พบผลลัพธ์ทั้งหมด 2,100 รายการ
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 5633/2544
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การพิพากษาเกินคำขอในคดีเกี่ยวกับยาเสพติด: ศาลสามารถลงโทษฐานความผิดที่ถูกต้องได้
โจทก์บรรยายฟ้องว่า จำเลยมีกัญชาน้ำหนัก 576.200 กิโลกรัม ไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่ายโดยไม่ได้รับอนุญาตโดยโจทก์อ้างบทลงโทษตามมาตรา 76 แห่งพระราชบัญญัติยาเสพติดให้โทษ พ.ศ. 2522มาตราดังกล่าวได้อ้างถึงมาตรา 26 ซึ่งเป็นบทห้ามและข้อสันนิษฐานเด็ดขาดเกี่ยวกับการมียาเสพติดให้โทษในประเภท 5 ไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่ายไว้ด้วย เพียงแต่โจทก์มิได้ระบุมาตรา 26 มาในคำขอท้ายฟ้องส่วนมาตรา 25 ที่โจทก์ระบุมานั้นไม่ใช่บทบัญญัติที่เกี่ยวกับการกระทำความผิดของจำเลยตามที่โจทก์ฟ้องเป็นเรื่องที่โจทก์อ้างบทมาตราผิดศาลมีอำนาจลงโทษจำเลยตามฐานความผิดที่ถูกต้องได้ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 192 วรรคห้า
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4519/2544
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การซื้อขายยาเสพติด (เมทแอมเฟตามีน) พยานหลักฐานเชื่อมโยง จำเลยให้การรับสารภาพ ศาลพิพากษาลงโทษและริบของกลาง
ในข้อหาต่อสู้ขัดขวางเจ้าพนักงานและพยายามฆ่าเจ้าพนักงานซึ่งปฏิบัติการตามหน้าที่ การที่ศาลชั้นต้นยกประโยชน์แห่งความสงสัยให้แก่จำเลยที่ 1 เฉพาะความผิดข้อหานี้ไม่มีผลทำให้คำเบิกความของพยานโจทก์ในข้อหาอื่น
ไม่มีน้ำหนักให้รับฟังไปด้วย
จำเลยทั้งสองร่วมกันมีเมทแอมเฟตามีนของกลางไว้ในครอบครองเพื่อขายและขายเมทแอมเฟตามีนโดยไม่ได้รับอนุญาต อันเป็นการกระทำกรรมเดียวคือการขายตาม พ.ร.บ. วัตถุที่ออกฤทธิ์ต่อจิตและประสาท พ.ศ. 2518 (เหตุเกิดวันที่ 11 สิงหาคม 2538)
โจทก์มีคำขอให้ริบเมทแอมเฟตามีนของกลางกับผ้าห่มและถุงย่ามของกลางที่ใช้บรรจุและซุกซ่อนเมทแอมเฟตามีนของกลาง แม้โจทก์จะอ้างบทมาตราตาม ป.อ. มาตรา 32 , 33 โดยมิได้อ้างมาตรา 116 แห่ง พ.ร.บ. วัตถุที่ออกฤทธิ์ต่อจิตและประสาท พ.ศ. 2518 แต่เมื่อศาลล่างทั้งสองพิพากษาลงโทษจำเลยทั้งสองตาม พ.ร.บ. วัตถุที่ออกฤทธิ์ต่อจิตและประสาท พ.ศ. 2518 มาตรา 89 จึงต้องริบเมทแอมเฟตามีนของกลางกับผ้าห่มและถุงย่ามของกลางที่ใช้บรรจุและซุกซ่อนเมทแอมเฟตามีนของกลาง อันเป็นภาชนะหรือหีบห่อที่บรรจุเกี่ยวเนื่องกับความผิดในคดีให้แก่กระทรวงสาธารณสุขเพื่อทำลายหรือจัดการอย่างหนึ่งอย่างใดตามที่เห็นสมควรตามมาตรา 116 ที่ศาลล่างทั้งสองพิพากษาเพียงว่า ให้ริบเมทแอมเฟตามีน ผ้าห่ม และถุงย่ามของกลางเท่านั้น จึงไม่ถูกต้อง ศาลฎีกาเห็นสมควรแก้ไขให้ถูกต้อง
ไม่มีน้ำหนักให้รับฟังไปด้วย
จำเลยทั้งสองร่วมกันมีเมทแอมเฟตามีนของกลางไว้ในครอบครองเพื่อขายและขายเมทแอมเฟตามีนโดยไม่ได้รับอนุญาต อันเป็นการกระทำกรรมเดียวคือการขายตาม พ.ร.บ. วัตถุที่ออกฤทธิ์ต่อจิตและประสาท พ.ศ. 2518 (เหตุเกิดวันที่ 11 สิงหาคม 2538)
โจทก์มีคำขอให้ริบเมทแอมเฟตามีนของกลางกับผ้าห่มและถุงย่ามของกลางที่ใช้บรรจุและซุกซ่อนเมทแอมเฟตามีนของกลาง แม้โจทก์จะอ้างบทมาตราตาม ป.อ. มาตรา 32 , 33 โดยมิได้อ้างมาตรา 116 แห่ง พ.ร.บ. วัตถุที่ออกฤทธิ์ต่อจิตและประสาท พ.ศ. 2518 แต่เมื่อศาลล่างทั้งสองพิพากษาลงโทษจำเลยทั้งสองตาม พ.ร.บ. วัตถุที่ออกฤทธิ์ต่อจิตและประสาท พ.ศ. 2518 มาตรา 89 จึงต้องริบเมทแอมเฟตามีนของกลางกับผ้าห่มและถุงย่ามของกลางที่ใช้บรรจุและซุกซ่อนเมทแอมเฟตามีนของกลาง อันเป็นภาชนะหรือหีบห่อที่บรรจุเกี่ยวเนื่องกับความผิดในคดีให้แก่กระทรวงสาธารณสุขเพื่อทำลายหรือจัดการอย่างหนึ่งอย่างใดตามที่เห็นสมควรตามมาตรา 116 ที่ศาลล่างทั้งสองพิพากษาเพียงว่า ให้ริบเมทแอมเฟตามีน ผ้าห่ม และถุงย่ามของกลางเท่านั้น จึงไม่ถูกต้อง ศาลฎีกาเห็นสมควรแก้ไขให้ถูกต้อง
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4461-4462/2544 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การนับโทษต่อในคดีอาญา แม้โจทก์มิได้ขอในคำฟ้องเดิม ศาลอนุญาตได้หากข้อเท็จจริงสนับสนุน
การขอให้นับโทษต่อมิได้มีกฎหมายบัญญัติว่าจะต้องกล่าวมาในคำฟ้อง โจทก์จึงยื่นคำร้องขอให้นับโทษต่อในภายหลังได้
คดีทั้งสองสำนวนนี้โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยโดยมิได้มีคำขอท้ายคำฟ้องแต่ละสำนวนให้นับโทษต่อ ต่อมาโจทก์ยื่นคำร้องว่า จำเลยทั้งสองสำนวนเป็นบุคคลเดียวกันกระทำผิดข้อหาเดียวกัน ขอให้นับโทษในคดีทั้งสองสำนวนต่อกันไป แม้จำเลยไม่คัดค้านคำร้องและไม่เคยรับไว้ในที่ใดว่าเป็นความจริงตามที่โจทก์กล่าวอ้าง แต่คดี สองสำนวนนี้เป็นเรื่องโจทก์คนเดียวกันฟ้องจำเลยที่ศาลชั้นต้นแห่งเดียวกันในเวลาใกล้เคียงกัน และต่อมาศาลสั่งให้รวมการพิจารณาด้วยกัน ข้อเท็จจริงเป็นที่แน่ชัดว่าที่โจทก์อ้างมาในคำร้องนั้นเป็นความจริง ไม่มีปัญหาว่าจำเลยแต่ละคนอาจจะมิได้เป็นบุคคลคนเดียวกันอันจะทำให้ไม่อาจนับโทษต่อได้ เมื่อโจทก์ได้แสดงความประสงค์ขอให้นับโทษ ต่อมาชัดเจนและจำเลยทั้งสองคดีเป็นบุคคลคนเดียวกัน แม้จำเลยจะมิได้แถลงรับก็เห็นประจักษ์อยู่แล้วย่อมไม่มีทาง ที่ศาลชั้นต้นจะสั่งคำร้องของโจทก์เป็นอย่างอื่นไปได้ นอกจากสั่งอนุญาต การที่ศาลชั้นต้นมิได้มีคำสั่งอย่างใดจนกระทั่งพิพากษา ต้องถือว่าศาลชั้นต้นอนุญาตตามคำร้องขอให้นับโทษต่อโดยปริยายแล้ว
คดีทั้งสองสำนวนนี้โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยโดยมิได้มีคำขอท้ายคำฟ้องแต่ละสำนวนให้นับโทษต่อ ต่อมาโจทก์ยื่นคำร้องว่า จำเลยทั้งสองสำนวนเป็นบุคคลเดียวกันกระทำผิดข้อหาเดียวกัน ขอให้นับโทษในคดีทั้งสองสำนวนต่อกันไป แม้จำเลยไม่คัดค้านคำร้องและไม่เคยรับไว้ในที่ใดว่าเป็นความจริงตามที่โจทก์กล่าวอ้าง แต่คดี สองสำนวนนี้เป็นเรื่องโจทก์คนเดียวกันฟ้องจำเลยที่ศาลชั้นต้นแห่งเดียวกันในเวลาใกล้เคียงกัน และต่อมาศาลสั่งให้รวมการพิจารณาด้วยกัน ข้อเท็จจริงเป็นที่แน่ชัดว่าที่โจทก์อ้างมาในคำร้องนั้นเป็นความจริง ไม่มีปัญหาว่าจำเลยแต่ละคนอาจจะมิได้เป็นบุคคลคนเดียวกันอันจะทำให้ไม่อาจนับโทษต่อได้ เมื่อโจทก์ได้แสดงความประสงค์ขอให้นับโทษ ต่อมาชัดเจนและจำเลยทั้งสองคดีเป็นบุคคลคนเดียวกัน แม้จำเลยจะมิได้แถลงรับก็เห็นประจักษ์อยู่แล้วย่อมไม่มีทาง ที่ศาลชั้นต้นจะสั่งคำร้องของโจทก์เป็นอย่างอื่นไปได้ นอกจากสั่งอนุญาต การที่ศาลชั้นต้นมิได้มีคำสั่งอย่างใดจนกระทั่งพิพากษา ต้องถือว่าศาลชั้นต้นอนุญาตตามคำร้องขอให้นับโทษต่อโดยปริยายแล้ว
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2878/2544 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การพิจารณาความผิดฐานชิงทรัพย์ ต้องมีพยานหลักฐานยืนยันเจตนาใช้กำลังประทุษร้าย ไม่สามารถรับฟังจากคำรับของจำเลยได้
โจทก์บรรยายฟ้องว่าจำเลยลักทรัพย์โดยใช้กำลังประทุษร้ายกอดปล้ำและใช้อาวุธมีดปลายแหลมขู่เข็ญ ผู้เสียหายว่าทันใดนั้นจะใช้อาวุธมีดแทงทำร้ายหากผู้เสียหายขัดขืน แสดงว่าจำเลยมีอาวุธมีดและยังไม่ได้แทงทำร้ายร่างกายผู้เสียหาย ดังนั้น ที่ผู้เสียหายเบิกความว่า ถูกของแหลมยาวประมาณ 6 ถึง 7 นิ้ว ไม่ทราบว่าเป็นวัตถุชนิดใด ทิ่มแทงที่ชายโครง 2 ครั้ง โดยไม่ปรากฏบาดแผลและอาวุธที่ใช้ทิ่มแทงเป็นของกลาง จึงรับฟังไม่ได้ เมื่อข้อเท็จจริง รับฟังไม่ได้ว่า จำเลยมีเจตนาใช้กำลังประทุษร้ายผู้เสียหาย ลำพังแต่คำรับของจำเลยในชั้นจับกุมและชั้นสอบสวน ย่อมไม่อาจนำมารับฟังลงโทษจำเลยฐานชิงทรัพย์ได้ ส่วนที่จำเลยเบิกความรับว่าจำเลยได้หยิบไม้กวาดขึ้นมาถือไว้ ทำให้ผู้เสียหายไม่กล้าเข้าใกล้จำเลย เท่ากับเป็นการขู่เข็ญว่าทันใดนั้นจะใช้กำลังประทุษร้ายผู้เสียหายก็ตาม แต่ข้อเท็จจริง ที่จะรับฟังลงโทษจำเลยต้องได้มาจากพยานหลักฐานของโจทก์ คำเบิกความของจำเลยมิใช่พยานหลักฐานของโจทก์ จะนำมารับฟังเพื่อลงโทษจำเลยหาได้ไม่
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2770/2544
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การกระทำโดยบันดาลโทสะหลังถูกดูหมิ่น: ลดโทษจากทำร้ายร่างกายเป็นปรับ
ผู้เสียหายตะโกนด่าถึงมารดาจำเลยว่ามารดาจำเลยเป็นโสเภณีและถึงแก่กรรมด้วยโรคเอดส์ เป็นการกล่าวหาว่ามารดาจำเลยสำส่อนทางเพศ ถือว่าเป็นการข่มเหงจำเลยอย่างร้ายแรงด้วยเหตุไม่เป็นธรรม การที่จำเลยตบหน้าผู้เสียหาย2 ครั้ง ในขณะนั้นจึงเป็นการกระทำโดยบันดาลโทสะ ซึ่งศาลฎีกาลงโทษจำเลยตามที่พิจารณาได้ความได้ ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 192 วรรคท้ายประกอบด้วยมาตรา 215 และมาตรา 225
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2653/2544 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การพนันฟุตบอลและสลากกินรวบ: ความผิดหลายกรรม, การรับสารภาพ, และการปรับบทลงโทษ
สำหรับข้อหาเล่นการพนันทายผลฟุตบอลโลก โจทก์บรรยายฟ้องว่า จำเลยเป็นผู้จัดให้มีการเล่นทายผลฟุตบอลโลก อันเป็นการเล่นซึ่งมีลักษณะคล้ายกับการเล่นการพนันซึ่งได้ระบุไว้ในบัญชี ข. หมายเลข 3 ท้าย พ.ร.บ.การพนัน พ.ศ.2478 พนันเอาทรัพย์สินกันโดยไม่รับอนุญาตจากเจ้าพนักงาน นำมาซึ่งผลประโยชน์ของตน และร่วมเล่นกับพวกที่หลบหนีอยู่ ส่วนข้อหาเล่นการพนันสลากกินรวบ โจทก์ก็ได้บรรยายฟ้องว่าจำเลยเป็นผู้จัดให้มีการเล่นการพนันสลากกินรวบ อันนำมาซึ่งผลประโยชน์แห่งตน และร่วมกันเล่นพนันเอาทรัพย์สินกันโดยไม่ได้รับอนุญาตจากเจ้าพนักงาน อันเป็นการเล่นซึ่งระบุไว้ในบัญชี ข. หมายเลข 16 ท้ายพระราชบัญญัติการพนัน พ.ศ. 2478 โดยถือเอาเลขท้าย 3 ตัว ของเลขรางวัลที่ 1 และเลขท้าย 2 ตัว ของสลากกินแบ่งรัฐบาลงวดประจำวันที่ 1 และ 16 ระหว่างวันที่ 16 มกราคม 2541 ถึงวันที่ 14 มิถุนายน 2541 เป็นเลขถูกรางวัลสลากกินรวบ ตามคำฟ้องของโจทก์เป็นการบรรยายการกระทำทั้งหลายที่อ้างว่าจำเลยได้กระทำผิด ข้อเท็จจริงและรายละเอียดที่เกี่ยวข้องพอที่จะทำให้จำเลยเข้าใจข้อหาได้ดี อีกทั้งจำเลยก็ให้การรับสารภาพ ย่อมแสดงว่าจำเลยเข้าใจข้อหาตามคำฟ้องแล้ว ส่วนยอดเงินตามโพยมิใช่องค์ประกอบความผิดแต่เป็นรายละเอียดที่โจทก์นำสืบได้ในชั้นพิจารณา ฟ้องทั้งสองข้อหาจึงหาเป็นฟ้องเคลือบคลุมไม่
โจทก์ฟ้องว่าจำเลยกระทำความผิดต่อ พ.ร.บ.การพนัน พ.ศ. 2478 เมื่อจำเลยให้การรับสารภาพข้อเท็จจริงจึงฟังได้ดังฟ้องโจทก์ จำเลยจะมาโต้เถียงในชั้นฎีกาว่า พฤติการณ์ในการค้นและออกหมายค้นไม่ชอบด้วยกฎหมาย จึงไม่อาจนำพยานหลักฐานที่ได้มาใช้รับฟังลงโทษจำเลยได้นั้นหาได้ไม่ เพราะเป็นการโต้เถียงข้อเท็จจริงที่จำเลยให้การรับสารภาพแล้ว ทั้งยังเป็นการยกข้อเท็จจริงขึ้นใหม่ในชั้นฎีกาซึ่งมิใช่ข้อที่ได้ว่ากล่าวกันมาแล้วโดยชอบในศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์
โจทก์บรรยายฟ้องว่า การกระทำของจำเลยเป็นความผิด 2 กรรมต่างกัน จำเลยให้การรับสารภาพ ศาลชั้นต้นพิพากษาลงโทษจำเลยเพียงกรรมเดียวซึ่งไม่ถูกต้อง ปัญหาดังกล่าวเป็นข้อกฏหมายที่เกี่ยวกับความสงบเรียบร้อย แม้โจทก์จะมิได้อุทธรณ์และฎีกาขึ้นมา ศาลฎีกาก็เห็นสมควรปรับบทลงโทษเสียให้ถูกต้องโดยไม่แก้ไขโทษ
โจทก์ฟ้องว่าจำเลยกระทำความผิดต่อ พ.ร.บ.การพนัน พ.ศ. 2478 เมื่อจำเลยให้การรับสารภาพข้อเท็จจริงจึงฟังได้ดังฟ้องโจทก์ จำเลยจะมาโต้เถียงในชั้นฎีกาว่า พฤติการณ์ในการค้นและออกหมายค้นไม่ชอบด้วยกฎหมาย จึงไม่อาจนำพยานหลักฐานที่ได้มาใช้รับฟังลงโทษจำเลยได้นั้นหาได้ไม่ เพราะเป็นการโต้เถียงข้อเท็จจริงที่จำเลยให้การรับสารภาพแล้ว ทั้งยังเป็นการยกข้อเท็จจริงขึ้นใหม่ในชั้นฎีกาซึ่งมิใช่ข้อที่ได้ว่ากล่าวกันมาแล้วโดยชอบในศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์
โจทก์บรรยายฟ้องว่า การกระทำของจำเลยเป็นความผิด 2 กรรมต่างกัน จำเลยให้การรับสารภาพ ศาลชั้นต้นพิพากษาลงโทษจำเลยเพียงกรรมเดียวซึ่งไม่ถูกต้อง ปัญหาดังกล่าวเป็นข้อกฏหมายที่เกี่ยวกับความสงบเรียบร้อย แม้โจทก์จะมิได้อุทธรณ์และฎีกาขึ้นมา ศาลฎีกาก็เห็นสมควรปรับบทลงโทษเสียให้ถูกต้องโดยไม่แก้ไขโทษ
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2319/2544
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การลงโทษความผิดพยายามจำหน่ายยาเสพติดตามกฎหมายพิเศษ โจทก์ต้องขอท้ายฟ้องชัดเจน
พระราชบัญญัติมาตรการในการปราบปรามผู้กระทำความผิดเกี่ยวกับยาเสพติด พ.ศ. 2534 เป็นกฎหมายพิเศษที่กำหนดโทษให้ผู้กระทำความผิดฐานพยายามต้องระวางโทษเท่ากับความผิดสำเร็จบทบัญญัติของกฎหมายดังกล่าวจึงเป็นผลร้ายแก่จำเลย เพราะทำให้จำเลยต้องรับโทษสูงขึ้นกว่าการกระทำความผิดขั้นพยายามทั่ว ๆ ไป ดังนั้น เมื่อโจทก์มิได้อ้างมาตรา 7ตามพระราชบัญญัติดังกล่าวมาในคำขอท้ายฟ้อง จึงต้องถือว่าโจทก์ไม่ประสงค์จะให้ลงโทษตามบทบัญญัติมาตราดังกล่าวตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 192 วรรคสี่ จึงนำมาตรา 7 แห่งพระราชบัญญัติมาตรการในการปราบปรามผู้กระทำความผิดเกี่ยวกับยาเสพติดมาลงโทษจำเลยไม่ได้
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1783/2544
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
อำนาจศาลในการลงโทษความผิดฐานมียาเสพติดและอาวุธปืน การริบเงินและขอบเขตการพิพากษา
จำเลยมีเมทแอมเฟตามีนของกลางไว้ในครอบครองโดยไม่ได้รับอนุญาต ซึ่งการกระทำความผิดฐานนี้เป็นการกระทำอย่างหนึ่งในความผิดฐานมียาเสพติดให้โทษในประเภท 1 ไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่ายตามที่โจทก์ฟ้อง ศาลย่อมมีอำนาจที่จะลงโทษจำเลยในความผิดฐานนี้ได้ตาม ป.วิ.อ. มาตรา 192 วรรคท้าย
โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยฐานมีอาวุธปืนไม่มีเครื่องหมายทะเบียนของเจ้าพนักงานประทับไว้ใน ครอบครองโดยไม่ได้รับใบอนุญาต แม้ทางพิจารณาได้ความว่าเป็นอาวุธปืนของผู้อื่นซึ่งได้รับใบอนุญาตให้มีและใช้ตามกฎหมาย ก็มิใช่ข้อแตกต่างกันในข้อสาระสำคัญ เพราะองค์ประกอบความผิดนี้อยู่ที่ว่า จำเลยมีอาวุธปืนดังกล่าวไว้ในครอบครองโดยไม่ได้รับใบอนุญาตหรือไม่ ซึ่งจำเลยก็ให้การรับสารภาพว่ามีอาวุธปืนที่เป็นของผู้อื่นซึ่งได้รับ ใบอนุญาตให้มีและใช้ตามกฎหมายไว้ในครอบครองโดยไม่ได้รับใบอนุญาตจริง ศาลจึงมีอำนาจลงโทษจำเลยใน ความผิดฐานนี้ซึ่งมีอัตราโทษเบากว่าความผิดตามฟ้องได้ ไม่เป็นการพิพากษาเกินคำขอตาม ป.วิ.อ. มาตรา 192 วรรคหนึ่ง
จำเลยมีเมทแอมเฟตามีนของกลางไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่าย แต่เงินของกลางที่โจทก์มีคำขอให้ริบ ไม่ใช่เครื่องมือ เครื่องใช้ ยานพาหนะหรือวัตถุอื่นซึ่งได้ใช้ในการกระทำความผิดเกี่ยวกับยาเสพติดให้โทษตาม พ.ร.บ. ยาเสพติดให้โทษ พ.ศ. 2522 มาตรา 102 และไม่ใช่ทรัพย์สินที่กฎหมายบัญญัติว่าผู้ใดทำหรือมีไว้เป็นความผิดหรือได้มาโดยกระทำความผิดในคดีที่โจทก์ฟ้องตาม ป.อ. มาตรา 32, 33 (2) ศาลจึงไม่อาจริบเงินของกลางได้ และเห็นสมควรคืนให้แก่เจ้าของ
โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยฐานมีอาวุธปืนไม่มีเครื่องหมายทะเบียนของเจ้าพนักงานประทับไว้ใน ครอบครองโดยไม่ได้รับใบอนุญาต แม้ทางพิจารณาได้ความว่าเป็นอาวุธปืนของผู้อื่นซึ่งได้รับใบอนุญาตให้มีและใช้ตามกฎหมาย ก็มิใช่ข้อแตกต่างกันในข้อสาระสำคัญ เพราะองค์ประกอบความผิดนี้อยู่ที่ว่า จำเลยมีอาวุธปืนดังกล่าวไว้ในครอบครองโดยไม่ได้รับใบอนุญาตหรือไม่ ซึ่งจำเลยก็ให้การรับสารภาพว่ามีอาวุธปืนที่เป็นของผู้อื่นซึ่งได้รับ ใบอนุญาตให้มีและใช้ตามกฎหมายไว้ในครอบครองโดยไม่ได้รับใบอนุญาตจริง ศาลจึงมีอำนาจลงโทษจำเลยใน ความผิดฐานนี้ซึ่งมีอัตราโทษเบากว่าความผิดตามฟ้องได้ ไม่เป็นการพิพากษาเกินคำขอตาม ป.วิ.อ. มาตรา 192 วรรคหนึ่ง
จำเลยมีเมทแอมเฟตามีนของกลางไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่าย แต่เงินของกลางที่โจทก์มีคำขอให้ริบ ไม่ใช่เครื่องมือ เครื่องใช้ ยานพาหนะหรือวัตถุอื่นซึ่งได้ใช้ในการกระทำความผิดเกี่ยวกับยาเสพติดให้โทษตาม พ.ร.บ. ยาเสพติดให้โทษ พ.ศ. 2522 มาตรา 102 และไม่ใช่ทรัพย์สินที่กฎหมายบัญญัติว่าผู้ใดทำหรือมีไว้เป็นความผิดหรือได้มาโดยกระทำความผิดในคดีที่โจทก์ฟ้องตาม ป.อ. มาตรา 32, 33 (2) ศาลจึงไม่อาจริบเงินของกลางได้ และเห็นสมควรคืนให้แก่เจ้าของ
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 874/2544
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
กฎหมายยกเลิกแล้ว ศาลไม่สามารถใช้ลงโทษจำเลยได้ แม้โจทก์อ้าง
ความผิดฐานประกอบโรคศิลปะสาขาเวชกรรมโดยฝ่าฝืนกฎหมาย ตามพระราชบัญญัติควบคุมการประกอบโรคศิลปะ พ.ศ. 2479 มาตรา 11 มีบัญญัติไว้แล้วในพระราชบัญญัติวิชาชีพเวชกรรม พ.ศ. 2511 มาตรา 21 จึงถือว่าความผิดตามพระราชบัญญัติควบคุมการประกอบโรคศิลปะพ.ศ. 2479 ในส่วนที่เกี่ยวกับสาขาเวชกรรมถูกยกเลิกแล้วโดยพระราชบัญญัติวิชาชีพเวชกรรม พ.ศ. 2511 การที่โจทก์อ้างกฎหมายที่ถูกยกเลิกแล้วมาขอให้ลงโทษจำเลย มีผลเท่ากับโจทก์ไม่ได้อ้างกฎหมายอันใดมาเลย ไม่ใช่เรื่องอ้างบทกฎหมายผิด ศาลจะพิพากษาว่าจำเลยมีความผิดตามพระราชบัญญัติควบคุมการประกอบโรคศิลปะ พ.ศ. 2479 ไม่ได้
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 874/2544 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
กฎหมายยกเลิกแล้วไม่อาจใช้ลงโทษจำเลยได้ แม้โจทก์อ้างถึง
ความผิดฐานประกอบโรคศิลปะ สาขาเวชกรรมโดยฝ่าฝืนต่อกฎหมายตาม พ.ร.บ. ควบคุมการประกอบโรคศิลปะ พ.ศ. 2479 มาตรา 11 มีบัญญัติไว้แล้วใน พ.ร.บ. วิชาชีพเวชกรรม พ.ศ. 2511 มาตรา 21 จึงถือว่าความผิดตาม พ.ร.บ. ควบคุมการประกอบโรคศิลปะ พ.ศ. 2479 ในส่วนที่เกี่ยวกับสาขาเวชกรรมถูกยกเลิกแล้วโดย พ.ร.บ. วิชาชีพเวชกรรม พ.ศ. 2511 การที่โจทก์อ้างกฎหมายที่ถูกยกเลิกแล้วมาขอให้ลงโทษจำเลย มีผลเท่ากับโจทก์ไม่ได้อ้างกฎหมายอันใดมาเลย ไม่ใช่เรื่องอ้างบทกฎหมายผิด ศาลจะพิพากษาว่าจำเลยมีความผิดตาม พ.ร.บ. ควบคุมการประกอบโรคศิลปะ พ.ศ. 2479 ไม่ได้ ปัญหานี้เป็นปัญหาข้อกฎหมายที่เกี่ยวกับความสงบเรียบร้อย แม้ไม่มีคู่ความฝ่ายใดฎีกา ศาลฎีกาก็มีอำนาจหยิบยกขึ้นวินิจฉัยได้ตาม ป.วิ.อ. มาตรา 195 วรรคสอง ประกอบมาตรา 225