พบผลลัพธ์ทั้งหมด 39 รายการ
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2476/2518
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ความสมบูรณ์ของกระบวนการฟ้องคดีโดยผู้เยาว์ร่วมกับบิดา และผลเมื่อบุตรบรรลุนิติภาวะ
บิดากับบุตรผู้เยาว์ร่วมกันเป็นโจทก์ฟ้องจำเลยฐานละเมิดทำให้โจทก์ทั้งสองเสียหายในคดีเดียวกัน ต่อมาบิดาทำหนังสือให้ความยินยอมและให้สัตยาบันการที่บุตรผู้เยาว์เป็นโจทก์ด้วยนั้น และขณะศาลฎีกาพิพากษาบุตรบรรลุนิติภาวะแล้ว ดังนี้ กระบวนพิจารณาทั้งหมดสมบูรณ์
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1729/2518
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
โมฆียะกรรมขายฝากสินบริคณห์: สิทธิบอกล้างของคู่สมรส แม้ยินยอมโดยปริยาย และความรับผิดของจำเลยที่รู้ถึงความสามารถบกพร่อง
การที่ บ. ซึ่งเป็นภริยาของโจทก์นำที่พิพาทซึ่งเป็นสินบริคณห์ไปขายฝากไว้กับจำเลยโดยมิได้รับอนุญาตจากโจทก์ เบื้องต้นต้องถือว่านิติกรรมการขายฝากเป็นโมฆียะ การดำเนินกิจการโรงเรือนราษฎร์ของ บ. ในฐานะเจ้าของและผู้จัดการเป็นกาประกอบการค้าแสวงหากำไร การซื้อที่พิพาาทจาก น. เจ้าของเดิมก็ลงชื่อ บ. แต่ผู้เดียวโดยโจทก์รู้เห็นยินยอม เมื่อซื้อมาแล้วยังได้ใช้ประโยชน์ปลูกสร้างขยายอาคารโรงเรียนลงในที่พิพาทบางส่วนบ. จำต้องหาเงินทุนมาใช้จ่ายในกิจการของโรงเรียน หนี้จำนองราย อ. บ.ก็เอาที่พิพาทไปจำนองไว้โดยไม่ได้รับอนุญาตจากโจทก์ ทั้งนี้เพื่อให้ได้เงินมาใช้จ่ายในกิจการของโรงเรียน ตามพฤติการณ์จึงแสดงว่ามูลเหตุที่ บ.ต้องไปทำนิติกรรมขายฝากไว้กับจำเลย นอกจากเพื่อให้ได้เงินมาไถ่ถอนจำนองจากธนาคารเป็นสำคัญแล้ว ยังประสงค์ได้เงินที่เหลือมาสมทบใช้จ่ายในกิจการโรงเรียนด้วย แม้จะถือไม่ได้ว่าโจทก์ได้อนุญาตให้ บ.ไปทำนิติกรรมขายฝากที่พิพาทโดยตรง กรณีก็เป็นเรื่องที่โจทก์ได้อนุญาตแล้วโดยปริยาย เพราะโจทก์ได้รู้เห้นและมิได้ทักท้วงการทำนิติกรรมจำนองที่พิพาทของ บ. มาก่อน อย่างไรก็ตาม นิติกรรมขายฝากที่พิพาทคงมีผลผูกพันเฉพาะสินบริคณห์ส่วนของ บ. ซึ่งมีอยู่เพียงกึ่งหนึ่งเท่านั้น ในส่วนอีกกึ่งหนึ่งของโจทก์หาจำต้องผูกพันด้วยไม่ นิติกรรมขายฝากที่พิพาทสำหรับสินบริคณห์ส่วนของโจทก์คงตกเป็นโมฆียะเช่นเดิม ซึ่งเป็นสิทธิเฉพาะตัวของโจทก์ในอันที่จะบอกล้างโมฆียะกรรมหรือให้สัตยาบันตามความในประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 137 และ 139 อย่างใดอย่างหนึ่งก็ได้
ขณะทำนิติกรรมขายฝากที่พิพาทระหว่าง บ. ภริยาโจทก์กับจำเลยจำเลยทราบดีว่า บ. เป็นหญิงมีสามี ทั้งเจ้าพนักงานที่ดินได้เตือนให้จำเลยทราบถึงความสามารถบกพร่องชอง บ. ก่อนแล้ว จำเลยยังเสี่ยงยืนยันให้เจ้าพนักงานที่ดินทำสัญญาขายฝากให้โดยขอยอมรับผิดต่อความเสียหายเอง ข้อที่ว่าโจทก์จะได้ทราบถึงนิติกรรมอันเป็นโมฆียะในระหว่างอายุสัญญาขายฝากหรือไม่ ไม่ใช่เหตุตัดรอนสิทธิของโจทก์ที่จะบอกล้างเพราะสิทธิบอกล้างจะสิ้นไปก็แต่ โดยโจทก์เพิกเฉยไม่บอกล้างเสียภายในกำหนดเวลาหนึ่งปีนับแต่เวลาที่อาจให้สัตยาบันได้หรืออีกนัยหนึ่งนับแต่วันทราบเรื่องการทำนิติกรรมตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา 143 การบอกล้างของโจทก์ยังไม่เกินกำหนดหนึ่งปี โจทก์ย่อมมีสิทธิบอกล้างได้ ฉะนั้นนิติกรรมขายฝากที่พิพาทเฉพาะสินบริคณห์ส่วนของโจทก์เมิ่อบอกล้างแล้วย่อมตกเป็นโมฆะมาแต่เริ่มแรก ซึ่งมีผลบังคับนับแต่วันบอกล้างเป็นต้นไป จำเลยจะถือเอาประโยชน์จากนิติกรรมในส่วนที่ไม่สมบูรณ์นั้นไม่ได้ จะต้องคืนกรรมสิทธิ์ที่ดินส่วนของโจทก์ให้โจทก์ไป หาใช่เป็นเรื่องที่โจทก์ใช้สิทธิฟ้องคดีโดยไม่สุจริตไม่ เพราะโจทก์มีความชอบธรรมที่จะปกป้องหรือขอคุ้มครองสิทธิในทรัพย์สินส่วนตนในทางศาลได้อยู่ ส่วนเงินราคาที่ดินอันจะพึงชดใช้แก้กันเป็นจำนวนเท่าใดนั้น จำเลยมิได้ฟ้องแย้ง จึงไม่จำต้องวินิจฉัยถึง
ขณะทำนิติกรรมขายฝากที่พิพาทระหว่าง บ. ภริยาโจทก์กับจำเลยจำเลยทราบดีว่า บ. เป็นหญิงมีสามี ทั้งเจ้าพนักงานที่ดินได้เตือนให้จำเลยทราบถึงความสามารถบกพร่องชอง บ. ก่อนแล้ว จำเลยยังเสี่ยงยืนยันให้เจ้าพนักงานที่ดินทำสัญญาขายฝากให้โดยขอยอมรับผิดต่อความเสียหายเอง ข้อที่ว่าโจทก์จะได้ทราบถึงนิติกรรมอันเป็นโมฆียะในระหว่างอายุสัญญาขายฝากหรือไม่ ไม่ใช่เหตุตัดรอนสิทธิของโจทก์ที่จะบอกล้างเพราะสิทธิบอกล้างจะสิ้นไปก็แต่ โดยโจทก์เพิกเฉยไม่บอกล้างเสียภายในกำหนดเวลาหนึ่งปีนับแต่เวลาที่อาจให้สัตยาบันได้หรืออีกนัยหนึ่งนับแต่วันทราบเรื่องการทำนิติกรรมตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา 143 การบอกล้างของโจทก์ยังไม่เกินกำหนดหนึ่งปี โจทก์ย่อมมีสิทธิบอกล้างได้ ฉะนั้นนิติกรรมขายฝากที่พิพาทเฉพาะสินบริคณห์ส่วนของโจทก์เมิ่อบอกล้างแล้วย่อมตกเป็นโมฆะมาแต่เริ่มแรก ซึ่งมีผลบังคับนับแต่วันบอกล้างเป็นต้นไป จำเลยจะถือเอาประโยชน์จากนิติกรรมในส่วนที่ไม่สมบูรณ์นั้นไม่ได้ จะต้องคืนกรรมสิทธิ์ที่ดินส่วนของโจทก์ให้โจทก์ไป หาใช่เป็นเรื่องที่โจทก์ใช้สิทธิฟ้องคดีโดยไม่สุจริตไม่ เพราะโจทก์มีความชอบธรรมที่จะปกป้องหรือขอคุ้มครองสิทธิในทรัพย์สินส่วนตนในทางศาลได้อยู่ ส่วนเงินราคาที่ดินอันจะพึงชดใช้แก้กันเป็นจำนวนเท่าใดนั้น จำเลยมิได้ฟ้องแย้ง จึงไม่จำต้องวินิจฉัยถึง
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1729/2518 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
โมฆียะกรรมขายฝากสินบริคณห์: สิทธิบอกล้างของเจ้าของสินส่วนแบ่ง
การที่ บ.ซึ่งเป็นภริยาของโจทก์นำที่พิพาทซึ่งเป็นสินบริคณห์ไปขายฝากไว้กับจำเลยโดยมิได้รับอนุญาตจากโจทก์ เบื้องต้นต้องถือว่านิติกรรมการขายฝากเป็นโมฆียะ การดำเนินกิจการโรงเรียนราษฎร์ของ บ.ในฐานะเจ้าของและผู้จัดการเป็นการประกอบการค้าแสวงหากำไร การซื้อที่พิพาทจาก น.เจ้าของเดิมก็ลงชื่อ บ.แต่ผู้เดียวโดยโจทก์รู้เห็นยินยอม เมื่อซื้อมาแล้วยังได้ใช้ประโยชน์ปลูกสร้างขยายอาคารโรงเรียนลงในที่พิพาทบางส่วน บ.จำต้องหาเงินทุนมาใช้จ่ายในกิจการของโรงเรียน หนี้จำนองราย อ. บ.ก็เอาที่พิพาทไปจำนองไว้โดยไม่ได้รับอนุญาตจากโจทก์ ทั้งนี้เพื่อให้ได้เงินมาใช้จ่ายในกิจการของโรงเรียนตามพฤติการณ์จึงแสดงว่ามูลเหตุที่ บ.ต้องไปทำนิติกรรมขายฝากไว้กับจำเลย นอกจากเพื่อให้ได้เงินมาไถ่ถอนจำนองจากธนาคารเป็นสำคัญแล้ว ยังประสงค์ได้เงินส่วนที่เหลือมาสมทบใช้จ่ายในกิจการโรงเรียนด้วย แม้จะถือไม่ได้ว่าโจทก์ได้อนุญาตให้ บ.ไปทำนิติกรรมขายฝากที่พิพาทโดยตรง กรณีก็เป็นเรื่องที่โจทก์ได้อนุญาตแล้วโดยปริยาย เพราะโจทก์ได้รู้เห็นและมิได้ทักท้วงการทำนิติกรรมจำนองที่พิพาทของ บ.มาก่อน อย่างไรก็ตาม นิติกรรมขายฝากที่พิพาทคงมีผลผูกพันเฉพาะสินบริคณห์ส่วนของ บ.ซึ่งมีอยู่เพียงกึ่งหนึ่งเท่านั้น ในส่วนอีกกึ่งหนึ่งของโจทก์หาจำต้องผูกพันด้วยไม่ นิติกรรมขายฝากที่พิพาทสำหรับสินบริคณห์ส่วนของโจทก์คงตกเป็นโมฆียะเช่นเดิม ซึ่งเป็นสิทธิเฉพาะตัวของโจทก์ในอันที่จะบอกล้างโมฆียะกรรมหรือให้สัตยาบันตามความในประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 137 และ 139 แต่อย่างใดอย่างหนึ่งก็ได้
ขณะทำนิติกรรมขายฝากที่พิพาทระหว่าง บ.ภริยาโจทก์กับจำเลย จำเลยทราบดีว่า บ.เป็นหญิงมีสามี ทั้งเจ้าพนักงานที่ดินได้เตือนให้จำเลยทราบถึงความสามารถบกพร่องของ บ.ก่อนแล้ว จำเลยยังเสี่ยงยืนยันให้เจ้าพนักงานที่ดินทำสัญญาขายฝากให้โดยขอยอมรับผิดต่อความเสียหายเอง ข้อที่ว่าโจทก์จะได้ทราบถึงนิติกรรมอันเป็นโมฆียะในระหว่างอายุสัญญาขายฝากหรือไม่ ไม่ใช่เหตุตัดรอนสิทธิของโจทก์ที่จะบอกล้าง เพราะสิทธิบอกล้างจะสิ้นไปก็แต่โดยโจทก์เพิกเฉยไม่บอกล้างเสียภายในกำหนดเวลาหนึ่งปีนับแต่เวลาที่อาจให้สัตยาบันได้ หรืออีกนัยหนึ่งนับแต่วันทราบเรื่องการทำนิติกรรมตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 143 การบอกล้างของโจทก์ยังไม่เกินกำหนดหนึ่งปี โจทก์ย่อมมีสิทธิบอกล้างได้ ฉะนั้นนิติกรรมขายฝากที่พิพาทเฉพาะสินบริคณห์ส่วนของโจทก์เมื่อบอกล้างแล้วย่อมตกเป็นโมฆะมาแต่เริ่มแรก ซึ่งมีผลบังคับนับแต่วันบอกล้างเป็นต้นไป จำเลยจะถือเอาประโยชน์จากนิติกรรมในส่วนที่ไม่สมบูรณ์นั้นไม่ได้ จะต้องคืนกรรมสิทธิ์ที่ดินส่วนของโจทก์ให้โจทก์ไป หาใช่เป็นเรื่องที่โจทก์ใช้สิทธิฟ้องคดีโดยไม่สุจริตไม่ เพราะโจทก์มีความชอบธรรมที่จะปกป้องหรือขอคุ้มครองสิทธิในทรัพย์สินส่วนของตนในทางศาลได้อยู่ ส่วนเงินราคาที่ดินอันจะพึงชดใช้แก่กันเป็นจำนวนเท่าใดนั้น จำเลยมิได้ฟ้องแย้ง จึงไม่จำต้องวินิจฉัยถึง
ขณะทำนิติกรรมขายฝากที่พิพาทระหว่าง บ.ภริยาโจทก์กับจำเลย จำเลยทราบดีว่า บ.เป็นหญิงมีสามี ทั้งเจ้าพนักงานที่ดินได้เตือนให้จำเลยทราบถึงความสามารถบกพร่องของ บ.ก่อนแล้ว จำเลยยังเสี่ยงยืนยันให้เจ้าพนักงานที่ดินทำสัญญาขายฝากให้โดยขอยอมรับผิดต่อความเสียหายเอง ข้อที่ว่าโจทก์จะได้ทราบถึงนิติกรรมอันเป็นโมฆียะในระหว่างอายุสัญญาขายฝากหรือไม่ ไม่ใช่เหตุตัดรอนสิทธิของโจทก์ที่จะบอกล้าง เพราะสิทธิบอกล้างจะสิ้นไปก็แต่โดยโจทก์เพิกเฉยไม่บอกล้างเสียภายในกำหนดเวลาหนึ่งปีนับแต่เวลาที่อาจให้สัตยาบันได้ หรืออีกนัยหนึ่งนับแต่วันทราบเรื่องการทำนิติกรรมตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 143 การบอกล้างของโจทก์ยังไม่เกินกำหนดหนึ่งปี โจทก์ย่อมมีสิทธิบอกล้างได้ ฉะนั้นนิติกรรมขายฝากที่พิพาทเฉพาะสินบริคณห์ส่วนของโจทก์เมื่อบอกล้างแล้วย่อมตกเป็นโมฆะมาแต่เริ่มแรก ซึ่งมีผลบังคับนับแต่วันบอกล้างเป็นต้นไป จำเลยจะถือเอาประโยชน์จากนิติกรรมในส่วนที่ไม่สมบูรณ์นั้นไม่ได้ จะต้องคืนกรรมสิทธิ์ที่ดินส่วนของโจทก์ให้โจทก์ไป หาใช่เป็นเรื่องที่โจทก์ใช้สิทธิฟ้องคดีโดยไม่สุจริตไม่ เพราะโจทก์มีความชอบธรรมที่จะปกป้องหรือขอคุ้มครองสิทธิในทรัพย์สินส่วนของตนในทางศาลได้อยู่ ส่วนเงินราคาที่ดินอันจะพึงชดใช้แก่กันเป็นจำนวนเท่าใดนั้น จำเลยมิได้ฟ้องแย้ง จึงไม่จำต้องวินิจฉัยถึง
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 247/2501 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
สิทธิสามีในการโต้แย้งสัญญากู้ของภรรยา: ศาลไม่อนุญาตให้เข้าเป็นจำเลยร่วมหากสิทธิยังไม่ถูกโต้แย้ง
ในคดีที่โจทก์ฟ้องหญิงมีสามีเป็นจำเลยเรียกเงินตามสัญญากู้นั้น เมื่อจำเลยให้การปฏิเสธความรับผิด คดียังไม่แน่ว่าโจทก์จะชนะหรือไม่ ถึงหากชนะ จะยึดทรัพย์ส่วนตัวของหญิงสามีก็ไม่มีสิทธิโต้แย้งคัดค้านเช่นนี้ สามีก็ยังไม่ถูกโต้แย้งสิทธิอย่างไร ฉะนั้นการที่สามีร้องขอเข้ามาเป็นจำเลยร่วมกับภรรยาเพื่อยังให้ได้รับความรับรองคุ้มครองหรือบังคับตามสิทธิที่มีอยู่ตาม ป.วิ.แพ่ง มาตรา 57(1) ในขณะนี้ ศาลจึงไม่จำเป็นต้องอนุญาต
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 247/2501
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การขอเป็นจำเลยร่วมในคดีกู้ยืมเงิน: สิทธิของสามีเมื่อภรรยาทำสัญญาโดยไม่ได้รับความยินยอม
ในคดีที่โจทก์ฟ้องหญิงมีสามีเป็นจำเลยเรียกเงินตามสัญญากู้นั้นเมื่อจำเลยให้การปฏิเสธความรับผิดคดียังไม่แน่ว่าโจทก์จะชนะหรือไม่ ถึงหากชนะ จะยึดทรัพย์ส่วนตัวของหญิงสามีก็ไม่มีสิทธิโต้แย้งคัดค้านเช่นนี้สามีก็ยังไม่ถูกโต้แย้งสิทธิอย่างไรฉะนั้นการที่สามีร้องขอเข้ามาเป็นจำเลยร่วมกับภรรยาเพื่อยังให้ได้รับความรับรองคุ้มครองหรือบังคับตามสิทธิที่มีอยู่ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 57(1) ในขณะนี้ศาลจึงไม่จำเป็นต้องอนุญาต
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1747/2500
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
สัตยาบันสัญญาขายฝากและการแก้ไขคำให้การ: ศาลฎีกาวินิจฉัยการให้สัตยาบันโดยการขอเพิ่มเงิน และการอนุญาตแก้คำให้การที่ไม่มีผลต่อสาระสำคัญ
จำเลยซึ่งเป็นฝ่ายรับสืบก่อนขอแก้คำให้การก่อนวันชี้สองสถานศาลได้ส่งสำเนาให้โจทก์คัดค้านแล้ว ทั้งข้อความที่เพิ่มเติมก็ไม่มีอะไรใหม่ที่เป็นสาระสำคัญ เพียงแต่ขยายข้อความเก่าให้ได้ความชัดเจนยิ่งขึ้น เมื่อศาลอนุญาตให้เพิ่มเติมก็เป็นการถูกต้องแล้ว
ภรรยาโจทก์เอาที่ไปขายฝากจำเลยไว้ โจทก์มาฟ้องอ้างว่าสัญญาขายฝากเป็นโมฆียะเพราะโจทก์ไม่ได้ให้ความยินยอมถ้าปรากฏว่าเมื่อได้ทำสัญญาขายฝากแล้ว โจทก์กับภรรยาได้พากันไปหาจำเลยเพื่อขอเงินเพิ่มอีก แม้จำเลยจะไม่ยอมให้ก็ดี ก็ถือได้ว่าโจทก์ได้ให้สัตยาบันแก่การขายฝาก
ภรรยาโจทก์เอาที่ไปขายฝากจำเลยไว้ โจทก์มาฟ้องอ้างว่าสัญญาขายฝากเป็นโมฆียะเพราะโจทก์ไม่ได้ให้ความยินยอมถ้าปรากฏว่าเมื่อได้ทำสัญญาขายฝากแล้ว โจทก์กับภรรยาได้พากันไปหาจำเลยเพื่อขอเงินเพิ่มอีก แม้จำเลยจะไม่ยอมให้ก็ดี ก็ถือได้ว่าโจทก์ได้ให้สัตยาบันแก่การขายฝาก
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1747/2500 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การให้สัตยาบันสัญญาขายฝากและการแก้คำให้การของจำเลย
จำเลยซึ่งเป็นฝ่ายรับสืบก่อนขอแก้คำให้การก่อนวันชี้สองสถานศาลได้ส่งสำเนาให้โจทก์คัดค้านแล้ว ทั้งข้อความที่เพิ่มเติมก็ไม่มีอะไรใหม่ที่เป็นสาระสำคัญ เพียงแต่ขยายข้อความเก่าให้ได้ความชัดเจนยิ่งขึ้น เมื่อศาลอนุญาตให้เพิ่มเติมก็เป็นการถูกต้องแล้ว
ภรรยาโจทก์เอาที่ไปขายฝากจำเลยไว้ โจทก์มาฟ้องอ้างว่าสัญญาขายฝากเป็นโมฆียะเพราะโจทก์ไม่ได้ให้ความยินยอม ถ้าปรากฎว่าเมื่อได้ทำสัญญาขายฝากแล้ว โจทก์กับภรรยาได้พากันไปหาจำเลยเพื่อขอเงินเพิ่มอีก แม้จำเลยจะไม่ยอมให้ก็ดี ก็ถือได้ว่าโจทก์ได้ให้สัตยาบันแก่การขายฝาก.
ภรรยาโจทก์เอาที่ไปขายฝากจำเลยไว้ โจทก์มาฟ้องอ้างว่าสัญญาขายฝากเป็นโมฆียะเพราะโจทก์ไม่ได้ให้ความยินยอม ถ้าปรากฎว่าเมื่อได้ทำสัญญาขายฝากแล้ว โจทก์กับภรรยาได้พากันไปหาจำเลยเพื่อขอเงินเพิ่มอีก แม้จำเลยจะไม่ยอมให้ก็ดี ก็ถือได้ว่าโจทก์ได้ให้สัตยาบันแก่การขายฝาก.
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1364/2495
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การรับรองหนี้โดยปริยายของคู่สมรส
หญิงมีสามีก่อหนี้สินขึ้นโดยลำพัง แต่ภายหลังได้ทำหนังสือรับสภาพหนี้สินนั้นขึ้น โดยสามีรับรู้ ลงลายมือชื่อในฐานะเป็นพยานไว้ในเอกสารรับสภาพหนี้นั้น ย่อมถือว่าสามีรับรองหรือให้สัตยาบันโดยปริยาย สามีจึงต้องรับผิดในหนี้สินนั้นด้วย
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1364/2495 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การรับรองหนี้โดยปริยายของคู่สมรส: ผลผูกพันทางหนี้สินจากการลงลายมือชื่อเป็นพยาน
หญิงมีสามีก่อหนี้ขึ้นโดยลำพัง แต่ภายหลังได้ทำหนังสือรับสารภาพหนี้สินนั้นขึ้น โดยสามีรับรู้ ลงลายมือชื่อในฐานะเป็นพยานไว้ในเอกสารรับสารภาพหนี้นั้น ย่อมถือว่าสามีรับรองหรือให้สัตยาบันโดบปริยาย สามีจึงต้องรับผิดในหนี้สินนั้นด้วย
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 417/2495
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
อำนาจปกครองบุตรบุญธรรม: ผลหลังการยกบุตรให้เป็นบุตรบุญธรรม และผลของการกระทำของผู้ปกครอง
เมื่อยกบุตรให้เป็นบุตรบุญธรรมแก่เขาแล้วบิดามารดาโดยกำเนิดก็หมดอำนาจปกครองนับแต่วันเวลาที่เด็กเป็นบุตรบุญธรรมแล้วและแม้ภายหลังผู้รับบุตรบุญธรรมจะวายชนม์ เด็กนั้นก็ยังคงเป็นบุตรบุญธรรมของผู้วายชนม์นั้นอยู่ ฉะนั้นบิดามารดาเดิมของเด็กนั้นหรือภริยาของผู้รับบุตรบุญธรรมย่อมไม่มีอำนาจปกครองเด็กนั้นตามกฎหมายจึงไม่มีอำนาจทำนิติกรรมแทนเด็กได้ ถ้าขืนทำไปนิติกรรมนั้นๆ ก็ไม่ผูกพันเด็กให้ต้องรับผิด
มารดาเดิมของเด็กซึ่งเป็นบุตรบุญธรรมคนอื่นอยู่ได้ตั้งตัวเป็นผู้แทนโดยชอบธรรมของเด็ก ฟ้องเรียกมรดกของผู้รับบุตรบุญธรรม แล้วได้ประนีประนอมยอมความกันต่อศาลให้แบ่งทรัพย์กัน โดยวิธีขายทอดตลาดเอาเงินมาแบ่งกันศาลก็พิพากษาให้เป็นไปตามยอม ต่อมาได้มีการขอตั้งผู้ปกครองเด็กนั้นซึ่งศาลได้ตั้งผู้อื่นเป็นผู้ปกครองเด็กผู้ปกครองจึงร้องขอต่อศาลในคดีเดิมให้ดำเนินการขายทอดตลาดทรัพย์มรดกเอาเงินมาแบ่งกันตามคำพิพากษาท้ายฟ้องดังนี้ การกระทำของผู้ปกครองดังกล่าวย่อมเป็นการรับรองกิจการที่มารดาเดิมของเด็กได้กระทำไปในเรื่องนั้น การกระทำของผู้ปกครองจึงย่อมผูกพันเด็กเหมือนเด็กได้ทำด้วยตนเอง ฉะนั้นเด็กจึงไม่มีสิทธิจะขอให้เพิกถอนสัญญาประนีประนอมยอมความและคำพิพากษาท้ายยอมดังกล่าวแล้วได้
มารดาเดิมของเด็กซึ่งเป็นบุตรบุญธรรมคนอื่นอยู่ได้ตั้งตัวเป็นผู้แทนโดยชอบธรรมของเด็ก ฟ้องเรียกมรดกของผู้รับบุตรบุญธรรม แล้วได้ประนีประนอมยอมความกันต่อศาลให้แบ่งทรัพย์กัน โดยวิธีขายทอดตลาดเอาเงินมาแบ่งกันศาลก็พิพากษาให้เป็นไปตามยอม ต่อมาได้มีการขอตั้งผู้ปกครองเด็กนั้นซึ่งศาลได้ตั้งผู้อื่นเป็นผู้ปกครองเด็กผู้ปกครองจึงร้องขอต่อศาลในคดีเดิมให้ดำเนินการขายทอดตลาดทรัพย์มรดกเอาเงินมาแบ่งกันตามคำพิพากษาท้ายฟ้องดังนี้ การกระทำของผู้ปกครองดังกล่าวย่อมเป็นการรับรองกิจการที่มารดาเดิมของเด็กได้กระทำไปในเรื่องนั้น การกระทำของผู้ปกครองจึงย่อมผูกพันเด็กเหมือนเด็กได้ทำด้วยตนเอง ฉะนั้นเด็กจึงไม่มีสิทธิจะขอให้เพิกถอนสัญญาประนีประนอมยอมความและคำพิพากษาท้ายยอมดังกล่าวแล้วได้