พบผลลัพธ์ทั้งหมด 2,100 รายการ
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 478/2508 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การเปลี่ยนแปลงวันเวลาเกิดเหตุในฟ้องมีผลต่อการรับฟังพยานหลักฐานและทำให้จำเลยหลงต่อสู้ ศาลต้องยกฟ้อง
ฟ้องว่า จำเลยลักทรัพย์เมื่อวันที่ 16 กุมภาพันธ์ 2507 เวลากลางคืนก่อนเที่ยงแต่พยานโจทก์ที่เห็นเหตุการณืใกล้ชิดเบิกความแสดงว่าเห็นเหตุการณ์ลักทรัพย์เกิดขึ้นในคืนวันที่ 17 เวลาประมาณตี 1 เศษ ต้องถือว่าข้อเท็จจริงที่โจทก์นำสืบผิดวันต่างกับข้อเท็จจริงที่โจทก์กล่าวในฟ้อง เป็นข้อสารสำคัญ นอกจากนี้จำเลยยังหลงข้อต่อสู้ด้วย ต้องยกฟ้อง
แม้จะเป็นความจริงว่าจำเลยรับของโจร โจทก์ไม่ได้อ้างบทขอให้ลงโทษ และบรรยายความมาในฟ้องเพื่อแสดงให้เห็นว่าโจทก์มีความประสงค์ขอให้ลงโทษณจำเลยในฐานรับของโจร ศาลจะลงโทษจำเลยในฐานรับของโจรไม่ได้
แม้จะเป็นความจริงว่าจำเลยรับของโจร โจทก์ไม่ได้อ้างบทขอให้ลงโทษ และบรรยายความมาในฟ้องเพื่อแสดงให้เห็นว่าโจทก์มีความประสงค์ขอให้ลงโทษณจำเลยในฐานรับของโจร ศาลจะลงโทษจำเลยในฐานรับของโจรไม่ได้
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 191/2508
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ฎีกาต้องห้ามในปัญหาข้อเท็จจริง: การโต้แย้งข้อเท็จจริงตามฟ้องไม่ใช่ฎีกาปัญหาข้อกฎหมาย
จำเลยฎีกาว่า ข้อเท็จจริงต่างกับฟ้องก็เพราะอ้างว่าจำเลยไม่ได้กระทำผิดดังนี้เป็นการฎีกาปัญหาข้อเท็จจริงต้องห้ามมิให้ฎีกาตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 218
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 191/2508 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การฎีกาปัญหาข้อเท็จจริงขัดกับฟ้อง ต้องห้ามมิให้ฎีกาตามกฎหมาย
จำเลยฎีกาว่า ข้อเท็จจริงต่างกับฟ้องก็เพราะอ้างว่าจำเลยไม่ได้กระทำผิด ดังนี้เป็นการฎีกาปัญหาข้อเท็จจริง ต้องห้ามมิให้ฎีกาตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 218
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 166/2508
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การลงโทษปรับในความผิดตาม พ.ร.บ.ศุลกากร: ปรับรวมหรือปรับเรียงรายตัวบุคคล
(1) การที่พระราชบัญญัติศุลกากร (ฉบับที่ 11) พ.ศ.2490 มาตรา 3 บัญญัติว่า 'สำหรับความผิดครั้งหนึ่งๆ ให้ปรับเป็นเงินสี่เท่าราคาของซึ่งได้รวมค่าอากรเข้าด้วย' นั้น ก็เพราะมุ่งหมายให้ลงโทษปรับผู้กระทำผิดครั้งหนึ่งๆ เป็นเงินสี่เท่าราคาของรวมทั้งค่าอากรด้วย โดยไม่ต้องให้คำนึงว่าจะมีผู้ร่วมกระทำผิดด้วยหลายคนหรือไม่
(2) โดยที่พระราชบัญญัติศุลกากรมีความมุ่งหมายดังกล่าวนี้เองจึงต้องถือว่าพระราชบัญญัติศุลกากรนี้ได้บัญญัติถึงวิธีการลงโทษปรับผู้กระทำผิดไว้เป็นอย่างอื่นตามความในมาตรา 17 ประมวลกฎหมายอาญาแล้ว เพราะฉะนั้นจะนำเอามาตรา 31 แห่งประมวลกฎหมายอาญามาใช้แก่ผู้กระทำผิดตามพระราชบัญญัติศุลกากรไม่ได้กล่าวคือ จะปรับเรียงตัวผู้กระทำผิดไม่ได้
(ประชุมใหญ่ครั้งที่ 30/2507)
(2) โดยที่พระราชบัญญัติศุลกากรมีความมุ่งหมายดังกล่าวนี้เองจึงต้องถือว่าพระราชบัญญัติศุลกากรนี้ได้บัญญัติถึงวิธีการลงโทษปรับผู้กระทำผิดไว้เป็นอย่างอื่นตามความในมาตรา 17 ประมวลกฎหมายอาญาแล้ว เพราะฉะนั้นจะนำเอามาตรา 31 แห่งประมวลกฎหมายอาญามาใช้แก่ผู้กระทำผิดตามพระราชบัญญัติศุลกากรไม่ได้กล่าวคือ จะปรับเรียงตัวผู้กระทำผิดไม่ได้
(ประชุมใหญ่ครั้งที่ 30/2507)
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 149/2508
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การพิสูจน์ข้อเท็จจริงเรื่องตัวผู้ขับขี่ในคดีขับรถประมาททำให้ผู้อื่นบาดเจ็บหรือถึงแก่ความตาย
โจทก์ฟ้องว่า จำเลยขับรถโดยประมาทชนกับรถที่สวนมาเป็นเหตุให้ผู้โดยสารถึงแก่ความตายและบาดเจ็บ ทางพิจารณาได้ความว่า จำเลยมิได้เป็นคนขับรถคันที่ชนกันนี้ ศาลพิพากษายกฟ้อง(ประชุมใหญ่ครั้งที่ 25/2507)
(หมายเหตุ)มีบันทึกท่านอาจารย์ประกอบ หุตะสิงห์ เจ้าของสำนวน(รับโอน)ความว่าท่านตรวจสำนวนแล้วตามฟ้องและที่จำเลยเถียงประเด็นคงเหลือว่าจำเลยเป็นคนขับหรือคนอื่นขับเท่านั้นซึ่งเป็นปัญหาข้อเท็จจริงศาลอุทธรณ์ว่าจำเลยไม่ได้ขับ จึงยกฟ้องโจทก์ฎีกาว่าจำเลยขับ ประเด็นที่เสนอเป็นข้อกฎหมายเข้าประชุมใหญ่มีว่า 'จำเลยเป็นผู้ขับรถคันที่ชนกันนี้เป็นประจำแต่ได้ปล่อยให้คนอื่นขับจนเป็นเหตุให้รถชนกันมีคนตาย จำเลยจะมีความผิดฐานทำให้คนตายโดยประมาทด้วยหรือไม่' นั้นจึงไม่มีในสำนวนท่านจึงชี้ขาดข้อเท็จจริงแต่อย่างเดียว โดยไม่ได้กล่าวถึงมติที่ประชุมใหญ่ เพราะจะเป็นการวินิจฉัยนอกประเด็น)
(หมายเหตุ)มีบันทึกท่านอาจารย์ประกอบ หุตะสิงห์ เจ้าของสำนวน(รับโอน)ความว่าท่านตรวจสำนวนแล้วตามฟ้องและที่จำเลยเถียงประเด็นคงเหลือว่าจำเลยเป็นคนขับหรือคนอื่นขับเท่านั้นซึ่งเป็นปัญหาข้อเท็จจริงศาลอุทธรณ์ว่าจำเลยไม่ได้ขับ จึงยกฟ้องโจทก์ฎีกาว่าจำเลยขับ ประเด็นที่เสนอเป็นข้อกฎหมายเข้าประชุมใหญ่มีว่า 'จำเลยเป็นผู้ขับรถคันที่ชนกันนี้เป็นประจำแต่ได้ปล่อยให้คนอื่นขับจนเป็นเหตุให้รถชนกันมีคนตาย จำเลยจะมีความผิดฐานทำให้คนตายโดยประมาทด้วยหรือไม่' นั้นจึงไม่มีในสำนวนท่านจึงชี้ขาดข้อเท็จจริงแต่อย่างเดียว โดยไม่ได้กล่าวถึงมติที่ประชุมใหญ่ เพราะจะเป็นการวินิจฉัยนอกประเด็น)
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 149/2508 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การพิสูจน์ตัวผู้ขับขี่ในคดีขับรถประมาท การพิจารณาพยานหลักฐานเพื่อตัดสินว่าจำเลยเป็นผู้กระทำความผิดหรือไม่
โจทก์ฟ้องว่า จำเลยขับรถโดยประมาทชนกับรถที่สวนมา เป็นเหตุให้ผู้โดยสารถึงแก่ความตายและบาดเจ็บ ทางพิจารณาได้ความว่า จำเลยมิได้เป็นคนขับรถคนที่ชนกันนี้ ศาลพิพาษายกฟ้อง (ประชุมใหญ่ ครั้ง 25/2507)
(หมายเหตุ มีบันทึกท่านอาจารย์ประกอบ หุตะสิงห์เจ้าของสำนวน(รับโอน) ความว่า ท่านตรวจสำนวนแล้วตามฟ้องและที่จำเลยเถียง ประเด็นคงเหลือว่าจำเลยเป็นคนขับหรือคนอื่นขับเท่านั้น ซึ่งเป็นปัญหาข้อเท็จจริง ศาลอุทธรณ์ว่าจำเลยไม่ได้รับ จึงยกฟ้อง โจทก์ฎีกาว่า จำเลยขับ ประเด็นที่เสนอเป็นข้อกฎหมายเข้าประชุมใหญ่มีว่า "จำเลยเป็นผู้ขับรถคันที่ชนกันนี้เป็นประจำ แต่ได้ปล่อยให้คนอื่นขับจนเป็นเหตุให้รถชนกันมีคนตาย จำเลยจะมีความผิดฐานทำให้คนตายโดยประมาทด้วยหรือไม่ " นั้น จึงไม่มีในสำนวน ท่านจึงชึ้ขาดข้อเท็จจริงแต่อย่างเดียว โดยไม่ได้กล่าวถึงมติที่ประชุมใหญ่ เพราะจะเป็นการวินิฉัยนอกประเด็น)
(หมายเหตุ มีบันทึกท่านอาจารย์ประกอบ หุตะสิงห์เจ้าของสำนวน(รับโอน) ความว่า ท่านตรวจสำนวนแล้วตามฟ้องและที่จำเลยเถียง ประเด็นคงเหลือว่าจำเลยเป็นคนขับหรือคนอื่นขับเท่านั้น ซึ่งเป็นปัญหาข้อเท็จจริง ศาลอุทธรณ์ว่าจำเลยไม่ได้รับ จึงยกฟ้อง โจทก์ฎีกาว่า จำเลยขับ ประเด็นที่เสนอเป็นข้อกฎหมายเข้าประชุมใหญ่มีว่า "จำเลยเป็นผู้ขับรถคันที่ชนกันนี้เป็นประจำ แต่ได้ปล่อยให้คนอื่นขับจนเป็นเหตุให้รถชนกันมีคนตาย จำเลยจะมีความผิดฐานทำให้คนตายโดยประมาทด้วยหรือไม่ " นั้น จึงไม่มีในสำนวน ท่านจึงชึ้ขาดข้อเท็จจริงแต่อย่างเดียว โดยไม่ได้กล่าวถึงมติที่ประชุมใหญ่ เพราะจะเป็นการวินิฉัยนอกประเด็น)
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1033/2507
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ข้อแตกต่างของข้อเท็จจริงในฟ้องกับข้อเท็จจริงที่พิสูจน์ได้ในทางพิจารณา ไม่เป็นสารสำคัญหากผู้รับเช็คไม่ใช่ประเด็น
เมื่อศาลฟังว่าโจทก์ร่วมเป็นผู้ทรงเช็คและเป็นผู้เสียหายแล้ว ใครจะเป็นผู้รับเช็คจากจำเลย ก็ไม่ใช่ข้อสารสำคัญของคดี แม้ฟ้องโจทก์จะบรรยายว่าเช็ครายพิพาทจำเลยออกให้แก่โจทก์ร่วม แต่ความจริงจำเลยออกให้แก่คนอื่น ก็ยังถือไม่ได้ว่าข้อเท็จจริงในทางพิจารณาแตกต่างกับฟ้อง อันเป็นข้อสารสำคัญแห่งคดี
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1018/2507 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การออกเช็คโดยไม่มีเงินในบัญชีเพียงพอ แม้ข้อเท็จจริงในฟ้องต่างจากทางพิจารณา แต่ไม่ถึงขั้นสารสำคัญ
โจทก์บรรยายฟ้องว่า จำเลยออกเช็ค 10,000 บาท ให้โจทก์ โจทก์นำเช็คไปขอรับเงิน ธนาคารปฎิเสธไม่จ่ายเงิน เพราะจำเลยไม่มีเงินในบัญชีของธนาคาร ข้อเท็จจริงในทางพิจารณาปรากฎว่า จำเลยมีเงินในบัญชี 232.32 บาท ธนาคารปฏิเสธไม่จ่ายเงิน โดยให้โจทก์ไปติดต่อกับผู้สั่งจ่าย ดังนี้ ข้อเท็จจริงที่ปรากฎในทางพิจารณาย่อมแตกต่างกับข้อเท็จจริงดังที่กล่าวในฟ้อง แต่ข้อแตกต่างนี้ไม่ใช่ข้อสาระสำคัญและจำเลยมิได้หลงข้อต่อสู้ จำเลยจึงต้องมีความผิดดังโจทก์ฟ้อง
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1018/2507
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ความผิดตาม พ.ร.บ.เช็ค: แม้มีเงินในบัญชีแต่ไม่พอจ่าย ก็ถือเป็นความผิด
โจทก์บรรยายฟ้องว่า จำเลยออกเช็ค 10,000 บาทให้โจทก์โจทก์นำเช็คไปขอรับเงิน ธนาคารปฏิเสธไม่จ่ายเงินเพราะจำเลยไม่มีเงินในบัญชีของธนาคาร ข้อเท็จจริงในทางพิจารณาปรากฏว่า จำเลยมีเงินในบัญชี 232.32 บาท ธนาคารปฏิเสธไม่จ่ายเงินโดยให้โจทก์ไปติดต่อกับผู้สั่งจ่าย ดังนี้ ข้อเท็จจริงที่ปรากฏในทางพิจารณาย่อมแตกต่างกับข้อเท็จจริงดังที่กล่าวในฟ้อง แต่ข้อแตกต่างนี้ไม่ใช่ข้อสารสำคัญ และจำเลยมิได้หลงต่อสู้จำเลยจึงต้องมีความผิดดังโจทก์ฟ้อง
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 940/2507
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
สถานที่เกิดเหตุในฟ้องคดีอาญาไม่ตรงกับข้อเท็จจริงที่พิจารณาได้ ศาลยังลงโทษได้หากไม่ใช่ข้อสาระสำคัญ
การที่โจทก์ฟ้องว่า เหตุเกิดในท้องที่อำเภอหนึ่ง แม้ศาลจะฟังข้อเท็จจริงดังที่จำเลยนำสืบว่าเหตุเกิดในท้องที่อีกอำเภอหนึ่งก็ตาม แต่เขตของสองอำเภอนั้นอยู่ใกล้ชิดติดต่อกัน และจำเลยก็รู้ดีอยู่แล้วว่าสถานที่เกิดเหตุนั้นอยู่ที่ใด เช่นนี้ ถือได้ว่าในข้อสถานที่เกิดเหตุนั้นทางพิจารณาไม่แตกต่างกับฟ้องในข้อสาระสำคัญ และจำเลยมิได้หลงข้อต่อสู้อย่างใด ศาลย่อมลงโทษจำเลยตามข้อเท็จจริงที่พิจารณาได้ความได้