พบผลลัพธ์ทั้งหมด 2,100 รายการ
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1777/2513
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การต่อสู้ชุลมุนและการป้องกันตนที่ไม่ชอบด้วยกฎหมาย ศาลลดโทษจากฆ่าโดยเจตนาเป็นทำร้ายผู้อื่นถึงแก่ความตาย
จำเลยกับผู้ตายเกิดโต้เถียงกันก่อนแล้ว จำเลยชกผู้ตาย 1 ที ผละหนีไปผู้ตายหยิบไม้ไล่ตีจำเลย เกิดต่อสู้กันเป็นชุลมุน ในที่สุดจำเลยใช้มีดแทงผู้ตายไป 1 ที ผู้ตายถึงแก่ความตาย ดังนี้เป็นเรื่องที่จำเลยกับผู้ตายสมัครใจวิวาทต่อสู้กัน จำเลยจะอ้างว่าเป็นการป้องกันตนโดยชอบหาได้ไม่
ใช้มีดแทงผู้ตาย 1 ที ในขณะที่จำเลยและผู้ตายต่อสู้กันชุลมุนจำเลยไม่มีโอกาสที่จะเลือกแทงได้ เพราะผู้ตายกำลังตีจำเลยอยู่จำเลยแทงผู้ตายเพียงทีเดียวบังเอิญถูกที่สำคัญ จึงเป็นเหตุให้ผู้ตายถึงแก่ความตาย จำเลยคงมีความผิดเพียงฐานทำร้ายผู้อื่นถึงแก่ความตายโดยไม่มีเจตนา
ฟ้องขอให้ลงโทษฐานฆ่าผู้อื่นโดยเจตนา เมื่อทางพิจารณาได้ความว่าจำเลยมิได้มีเจตนาฆ่า แต่ทำร้ายผู้อื่นจนถึงแก่ความตายก็ลงโทษตามฐานความผิดเท่าที่พิจารณาได้ความได้
ใช้มีดแทงผู้ตาย 1 ที ในขณะที่จำเลยและผู้ตายต่อสู้กันชุลมุนจำเลยไม่มีโอกาสที่จะเลือกแทงได้ เพราะผู้ตายกำลังตีจำเลยอยู่จำเลยแทงผู้ตายเพียงทีเดียวบังเอิญถูกที่สำคัญ จึงเป็นเหตุให้ผู้ตายถึงแก่ความตาย จำเลยคงมีความผิดเพียงฐานทำร้ายผู้อื่นถึงแก่ความตายโดยไม่มีเจตนา
ฟ้องขอให้ลงโทษฐานฆ่าผู้อื่นโดยเจตนา เมื่อทางพิจารณาได้ความว่าจำเลยมิได้มีเจตนาฆ่า แต่ทำร้ายผู้อื่นจนถึงแก่ความตายก็ลงโทษตามฐานความผิดเท่าที่พิจารณาได้ความได้
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1777/2513 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การทำร้ายร่างกายจนถึงแก่ความตาย: เจตนา, การป้องกันตัว, และความรับผิดทางอาญา
จำเลยกับผู้ตายเกิดโต้เถียงกันก่อนแล้ว จำเลยชกผู้ตาย 1 ทีผละหนีไปผู้ตายหยิบไม้ไล่ตีจำเลย เกิดต่อสู้กันเป็นชุลมุนในที่สุดจำเลยใช้มีดแทงผู้ตายไป 1 ที ผู้ตายถึงแก่ความตาย ดังนี้เป็นเรื่องที่จำเลยกับผู้ตายสมัครใจวิวาทต่อสู้กัน จำเลยจะอ้างว่าเป็นการป้องกันตนโดยชอบหาได้ไม่
ใช้มีดแทงผู้ตาย 1 ที ในขณะที่จำเลยและผู้ตายต่อสู้กันชุลมุนจำเลยไม่มีโอกาสที่จะเลือกแทงได้ เพราะผู้ตายกำลังตีจำเลยอยู่จำเลยแทงผู้ตายเพียงทีเดียวบังเอิญถูกที่สำคัญ จึงเป็นเหตุให้ผู้ตายถึงแก่ความตาย จำเลยคงมีความผิดเพียงฐานทำร้ายผู้อื่นถึงแก่ความตายโดยไม่มีเจตนา
ฟ้องขอให้ลงโทษฐานฆ่าผู้อื่นโดยเจตนา เมื่อทางพิจารณาได้ความว่าจำเลยมิได้มีเจตนาฆ่า แต่ทำร้ายผู้อื่นจนถึงแก่ความตายก็ลงโทษตามฐานความผิดเท่าที่พิจารณาได้ความได้
ใช้มีดแทงผู้ตาย 1 ที ในขณะที่จำเลยและผู้ตายต่อสู้กันชุลมุนจำเลยไม่มีโอกาสที่จะเลือกแทงได้ เพราะผู้ตายกำลังตีจำเลยอยู่จำเลยแทงผู้ตายเพียงทีเดียวบังเอิญถูกที่สำคัญ จึงเป็นเหตุให้ผู้ตายถึงแก่ความตาย จำเลยคงมีความผิดเพียงฐานทำร้ายผู้อื่นถึงแก่ความตายโดยไม่มีเจตนา
ฟ้องขอให้ลงโทษฐานฆ่าผู้อื่นโดยเจตนา เมื่อทางพิจารณาได้ความว่าจำเลยมิได้มีเจตนาฆ่า แต่ทำร้ายผู้อื่นจนถึงแก่ความตายก็ลงโทษตามฐานความผิดเท่าที่พิจารณาได้ความได้
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1280/2513
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ข่มขืนใจเอาทรัพย์ - เจตนาทุจริต - ความผิดฐานชิงทรัพย์ vs. ทำให้เสรีภาพถูกข่มขืน
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่าจำเลยมีความผิดฐานชิงทรัพย์ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 339 ตามที่โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำคุก 1 ปี กับให้คืนและใช้ราคาทรัพย์ ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้บทลงโทษเป็นผิดตามมาตรา 309 จำคุก 1 ปี ข้อคืนหรือใช้ราคายกเช่นนี้เป็นคดีต้องห้ามมิให้คู่ความฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริงตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 220
การที่จำเลยขึ้นไปบนบ้านของผู้เสียหายพูดขู่และล้วงเอาลูกระเบิดออกมาทำท่าจะขว้างก่อนที่จะหยิบเอาทรัพย์ของผู้เสียหายที่อยู่บนบ้านนั้นไป ถือได้ว่าเป็นการข่มขืนใจให้ผู้เสียหายจำยอมต่อสิ่งใดโดยทำให้กลัวว่าจะเกิดอันตรายต่อชีวิต ร่างกายหรือทรัพย์สินของผู้เสียหายเป็นความผิดตามมาตรา 309 แห่งประมวลกฎหมายอาญา
ฟ้องขอให้ลงโทษฐานชิงทรัพย์ การขู่เข็ญจัดเป็นส่วนหนึ่งในความผิดฐานชิงทรัพย์ เมื่อทางพิจารณาได้ความว่าจำเลยไม่มีเจตนาลักทรัพย์ ก็ลงโทษตามมาตรา 309 แห่งประมวลกฎหมายอาญาฐานทำให้เสื่อมเสียเสรีภาพได้
การที่จำเลยขึ้นไปบนบ้านของผู้เสียหายพูดขู่และล้วงเอาลูกระเบิดออกมาทำท่าจะขว้างก่อนที่จะหยิบเอาทรัพย์ของผู้เสียหายที่อยู่บนบ้านนั้นไป ถือได้ว่าเป็นการข่มขืนใจให้ผู้เสียหายจำยอมต่อสิ่งใดโดยทำให้กลัวว่าจะเกิดอันตรายต่อชีวิต ร่างกายหรือทรัพย์สินของผู้เสียหายเป็นความผิดตามมาตรา 309 แห่งประมวลกฎหมายอาญา
ฟ้องขอให้ลงโทษฐานชิงทรัพย์ การขู่เข็ญจัดเป็นส่วนหนึ่งในความผิดฐานชิงทรัพย์ เมื่อทางพิจารณาได้ความว่าจำเลยไม่มีเจตนาลักทรัพย์ ก็ลงโทษตามมาตรา 309 แห่งประมวลกฎหมายอาญาฐานทำให้เสื่อมเสียเสรีภาพได้
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1280/2513 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ข่มขืนใจด้วยอาวุธ ทำให้ผู้อื่นจำยอมมอบทรัพย์สิน ความผิดมาตรา 309 อาญา
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่าจำเลยมีความผิดฐานชิงทรัพย์ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 339 ตามที่โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำคุก 1 ปี กับให้คืนและใช้ราคาทรัพย์ ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้บทลงโทษเป็นผิดตามมาตรา 309 จำคุก 1 ปี ข้อคืนหรือใช้ราคายก เช่นนี้ เป็นคดีต้องห้ามมิให้คู่ความฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริงตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 220
การที่จำเลยขึ้นไปบนบ้านของผู้เสียหายพูดขู่และล้วงเอาลูกระเบิดออกมาทำท่าจะขว้างก่อนที่จะหยิบเอาทรัพย์ของผู้เสียหายที่อยู่บนบ้านนั้นไป ถือได้ว่าเป็นการข่มขืนใจให้ผู้เสียหายจำยอมต่อสิ่งใด โดยทำให้กลัวว่าจะเกิดอันตรายต่อชีวิต ร่างกาย หรือทรัพย์สินของผู้เสียหาย เป็นความผิดตามมาตรา 309 แห่งประมวลกฎหมายอาญา
ฟ้องขอให้ลงโทษฐานชิงทรัพย์ การขู่เข็ญจัดเป็นส่วนหนึ่งในความผิดฐานชิงทรัพย์ เมื่อทางพิจารณาได้ความว่าจำเลยไม่มีเจตนาลักทรัพย์ ก็ลงโทษตามมาตรา 309 แห่งประมวลกฎหมายอาญาฐานทำให้เสื่อมเสียเสรีภาพได้
การที่จำเลยขึ้นไปบนบ้านของผู้เสียหายพูดขู่และล้วงเอาลูกระเบิดออกมาทำท่าจะขว้างก่อนที่จะหยิบเอาทรัพย์ของผู้เสียหายที่อยู่บนบ้านนั้นไป ถือได้ว่าเป็นการข่มขืนใจให้ผู้เสียหายจำยอมต่อสิ่งใด โดยทำให้กลัวว่าจะเกิดอันตรายต่อชีวิต ร่างกาย หรือทรัพย์สินของผู้เสียหาย เป็นความผิดตามมาตรา 309 แห่งประมวลกฎหมายอาญา
ฟ้องขอให้ลงโทษฐานชิงทรัพย์ การขู่เข็ญจัดเป็นส่วนหนึ่งในความผิดฐานชิงทรัพย์ เมื่อทางพิจารณาได้ความว่าจำเลยไม่มีเจตนาลักทรัพย์ ก็ลงโทษตามมาตรา 309 แห่งประมวลกฎหมายอาญาฐานทำให้เสื่อมเสียเสรีภาพได้
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1056/2513 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ความผิดฐานพยายามชิงทรัพย์ แม้ไม่ได้ทรัพย์สินไปสำเร็จ ศาลลงโทษได้ตามความผิดที่เกิดขึ้น
จำเลยชิงทรัพย์โดยกระชากสร้อยซึ่งสวมอยู่ที่คอของผู้เสียหาย สร้อยคอขาดตกอยู่ในเสื้อของผู้เสียหาย จำเลยจึงเอาสร้อยนั้นไปไม่ได้ เป็นการที่จำเลยลงมือกระทำความผิดแล้ว แต่ยังไม่อาจยึดถือเอาทรัพย์นั้นไปได้สำเร็จ เป็นผิดเพียงพยายามชิงทรัพย์
ฟ้องขอให้ลงโทษฐานชิงทรัพย์อันเป็นความผิดสำเร็จ ได้ความตามทางพิจารณาว่าเป็นพยายาม ศาลย่อมพิพากษาลงโทษจำเลยฐานพยายามชิงทรัพย์ได้ เพราะไม่ใช่ข้อเท็จจริงที่ปรากฏตามทางพิจารณาต่างกับฟ้อง และไม่เป็นการพิพากษาเกินคำขอ หรือที่มิได้กล่าวในฟ้องดังที่บัญญัติไว้ในประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 192 การนำเอามาตรา 80 แห่งประมวลกฎหมายอาญา มาประกอบการลงโทษจำเลยเป็นเพียงวิธีการแบ่งส่วนโทษตามความผิดของจำเลยเท่านั้น
ฟ้องขอให้ลงโทษฐานชิงทรัพย์อันเป็นความผิดสำเร็จ ได้ความตามทางพิจารณาว่าเป็นพยายาม ศาลย่อมพิพากษาลงโทษจำเลยฐานพยายามชิงทรัพย์ได้ เพราะไม่ใช่ข้อเท็จจริงที่ปรากฏตามทางพิจารณาต่างกับฟ้อง และไม่เป็นการพิพากษาเกินคำขอ หรือที่มิได้กล่าวในฟ้องดังที่บัญญัติไว้ในประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 192 การนำเอามาตรา 80 แห่งประมวลกฎหมายอาญา มาประกอบการลงโทษจำเลยเป็นเพียงวิธีการแบ่งส่วนโทษตามความผิดของจำเลยเท่านั้น
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1056/2513
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ความผิดพยายามชิงทรัพย์: ศาลลงโทษได้แม้ฟ้องขอเป็นความผิดสำเร็จ
จำเลยชิงทรัพย์โดยกระชากสร้อยซึ่งสวมอยู่ที่คอของผู้เสียหายสร้อยขาดตกอยู่ในเสื้อของผู้เสียหาย จำเลยจึงเอาสร้อยนั้นไปไม่ได้เป็นการที่จำเลยลงมือกระทำความผิดแล้ว แต่ยังไม่อาจยึดถือเอาทรัพย์นั้นไปได้สำเร็จ เป็นผิดเพียงพยายามชิงทรัพย์
ฟ้องขอให้ลงโทษฐานชิงทรัพย์อันเป็นความผิดสำเร็จ ได้ความตามทางพิจารณาว่าเป็นพยายาม ศาลย่อมพิพากษาลงโทษจำเลยฐานพยายามชิงทรัพย์ได้ เพราะไม่ใช่ข้อเท็จจริงที่ปรากฏตามทางพิจารณาต่างกับฟ้อง และไม่เป็นการพิพากษาเกินคำขอหรือที่มิได้กล่าวในฟ้องดังที่บัญญัติไว้ในประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 192 การนำเอามาตรา 80 แห่งประมวลกฎหมายอาญามาประกอบการลงโทษจำเลยเป็นเพียงวิธีการแบ่งส่วนโทษตามความผิดของจำเลยเท่านั้น
ฟ้องขอให้ลงโทษฐานชิงทรัพย์อันเป็นความผิดสำเร็จ ได้ความตามทางพิจารณาว่าเป็นพยายาม ศาลย่อมพิพากษาลงโทษจำเลยฐานพยายามชิงทรัพย์ได้ เพราะไม่ใช่ข้อเท็จจริงที่ปรากฏตามทางพิจารณาต่างกับฟ้อง และไม่เป็นการพิพากษาเกินคำขอหรือที่มิได้กล่าวในฟ้องดังที่บัญญัติไว้ในประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 192 การนำเอามาตรา 80 แห่งประมวลกฎหมายอาญามาประกอบการลงโทษจำเลยเป็นเพียงวิธีการแบ่งส่วนโทษตามความผิดของจำเลยเท่านั้น
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 913/2513
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การเปลี่ยนแปลงกรรมสิทธิ์ทรัพย์สินหลังฟ้อง ไม่กระทบต่อการต่อสู้คดีอาญา หากจำเลยปฏิเสธความเกี่ยวข้องกับทรัพย์
ฟ้องว่าจำเลยลักทรัพย์หรือรับของโจรทรัพย์ของผู้เสียหาย ข้อเท็จจริงฟังได้ความว่าเป็นทรัพย์ของพี่ผู้เสียหาย ซึ่งสั่งให้ผู้เสียหายจัดการส่งทรัพย์นั้นไปให้ ดังนี้ ไม่ถือว่าข้อเท็จจริงต่างกับฟ้องในข้อสารสำคัญ เมื่อจำเลยต่อสู้ปฏิเสธว่าไม่ได้เกี่ยวข้องกับทรัพย์ดังกล่าวนั้น จึงไม่ถือว่าจำเลยหลงต่อสู้
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 913/2513 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ความถูกต้องของฟ้องอาญา: กรรมสิทธิ์ทรัพย์สินไม่เป็นเหตุให้ฟ้องต่างจากข้อเท็จจริงสารสำคัญ หากการครอบครองเป็นไปตามฟ้อง
ฟ้องว่าจำเลยลักทรัพย์หรือรับของโจรทรัพย์ของผู้เสียหายข้อเท็จจริงฟังได้ความว่าเป็นทรัพย์ของพี่ผู้เสียหาย ซึ่งสั่งให้ผู้เสียหายจัดการส่งทรัพย์นั้นไปให้ ดังนี้ ไม่ถือว่าข้อเท็จจริงต่างกับฟ้องในข้อสารสำคัญ เมื่อจำเลยต่อสู้ปฏิเสธว่าไม่ได้เกี่ยวข้องกับทรัพย์ดังกล่าวนั้น จึงไม่ถือว่าจำเลยหลงต่อสู้
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 463/2513 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การพิสูจน์ความถูกต้องของทรัพย์สินในคดีลักทรัพย์และรับของโจร หากทรัพย์สินไม่ตรงตามที่กล่าวอ้างในฟ้อง การลงโทษฐานรับของโจรเป็นโมฆะ
โจทก์ฟ้องว่าคนร้ายบังอาจลักเอาโทรทัศน์ยี่ห้อ อาร์.ที. เอ.ขนาด 19 นิ้วของผู้เสียหายไป เจ้าพนักงานจับจำเลยได้พร้อมด้วยโทรทัศน์ของกลาง ทางพิจารณาผู้เสียหายเบิกความว่าโทรทัศน์ที่ถูกคนร้ายลักไปยี่ห้อเซียร่า จึงต้องฟังว่าโทรทัศน์ของกลางกับของผู้เสียหายเป็นโทรทัศน์คนละเครื่อง เพราะต่างยี่ห้อกัน โทรทัศน์ของกลางอาจไม่ใช่ของผู้เสียหายที่หายไป แม้จะฟังว่าจำเลยได้รับโทรทัศน์ของกลางไว้โดยรู้อยู่ว่าเป็นของที่ได้มาโดยการกระทำผิดฐานลักทรัพย์จริง ก็ลงโทษจำเลยไม่ได้ เพราะโทรทัศน์ของกลางไม่ใช่ของผู้เสียหายดังโจทก์ฟ้อง
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 463/2513
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ความผิดฐานรับของโจรต้องมีทรัพย์สินตรงตามที่ถูกลักไป หากทรัพย์สินไม่ตรงกัน แม้ทราบว่าเป็นของผิดกฎหมายก็ไม่มีความผิด
โจทก์ฟ้องว่าคนร้ายบังอาจลักเอาโทรทัศน์ยี่ห้อ อาร์.ที. เอ. ขนาด 19 นิ้วของผู้เสียหายไป เจ้าพนักงานจับจำเลยได้พร้อมด้วยโทรทัศน์ของกลาง ทางพิจารณาผู้เสียหายเบิกความว่าโทรทัศน์ที่ถูกคนร้ายลักไปยี่ห้อเซียร่า จึงต้องฟังว่าโทรทัศน์ของกลางกับของผู้เสียหายเป็นโทรทัศน์คนละเครื่องเพราะต่างยี่ห้อกัน โทรทัศน์ของกลางอาจไม่ใช่ของผู้เสียหายที่หายไป แม้จะฟังว่าจำเลยได้รับโทรทัศน์ของกลางไว้โดยรู้อยู่ว่าเป็นของที่ได้มาโดยการกระทำผิดฐานลักทรัพย์จริงก็ลงโทษจำเลยไม่ได้ เพราะโทรทัศน์ของกลางไม่ใช่ของผู้เสียหายดังโจทก์ฟ้อง