คำพิพากษาที่เกี่ยวข้องกับกฎหมาย
ป.วิ.พ. ม. 229

พบผลลัพธ์ทั้งหมด 462 รายการ

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1968/2537 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การขยายระยะเวลาอุทธรณ์, ผลของการอุทธรณ์เกินกำหนด, และข้อตกลงอัตราดอกเบี้ยที่เปลี่ยนแปลง
++ เรื่อง ++++
++ คดีแดงที่ 1968-1969/2537 ++
++ ทดสอบทำงานในระบบ CW เพื่อค้นหาข้อมูลทาง online ++
++
แม้ว่าก่อนที่ศาลชั้นต้นมีคำสั่งอนุญาตให้ขยายระยะเวลาอุทธรณ์จำเลยที่ 1 ที่ 2 จะมีสิทธิยื่นอุทธรณ์ได้ภายในวันที่ 17 กันยายน 2533 เป็นวันสุดท้ายได้เพราะวันครบกำหนดระยะเวลาอุทธรณ์คือวันที่ 15 กันยายน 2533 ตรงกับวันเสาร์หยุดราชการ แต่เมื่อศาลชั้นต้นมีคำสั่งอนุญาตให้ขยายระยะเวลาอุทธรณ์แล้ว การนับระยะเวลาก็ต้องนับติดต่อกันไปโดยไม่ต้องคำนึงว่าวันสุดท้ายแห่งกำหนดระยะเวลาเดิมจะเป็นวันหยุดราชการหรือไม่ คือเริ่มนับหนึ่ง ตั้งแต่วันที่ 16 กันยายน 2533 เป็นวันเริ่มต้น
แม้จำเลยที่ 1 ที่ 2 ได้อุทธรณ์โต้แย้งคำพิพากษาศาลชั้นต้นส่วนนี้ไว้ก็ตาม แต่เมื่อได้ความจากการวินิจฉัยมาแล้วว่าจำเลยที่ 1 ที่ 2 ยื่นอุทธรณ์เกินกำหนดจึงถือเท่ากับว่าจำเลยที่ 1 ที่ 2 มิได้อุทธรณ์นั่นเอง ปัญหาข้อเท็จจริงเช่นว่านั้นย่อมยุติตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น
จำเลยที่ 1 ยอมให้โจทก์ซึ่งเป็นสถาบันการเงินปรับอัตราดอกเบี้ยร้อยละ 19 ต่อปีได้ โดยมีเงื่อนไขข้อตกลง เมื่อต่อมาปรากฏว่าโจทก์ไม่ปฏิบัติตามข้อตกลง และจำเลยที่ 1 ได้มีหนังสือบอกเลิกสัญญาที่ยอมให้โจทก์ปรับอัตราดอกเบี้ยโจทก์ย่อมไม่มีสิทธิคิดดอกเบี้ยกับจำเลยที่ 1 ในอัตราร้อยละ 19 ต่อปีได้
เฉพาะเงินกู้งวดสุดท้าย จำเลยที่ 1 ได้ตกลงกับโจทก์ใหม่โดยชัดแจ้งว่าจำเลยที่ 1 จะชำระคืนให้แก่โจทก์ภายใน 6 เดือน นับแต่วันรับเงินกู้พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 19 ต่อปี อันเป็นข้อตกลงใหม่ต่างหากจากข้อตกลงยอมให้ปรับอัตราดอกเบี้ย โจทก์ย่อมมีสิทธิคิดดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 19 ต่อปี จากเงินกู้งวดสุดท้ายนั้นได้

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 344/2537

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การอุทธรณ์ที่ไม่ชอบและการพ้นกำหนดระยะเวลาอุทธรณ์ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง ผลกระทบต่อการพิจารณาคดี
จำเลยที่ 1 ยื่นอุทธรณ์โต้แย้งคำสั่งของศาลชั้นต้นที่อนุญาตให้ถอนฟ้องเมื่อพ้นกำหนดระยะเวลาอุทธรณ์ตาม ป.วิ.พ. มาตรา 229อุทธรณ์ของจำเลยที่ 1 เป็นอุทธรณ์ที่ไม่ชอบ ศาลอุทธรณ์ภาค 3ไม่มีอำนาจที่จะรับวินิจฉัยให้ ที่ศาลอุทธรณ์ภาค 3 วินิจฉัยมาเป็นการไม่ชอบ ปัญหานี้เป็นปัญหาเกี่ยวกับความสงบเรียบร้อยของประชาชน แม้โจทก์จะมิได้ยกขึ้นอ้างในฎีกา แต่ศาลฎีกามีอำนาจยกขึ้นวินิจฉัยได้ เมื่อคำสั่งของศาลชั้นต้นที่อนุญาตให้โจทก์ถอนฟ้องโดยมิได้สอบถามจำเลยที่ 1 ก่อน ซึ่งจำเลยที่ 1 อ้างเป็นเหตุขอให้ยกคดีขึ้นพิจารณาต่อไปนั้นถึงที่สุด คดีก็ไม่มีเหตุที่จะให้ยกขึ้นพิจารณาได้

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4614/2536

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ค่าขึ้นศาลกับการคืนเงินค่าฤชาธรรมเนียม: ศาลฎีกาชี้ขาดสิทธิในการรับเงินคืน
ศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์พิพากษาให้จำเลยทั้งสามใช้เงินแก่โจทก์จำเลยทั้งสามอุทธรณ์และฎีกาขอให้ยกฟ้องโจทก์ จึงเป็นคดีที่มีคำขอให้ปลดเปลื้องทุกข์อันอาจคำนวณเป็นราคาเงินได้ จำเลยทั้งสามผู้เป็นโจทก์ในชั้นอุทธรณ์และฎีกาจะต้องเสียค่าขึ้นศาลในชั้นอุทธรณ์และฎีกาตามจำนวนทุนทรัพย์ที่พิพาท ตาม ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา 150 วรรคสองประกอบตาราง 1(1)(ก) ค่าขึ้นศาลเป็นค่าธรรมเนียมอย่างหนึ่งซึ่งกฎหมายบังคับให้คู่ความที่ยื่นคำฟ้อง ฟ้องอุทธรณ์หรือฟ้องฎีกาจะต้องเสียในขณะยื่นคำฟ้องนั้น ส่วนการคืนค่าขึ้นศาลแก่คู่ความ ศาลจะต้องปฏิบัติตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 151 ค่าขึ้นศาลในชั้นอุทธรณ์และฎีกากับเงินค่าฤชาธรรมเนียมที่จะต้องใช้แก่คู่ความอีกฝ่ายหนึ่งที่จำเลยทั้งสามนำมาวางศาลในการยื่นอุทธรณ์และฎีกานั้น เป็นเงินคนละส่วนกัน การที่ศาลฎีกามีคำพิพากษาถึงที่สุดให้ยกฟ้องโจทก์ จึงเป็นผลให้จำเลยทั้งสามไม่ต้องรับผิดใช้ค่าฤชาธรรมเนียมแก่คู่ความอีกฝ่ายหนึ่งตามคำพิพากษาของศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์ จำเลยทั้งสามจึงมีสิทธิขอรับเงินจำนวนดังกล่าวที่วางไว้ในการยื่นอุทธรณ์และฎีกาคืนจากศาลชั้นต้นได้ ส่วนค่าขึ้นศาลที่จำเลยทั้งสามต้องเสียในการยื่นอุทธรณ์และฎีกานั้น ไม่อยู่ในบังคับของ ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 151 ที่ศาลจะคืนให้ได้ จำเลยทั้งสามจึงไม่มีสิทธิขอรับเงินดังกล่าวคืน

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4024/2536 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การไม่ชำระค่าขึ้นศาลในอุทธรณ์ ส่งผลให้ศาลไม่รับอุทธรณ์ได้
จำเลยร่วมยื่นอุทธรณ์และนำเงินค่าขึ้นศาลและค่าธรรมเนียมซึ่งจะต้องใช้แทนคู่ความอีกฝ่ายหนึ่งมาวางศาลแล้ว ต่อมาจำเลยที่ 1 และที่ 2 ยื่นอุทธรณ์ดังนี้ อุทธรณ์ของจำเลยที่ 1 ที่ 2 กับของจำเลยร่วมแต่ละฉบับต่างเป็นคำฟ้องตามมาตรา1 (3) แห่ง ป.วิ.พ. และเป็นคำขอให้ปลดเปลื้องทุกข์อันอาจคำนวณเป็นราคาเงินได้ของแต่ละคน ต้องเสียค่าขึ้นศาลตามทุนทรัพย์ที่ฟ้องของแต่ละคนในเวลายื่นฟ้องตามตาราง1 ท้าย ป.วิ.พ. เมื่อจำเลยที่ 1 ที่ 2 ไม่เสียเงินค่าขึ้นศาลภายในเวลาที่ศาลชั้นต้นกำหนด การที่ศาลชั้นต้นมีคำสั่งไม่รับอุทธรณ์จำเลยที่ 1 ที่ 2 จึงชอบแล้ว

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4024/2536

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ค่าขึ้นศาลอุทธรณ์แยกคำฟ้อง: จำเลยต้องเสียค่าขึ้นศาลอุทธรณ์ของตนเอง แม้จำเลยร่วมได้ชำระค่าขึ้นศาลไปแล้ว
จำเลยร่วมยื่นอุทธรณ์และนำเงินค่าขึ้นศาลและค่าธรรมเนียมซึ่งจะต้องใช้แทนคู่ความอีกฝ่ายหนึ่งมาวางศาลแล้ว ต่อมาจำเลยที่ 1และที่ 2 ยื่นอุทธรณ์ ดังนี้ อุทธรณ์ของจำเลยที่ 1 ที่ 2 กับของจำเลยร่วมแต่ละฉบับต่างเป็นคำฟ้องตามมาตรา 1(3) แห่งประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง และเป็นคำขอให้ปลดเปลื้องทุกข์อันอาจคำนวณเป็นราคาเงินได้ของแต่ละคน ต้องเสียค่าขึ้นศาลตามทุนทรัพย์ที่ฟ้องของแต่ละคนในเวลายื่นฟ้องตามตาราง 1ท้ายประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง เมื่อจำเลยที่ 1 ที่ 2ไม่เสียเงินค่าขึ้นศาลภายในเวลาที่ศาลชั้นต้นกำหนด การที่ศาลชั้นต้นมีคำสั่งไม่รับอุทธรณ์จำเลยที่ 1 ที่ 2 จึงชอบแล้ว

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2294/2536

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การไม่อนุญาตวางค่าธรรมเนียมฎีกาหลังพ้นกำหนด ศาลชี้เป็นการสั่งขยายเวลา ไม่ใช่คำสั่งรับ/ไม่รับฎีกา ต้องอุทธรณ์ตามลำดับชั้น
ศาลชั้นต้นสั่งไม่อนุญาตให้จำเลยที่ 1 วางเงินค่าขึ้นศาลชั้นฎีกาและค่าธรรมเนียมซึ่งจะต้องใช้แทนโจทก์ เพราะวางเมื่อพ้นกำหนดฎีกา เป็นคำสั่งเกี่ยวกับการขอขยายระยะเวลาตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 23 หาใช่การสั่งเกี่ยวกับการรับหรือไม่รับฎีกาของจำเลยที่ 1 ไม่ หากจำเลยที่ 1 ประสงค์จะคัดค้านคำสั่งของศาลชั้นต้นดังกล่าว ก็ชอบที่จะอุทธรณ์ต่อศาลอุทธรณ์ไปตามลำดับชั้นศาล ไม่มีบทกฎหมายใดให้อำนาจจำเลยที่ 1ฎีกาคัดค้านคำสั่งศาลชั้นต้นดังกล่าวโดยตรงต่อศาลฎีกาได้

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1622/2536

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การรับชำระหนี้ในคดีล้มละลาย: การรับฟังพยานหลักฐานและการนับระยะเวลายื่นอุทธรณ์
ในชั้นสอบสวนคำขอรับชำระหนี้ของเจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์แม้เจ้าหนี้มีเพียงผู้รับมอบอำนาจจากเจ้าหนี้ให้การยืนยันว่าจำเลยที่ 2 เป็นหุ้นส่วนผู้จัดการของห้าง ฆ. แต่จำเลยที่ 2มิได้แถลงหรือให้การต่อเจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์โต้แย้งคัดค้านว่าข้อเท็จจริงมิได้เป็นเช่นนั้น คำให้การของผู้รับมอบอำนาจจากเจ้าหนี้ดังกล่าวรับฟังได้ ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 229 กำหนดให้ยื่นอุทธรณ์คำพิพากษาหรือคำสั่งของศาลชั้นต้นภายใน 1 เดือน นับแต่วันอ่านคำพิพากษาหรือคำสั่งนั้น แต่ในกรณีที่มีการยื่นคำขอรับชำระหนี้ เมื่อเจ้าหนี้ยื่นคำขอรับชำระหนี้แล้ว เจ้าหนี้ย่อมไม่อาจทราบได้ว่าเจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์จะทำความเห็นส่งสำนวนเรื่องหนี้สินที่เจ้าหนี้ขอรับชำระไปยังศาลชั้นต้นเมื่อใด ทั้งไม่อาจทราบได้ว่าศาลชั้นต้นจะมีคำสั่งเมื่อใด จึงต้องถือว่าวันที่เจ้าหนี้ทราบคำสั่งของศาลชั้นต้นเป็นวันที่ได้อ่านคำสั่งศาลชั้นต้นให้เจ้าหนี้ฟังและกำหนดระยะเวลายื่นอุทธรณ์เริ่มนับแต่วันนั้น

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1423/2536

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การจำหน่ายคดีจากสารบบความหลังคู่ความมรณะ และการอุทธรณ์คำสั่งศาล
การที่ศาลจะมีคำสั่งจำหน่ายคดีจากสารบบความในกรณีคู่ความมรณะตามมาตรา 42 แห่งประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง ต้องเป็นกรณีที่คู่ความฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งมรณะในระหว่างที่คดีค้างพิจารณาอยู่ในศาลนั้นเอง เมื่อปรากฏว่าผู้ร้องถึงแก่กรรมระหว่างที่คดีค้างพิจารณาอยู่ในศาลอุทธรณ์โดยไม่มีผู้อยู่ในฐานะที่จะรับมรดกความแทนและไม่มีคำขอของคู่ความฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งขอให้หมายเรียกผู้ใดเข้ามาในคดีจนล่วงเลยกำหนดเวลา 1 ปี ย่อมเป็นอำนาจของศาลอุทธรณ์ซึ่งคดีดังกล่าวค้างพิจารณาอยู่ที่จะสั่งจำหน่ายคดี คำสั่งศาลอุทธรณ์ที่ให้ยกคำร้องขอเข้าเป็นคู่ความแทนผู้มรณะไม่ใช่คำสั่งระหว่างพิจารณา แต่เป็นคำสั่งใด ๆ ที่ศาลอุทธรณ์มีอำนาจชี้ขาดได้ตามอำนาจที่มีอยู่และคำสั่งดังกล่าวอยู่ในบังคับของการอุทธรณ์คำพิพากษาหรือคำสั่งชี้ขาดซึ่งต้องยื่นฎีกาภายในกำหนด 1เดือน นับแต่วันที่ศาลชั้นต้นอ่านคำสั่งให้คู่ความฟัง ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 223,229 ประกอบด้วยมาตรา 247

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1147/2536

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การไม่นำเงินค่าธรรมเนียมมาวางศาลพร้อมอุทธรณ์ ทำให้การอุทธรณ์ไม่ชอบ ศาลไม่รับอุทธรณ์
จำเลยยื่นอุทธรณ์แต่มิได้นำเงินค่าธรรมเนียมที่จะต้องใช้แก่โจทก์ตามคำพิพากษาของศาลชั้นต้นมาวางศาลภายในกำหนดระยะเวลาที่ศาลชั้นต้นอนุญาตให้ขยายเป็นการไม่ชอบด้วยบทบัญญัติแห่งประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 229 และกรณีไม่ใช่เรื่องคู่ความที่ศาลพิพากษาให้ชนะคดีจะต้องเสียค่าฤชาธรรมเนียมเพิ่มขึ้นตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 233 ซึ่งศาลจะสั่งให้ผู้อุทธรณ์นำเงินมาวางศาลอีก

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3522/2535

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การขยายเวลาอุทธรณ์ต้องมีเหตุพิเศษ การไม่ดำเนินการโดยทนายโจทก์ถือเป็นความบกพร่องของผู้ฟ้อง
การที่ทนายโจทก์ยื่นคำร้องขอขยายเวลาอุทธรณ์ในวันครบกำหนดอุทธรณ์โดยอ้างว่า ตัวโจทก์ย้ายภูมิลำเนาไปอยู่กรุงเทพมหานครขณะศาลชั้นต้นพิจารณาพิพากษาคดีนี้ ตัวโจทก์เดินทางไปต่างประเทศจึงไม่ทราบคำพิพากษา คดีมีทุนทรัพย์สูง ตัวโจทก์ต้องพิจารณาปัญหาข้อเท็จจริงและข้อกฎหมายตลอดจนตระเตรียมค่าฤชาธรรมเนียมนั้น เมื่อทนายโจทก์สามารถดำเนินคดีแทนโจทก์ได้อยู่แล้ว หากจะอุทธรณ์คำพิพากษาไปก่อนโดยขอขยายระยะเวลาวางเงินค่าฤชาธรรมเนียมเพื่อรอตัวโจทก์ก็อาจกระทำได้ แต่ก็มิได้ขวนขวายกระทำ การที่โจทก์ไม่สามารถยื่นอุทธรณ์ได้ในกำหนดจึงเป็นเพราะความบกพร่องของตัวโจทก์และทนายโจทก์ มิใช่พฤติการณ์พิเศษที่จะยกขึ้นมากล่าวอ้างเพื่อขอขยายระยะเวลาอุทธรณ์ตาม ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา 23
of 47