่า ไม่ใช่ความเท็จโดยตรง
คำฟ้องที่ไม่มีมูลเป็นความผิดฐานแจ้งความเท็จและเบิกความเท็จ

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2433/2517

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ แจ้งความ/เบิกความเท็จ – ความผิดฐานแจ้งความ/เบิกความเท็จและฐานข่มขืนกระทำชำเรา – เจ้าพนักงานตำรวจมีอำนาจหน้าที่
คำฟ้องโจทก์ว่าจำเลยที่ 1 แจ้งความต่อพนักงานสอบสวนตามคำบอกเล่าของเด็กหญิง อ. บุตรสาวอายุ 8 ปี ว่าเด็กหญิง อ.ได้ถูกเด็กชายไม่ทราบชื่อซึ่งอยู่ในโรงเรียนเดียวกันข่มขืนกระทำชำเราโดยมิได้กล่าวยืนยันถึงตัวผู้ข่มขืนว่า เป็นเด็กชาย ศ. บุตรโจทก์และการที่จำเลยที่ 1 แจ้งข้อความถึงเรื่องที่เด็กหญิง อ. ชี้ตัวบุตรโจทก์ว่า เป็นผู้ข่มขืนกระทำชำเรานั้น ก็เป็นการเล่าข้อเท็จจริงเกี่ยวกับการชี้ตัวผู้กระทำผิดเท่านั้น มิใช่จำเลยที่ 1 กล่าวยืนยันเองเมื่อคำฟ้องโจทก์มิได้กล่าวอ้างว่า ผู้ถูกข่มขืนมิได้เล่าข้อเท็จจริงเช่นนั้นแก่จำเลยที่ 1 หรือมิได้ชี้ตัวบุตรโจทก์ว่าเป็นผู้กระทำผิด คำฟ้องโจทก์ดังกล่าวจึงไม่อาจมีมูลเป็นความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 172,173,174
ฟ้องข้อหาฐานเบิกความเท็จว่าจำเลยที่ 1 เบิกความว่า เมื่อเด็กหญิง อ. บอกว่าถูกเด็กชายที่โรงเรียนเดียวกันข่มขืนกระทำชำเราก็ไปแจ้งความโดยมิได้เบิกความยืนยันว่าผู้ข่มขืนกระทำชำเราคือบุตรโจทก์ และจำเลยที่ 2 เบิกความไปตามคำบอกกล่าวของเด็กหญิง อ. แล้วเล่าถึงข้อเท็จจริงที่เด็กหญิง อ. ชี้ตัวบุตรโจทก์ว่าเป็นผู้ข่มขืนกระทำชำเรานั้น เมื่อข้อที่ว่าเด็กหญิง อ. บอกเล่าแก่จำเลยแต่ละคนจริงหรือไม่ และชี้ตัวบุตรโจทก์จริงหรือไม่ มิใช่เหตุการณ์ที่โจทก์กล่าวหาว่าเป็นความเท็จ ดังนั้น คำเบิกความของจำเลยทั้งสอง จึงไม่อาจมีมูลเป็นความผิดฐานเบิกความเท็จตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 177 ได้
การที่เจ้าพนักงานตำรวจได้จับกุมคุมขังเด็กชาย ศ. บุตรโจทก์ตามที่ได้รับแจ้งความนั้นเป็นเรื่องของเจ้าพนักงานตำรวจ ซึ่งได้กระทำไปตามอำนาจและหน้าที่ตามกฎหมายหาใช่ผลโดยตรงจากการที่จำเลยที่ 1 แจ้งข้อความไม่ การกระทำของจำเลยที่ 1 จึงไม่มีมูลเป็นความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 310

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2054/2517 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ขอบเขตความผิดหมิ่นประมาท แจ้งความเท็จ และอำนาจฟ้องในคดีอาญา
คำเบิกความของจำเลยซึ่งเท้าความไปถึงเรื่องระหองระแหงต่าง ๆ ระหว่างโจทก์กับจำเลยในคดีอาญาที่ศาลได้พิพากษาลงโทษจำเลยฐานทำร้ายร่างกายโจทก์นั้น แม้จะเป็นความเท็จ ก็หาใช่ข้อสำคัญในคดีดังกล่าวไม่
คำเบิกความของจำเลยในคดีอาญาซึ่งอ้างตนเองเป็นพยานเพื่อประโยชน์แก่คดีของตนนั้น ถือว่าเป็นถ้อยคำของคู่ความในกระบวนพิจารณา จึงไม่อาจเป็นความผิดฐานหมิ่นประมาท
การเบิกความเท็จต่อศาลในการพิจารณาคดี มิใช่เรื่องแจ้งความต่อเจ้าพนักงาน เพราะศาลทำหน้าที่เป็นเจ้าพนักงานในการยุติธรรมในการพิจารณาคดี ซึ่งมีบทบัญญัติไว้โดยเฉพาะตามมาตรา 177 มิได้ปฏิบัติหน้าที่ในฐานะเป็นเจ้าพนักงานทั่วไป จึงไม่เป็นความผิดฐานแจ้งความเท็จ
ฟ้องโจทก์มิได้บรรยายว่า การแจ้งความเท็จของจำเลยอาจทำให้โจทก์เสียหาย เป็นแต่กล่าวว่าอาจทำให้ผู้อื่นเสียหายโจทก์จึงไม่ใช่ผู้เสียหาย ไม่มีอำนาจฟ้องในข้อหาฐานนี้
of 43