พบผลลัพธ์ทั้งหมด 2,100 รายการ
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4643/2540
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ความผิดกรรมเดียวผิดกฎหมายหลายบท การสืบพยานและการสอบถามคำให้การจำเลย
แม้ตามคำฟ้องโจทก์ได้แยกกระทงเรียงเป็นลำดับว่าเป็นการกระทำความผิดหลายกรรม กล่าวคือ ข้อแรก จำเลยทั้งห้าร่วมกันทำไม้มะค่าโมง ซึ่งเป็นไม้หวงห้ามประเภท ก.ในเขตป่าขุนซ่องโดยใช้เลื่อยโซ่ยนต์ตัดฟันเป็นท่อน ๆ รวม2 ท่อน วัดปริมาตรได้ 3.48 ลูกบาศก์เมตร โดยไม่ได้รับอนุญาตจากพนักงานเจ้าหน้าที่ ฯลฯ ข้อสอง จำเลยทั้งห้าร่วมกันบุกรุกเข้าไปยึดถือครอบครองที่ดินบุกรุกเข้าไปทำไม้ ภายในเขตป่าสงวนแห่งชาติอันเป็นการกระทำให้เกิดการเสื่อมเสียแก่สภาพป่าสงวนแห่งชาติ เข้าไปทำไม้มะค่าโมงจำนวน 2 ต้นทำลายต้นไม้ในป่าขุนซ่องอันเป็นเขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าโดยไม่ได้รับอนุญาต ฯลฯ ก็ตาม แต่การที่โจทก์บรรยายฟ้องเกี่ยวกับวันเวลาในการกระทำผิดว่า จำเลยทั้งห้ากระทำผิดในวันที่24 กุมภาพันธ์ 2538 เวลากลางวัน โดยไม่ได้ระบุว่าการกระทำผิดฐานใดกระทำในวันเวลาใดให้ชัดแจ้ง การบรรยายฟ้องดังกล่าวจึงถือได้ว่าจำเลยทั้งห้ากระทำความผิดในคราวเดียวกันเป็นความผิดกรรมเดียวผิดกฎหมายหลายบท มิใช่เป็นการกระทำคนละคราวอันจะเป็นความผิดหลายกรรม โจทก์ขอให้ลงโทษจำเลยทั้งห้าฐานร่วมกันลักลอบนำเข้าเลื่อยโซ่ยนต์ของกลางอันเป็นของผลิตในต่างประเทศที่ยังมิได้ผ่านด่านศุลกากรโดยถูกต้อง เข้ามาในราชอาณาจักรโดยหลีกเลี่ยงการเสียภาษีศุลกากร หรือรับไว้ซึ่งเลื่อยโซ่ยนต์โดยจำเลยทั้งห้ารู้อยู่แล้วว่าเป็นของที่ผู้ลักลอบนำเข้าหลบหนีด่านศุลกากรเข้ามาในราชอาณาจักรโดยหลีกเลี่ยงอาการที่ต้องเสียสำหรับของนั้นอันเป็นความผิดตามพระราชบัญญัติศุลกากรพ.ศ. 2469 มาตรา 27,27 ทวิ แสดงว่าโจทก์ประสงค์ขอให้ลงโทษจำเลยทั้งห้าในข้อหาใดข้อหาหนึ่งเพียงข้อหาเดียวเพราะความผิดดังกล่าวเป็นความผิดคนละฐาน ดังนี้ ศาลจะลงโทษจำเลยทั้งห้าในทั้งสองฐานความผิดย่อมไม่ได้ เมื่อจำเลยทั้งห้าให้การรับสารภาพตามฟ้อง ย่อมไม่ชัดเจนพอที่จะชี้ขาดว่าจำเลยทั้งห้าได้กระทำผิดฐานใด จึงเป็นหน้าที่ของโจทก์จะต้องสืบพยานให้ได้ความถึงการกระทำผิดของจำเลยทั้งห้า เมื่อโจทก์ไม่สืบพยานจึงลงโทษจำเลยทั้งห้าไม่ได้ และหากโจทก์เห็นว่าคำให้การของจำเลยที่ศาลจดไว้ไม่ชัดแจ้งโจทก์ก็ชอบที่จะคัดค้านหรือแถลงขอสืบพยานต่อไป เพราะเป็นหน้าที่ของโจทก์ที่จะต้องสืบพยานให้ได้ความถึงการกระทำผิดของจำเลย คดีจึงไม่มีเหตุที่จะย้อนสำนวนไปให้ศาลชั้นต้นดำเนินกระบวนพิจารณาสอบถามคำให้การของจำเลยทั้งห้าใหม่
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3595/2540
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การริบของกลางต้องมีคำขอท้ายฟ้องชัดเจน แม้เป็นทรัพย์ที่กฎหมายบัญญัติให้ริบได้ ศาลก็ไม่อาจริบได้หากไม่มีคำขอ
แม้โจทก์จะได้บรรยายฟ้องและระบุอ้างความผิดตามพระราชบัญญัติป่าไม้พ.ศ. 2484 มาตรา 74 ทวิ มาท้ายฟ้องด้วยก็ตาม แต่ในส่วนคำขอท้ายฟ้องนั้น โจทก์ระบุไว้เพียงว่าขอให้ริบเฉพาะไม้แปรรูปของกลาง โจทก์หาได้ขอให้ริบเครื่องมือเครื่องใช้ในการแปรรูปไม้ของกลางทั้งหมดมาโดยชัดแจ้งไม่ ดังนั้น ศาลจึงริบได้เฉพาะไม้แปรรูปของกลางตามคำขอท้ายฟ้องเท่านั้น ส่วนของกลางอื่นนอกจากนี้ศาลไม่อาจริบได้เพราะจะเกินคำขอ ต้องห้ามตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 192วรรคหนึ่ง
แม้เครื่องมือเครื่องใช้ในการกระทำความผิดตามพระราชบัญญัติป่าไม้พ.ศ. 2484 มาตรา 74 ทวิ จะเป็นทรัพย์ที่กฎหมายบัญญัติให้ริบโดยเด็ดขาด แต่โจทก์ก็ต้องมีคำขอให้ริบมาด้วย มิฉะนั้นศาลก็ไม่อาจสั่งให้ริบของกลางได้ เพราะจะเป็นการพิพากษาเกินคำขอขัดต่อประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 192วรรคหนึ่ง
แม้เครื่องมือเครื่องใช้ในการกระทำความผิดตามพระราชบัญญัติป่าไม้พ.ศ. 2484 มาตรา 74 ทวิ จะเป็นทรัพย์ที่กฎหมายบัญญัติให้ริบโดยเด็ดขาด แต่โจทก์ก็ต้องมีคำขอให้ริบมาด้วย มิฉะนั้นศาลก็ไม่อาจสั่งให้ริบของกลางได้ เพราะจะเป็นการพิพากษาเกินคำขอขัดต่อประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 192วรรคหนึ่ง
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2941/2540
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การบุกรุกเคหสถาน: เหตุอันสมควรและการพิสูจน์เจตนา การจำกัดขอบเขตการพิจารณาตามฟ้อง
จำเลยทั้งสองมายืนที่หน้าบ้านผู้เสียหายทั้งสอง ห่างบันไดขึ้นบ้านประมาณ1 วา แล้วจำเลยที่ 1 ร้องบอก ว. น้องผู้เสียหายที่ 2 ซึ่งอยู่บนบ้านว่า ที่ ว. ยืมเงินจำเลยที่ 1 มาและให้เด็กนำเงินไปคืนนั้นยังขาดอยู่ 100 บาท ว. ให้ผู้เสียหายที่ 2ลงไปพูดกับจำเลยที่ 1 แม้จะเป็นเวลา 19 นาฬิกาเศษ แต่ผู้เสียหายที่ 2 กำลังคิดเงินให้ลูกจ้างตัดอ้อยอยู่ จำเลยทั้งสองก็เป็นญาติกับผู้เสียหายที่ 2 ด้วย จำเลยทั้งสองไม่ได้ขึ้นไปบนบ้าน ไม่มีเจตนาจะมาตบตีผู้เสียหายที่ 2 ถือได้ว่าเป็นการเข้าไปโดยมีเหตุผลอันสมควร การที่ผู้เสียหายที่ 2 ลงจากบ้านไปพูดกับจำเลยที่ 1 แล้วเกิดโต้เถียงกันจนเกิดตบตีกันขึ้น เป็นเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นภายหลัง จำเลยทั้งสองไม่มีความผิดฐานบุกรุก
ข้อเท็จจริงที่ว่าหลังจากจำเลยทั้งสองทำร้ายผู้เสียหายที่ 2 แล้ว ผู้เสียหายที่ 1บอกจำเลยทั้งสองให้ออกไป แต่จำเลยทั้งสองไม่ออกไปกลับด่าผู้เสียหายที่ 1 และทำร้ายผู้เสียหายที่ 2 อีกนั้น โจทก์มิได้บรรยายฟ้องไว้ จึงไม่ใช่เป็นเรื่องที่โจทก์ประสงค์ให้ลงโทษศาลไม่อาจนำข้อเท็จจริงดังกล่าวมาลงโทษจำเลยทั้งสองได้ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 192 วรรคสี่
ข้อเท็จจริงที่ว่าหลังจากจำเลยทั้งสองทำร้ายผู้เสียหายที่ 2 แล้ว ผู้เสียหายที่ 1บอกจำเลยทั้งสองให้ออกไป แต่จำเลยทั้งสองไม่ออกไปกลับด่าผู้เสียหายที่ 1 และทำร้ายผู้เสียหายที่ 2 อีกนั้น โจทก์มิได้บรรยายฟ้องไว้ จึงไม่ใช่เป็นเรื่องที่โจทก์ประสงค์ให้ลงโทษศาลไม่อาจนำข้อเท็จจริงดังกล่าวมาลงโทษจำเลยทั้งสองได้ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 192 วรรคสี่
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2417/2540
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ความผิดพยายามกระทำชำเราเด็กหญิง: การพิจารณาเจตนาและผลการกระทำ
ตามพฤติการณ์ที่จำเลยกระทำมาตั้งแต่เริ่มแรกโดยจำเลยถอดกางเกงของตนและกางเกงในของโจทก์ทั้งสองออกแล้วจำเลยจับโจทก์ทั้งสองขยับขึ้นลงในขณะที่อวัยวะเพศของจำเลยแข็งตัวย่อมแสดงให้เห็นถึงเจตนาของจำเลยมาตั้งแต่เริ่มต้นว่าจะกระทำชำเราโจทก์ทั้งสองหาใช่มีเจตนากระทำอนาจารเพียงอย่างเดียวไม่แต่เนื่องจากขนาดของอวัยวะเพศของจำเลยและโจทก์ทั้งสองประกอบกับลักษณะการกระทำชำเราของจำเลยต่อโจทก์ทั้งสองอวัยวะเพศของจำเลยคงทิ่มแทงถูกบริเวณภายนอกของอวัยวะเพศของโจทก์ทั้งสองเท่านั้นการลงมือกระทำชำเราของจำเลยต่อโจทก์ทั้งสองจึงไม่บรรลุผลจำเลยจึงมีความผิดฐานพยายามกระทำชำเราโจทก์ทั้งสอง โจทก์ทั้งสองฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา277วรรคแรกอันเป็นความผิดเกี่ยวกับการกระทำต่อเด็กหญิงอายุยังไม่เกิน15ปีการที่ศาลอุทธรณ์พิพากษาลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา277วรรคสองซึ่งเป็นความผิดเกี่ยวกับการกระทำต่อเด็กหญิงอายุไม่เกิน13ปีที่มีโทษหนักกว่าย่อมไม่ชอบเพราะเกินคำขอแม้จะเป็นความผิดฐานพยายามก็ตามคงลงโทษจำเลยได้ตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา277วรรคแรกเท่านั้น
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 874/2540 เวอร์ชัน 3 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การลงโทษจำเลยเกินเลยคำฟ้องเดิม และสิทธิในการฎีกา
คดีนี้โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยทั้งห้าตาม ป.อ.มาตรา 290ซึ่งถือว่าเป็นคำฟ้องของโจทก์ร่วมด้วย โดยไม่ได้บรรยายมาในคำฟ้องเลยว่าผู้ตายได้รับอันตรายสาหัส และทางพิจารณาก็ไม่ได้ความดังกล่าว ดังนั้น ที่โจทก์ร่วมฎีกาขอให้ลงโทษจำเลยทั้งห้าตาม ป.อ. มาตรา 297 จึงเป็นการฎีกาในข้อหาที่โจทก์ไม่ได้กล่าวมาในฟ้อง ทั้งเป็นเรื่องที่โจทก์ไม่ได้ประสงค์ให้ลงโทษ ศาลจะลงโทษจำเลยทั้งห้าในข้อหาดังกล่าวไม่ได้ ต้องห้ามตาม ป.วิ.อ.มาตรา 192 วรรคสี่ที่ศาลชั้นต้นพิพากษาลงโทษจำเลยที่ 1 และที่ 2 ตามมาตรา 297 เป็นการเกินคำขอหรือมิได้กล่าวในฟ้อง โจทก์ร่วมจึงไม่มีสิทธิฎีกา
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 874/2540
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การทำร้ายร่างกายจนถึงแก่ความตาย ศาลฎีกาพิจารณาข้อหาเกินคำฟ้องและเหตุรอการลงโทษ
คดีนี้โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยทั้งห้าตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา290ซึ่งถือว่าเป็นคำฟ้องของโจทก์ร่วมด้วยโดยไม่ได้บรรยายมาในคำฟ้องเลยว่าผู้ตายได้รับอันตรายสาหัสและทางพิจารณาก็ไม่ได้ความดังกล่าวดังนั้นที่โจทก์ร่วมฎีกาขอให้ลงโทษจำเลยทั้งห้าตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา297จึงเป็นการฎีกาในข้อหาที่โจทก์ไม่ได้กล่าวมาในฟ้องทั้งเป็นเรื่องที่โจทก์ไม่ได้ประสงค์ให้ลงโทษศาลจะลงโทษจำเลยทั้งห้าในข้อหาดังกล่าวไม่ได้ต้องห้ามตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญามาตรา192วรรคสี่ที่ศาลชั้นต้นพิพากษาลงโทษจำเลยที่1และที่2ตามมาตรา297เป็นการเกินคำขอหรือมิได้กล่าวในฟ้องโจทก์ร่วมจึงไม่มีสิทธิฎีกา
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 696/2540
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ความผิดฐานมีอาวุธปืนและพาอาวุธปืนในทางสาธารณะเป็นคนละกรรมกัน ศาลมีอำนาจริบของกลาง
จำเลยมีเจตนาที่จะมีอาวุธปืนไว้ในครอบครองมีความผิดมาตั้งแต่เริ่มครอบครองเป็นกรรมหนึ่งและมีเจตนาที่จะพกอาวุธปืนดังกล่าวติดตัวไปในทางสาธารณะโดยผิดกฎหมายก็เป็นความผิดอีกกรรมหนึ่งจึงเป็นความผิดสองกรรม อาวุธปืนซึ่งไม่มีเครื่องหมายของเจ้าพนักงานประทับและเครื่องกระสุนปืนของกลางเป็นทรัพย์สินที่มีไว้เป็นความผิดต้องริบตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา32แม้โจทก์ไม่ได้อุทธรณ์ฎีกาในปัญหาเรื่องของกลางก็ตามแต่เมื่อโจทก์มีคำขอให้ริบของกลางมาแล้วทั้งมิใช่กรณีเพิ่มเติมโทษจำเลยก็ชอบที่จะวินิจฉัยในเรื่องของกลางด้วยศาลฎีกาจึงพิพากษาให้ริบของกลาง
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 548/2540 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การลงโทษจำเลยต้องสอดคล้องกับข้อเท็จจริงที่ศาลรับฟัง หากข้อเท็จจริงในฟ้องไม่สอดคล้องกับข้อเท็จจริงที่พิสูจน์ได้ ศาลไม่อาจลงโทษได้
โจทก์บรรยายฟ้องข้อ ก.ว่า จำเลยมีกัญชา 3 ถุงไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่าย และบรรยายฟ้องข้อ ข.ว่า จำเลยจำหน่ายกัญชาจำนวนและน้ำหนักไม่ปรากฏชัดอันเป็นส่วนหนึ่งของกัญชาที่จำเลยมีไว้เพื่อจำหน่ายดังกล่าวในฟ้องข้อ ก.ให้แก่ผู้มีชื่อโดยไม่ได้รับอนุญาต เมื่อตามฟ้องดังกล่าวโจทก์ประสงค์ให้ลงโทษจำเลยฐานจำหน่ายกัญชาอันเป็นส่วนหนึ่งของกัญชา 3 ถุง ตามฟ้องข้อ ก.ซึ่งยึดได้ที่บ้านจำเลยเท่านั้น แต่ข้อเท็จจริงที่ปรากฏในการพิจารณากลับได้ความว่ากัญชาที่จำเลยจำหน่ายไปตามฟ้องข้อ ข.เป็นกัญชาคนละจำนวนกับกัญชา 3 ถุงที่ยึดได้ที่บ้านจำเลย ดังนี้เมื่อข้อเท็จจริงในทางพิจารณาแตกต่างจากที่กล่าวในฟ้องจึงลงโทษจำเลยไม่ได้ตาม ป.วิ.อ.มาตรา 192
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 548/2540
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การจำหน่ายยาเสพติดต่างกรรมต่างวาระ โจทก์ต้องพิสูจน์ให้ได้ว่ากัญชาที่จำหน่ายคือส่วนหนึ่งของกัญชาที่ครอบครอง
โจทก์บรรยายฟ้องข้อ ก. ว่า จำเลยมีกัญชา 3 ถุงไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่าย และบรรยายฟ้องข้อ ข. ว่า จำเลยจำหน่ายกัญชาจำนวนและน้ำหนักไม่ปรากฏชัดอันเป็นส่วนหนึ่งของกัญชาที่จำเลยมีไว้เพื่อจำหน่ายดังกล่าวในฟ้องข้อ ก.ให้แก่ผู้มีชื่อโดยไม่ได้รับอนุญาต เมื่อตามฟ้องดังกล่าวโจทก์ประสงค์ให้ลงโทษจำเลยฐานจำหน่ายกัญชาอันเป็นส่วนหนึ่งของกัญชา 3 ถุง ตามฟ้องข้อ ก. ซึ่งยึดได้ที่บ้านจำเลยเท่านั้นแต่ข้อเท็จจริงที่ปรากฏในการพิจารณากลับได้ความว่ากัญชาที่ จำเลยจำหน่ายไปตามฟ้องข้อ ข. เป็นกัญชาคนละจำนวนกับกัญชา 3 ถุง ที่ยึดได้ที่บ้านจำเลย ดังนี้เมื่อข้อเท็จจริงในทางพิจารณาแตกต่างจากที่กล่าวในฟ้องจึงลงโทษจำเลยไม่ได้ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 192
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 9884/2539
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การหมิ่นประมาททางหนังสือพิมพ์: เจตนาใส่ความ, ความเป็นจริง, และขอบเขตความรับผิดของบรรณาธิการ/ผู้พิมพ์
หนังสือพิมพ์ที่จำเลยเป็นบรรณาธิการลงข้อความในข่าวหน้า 3 ย่อหน้าแรก พูดถึงเรื่องข้าราชการรัฐสภาล่าลายเซ็นส.ส. เพื่อให้แปรญัตติงบประมาณจัดซื้อสินค้า เพื่อหวังค่านายหน้าจากผู้ขายสินค้า ในย่อหน้าที่สอง พูดถึงเรื่องข้าราชการของรัฐสภาผู้นี้เป็นนายหน้าจัดหาผู้หญิงให้แก่ ส.ส. ซึ่งกรณีนี้ข้าราชการหญิงผู้นี้เคยถูกตั้งคณะกรรมการสอบสวนมาแล้ว เมื่อพิจารณาประกอบการพาดหัวข่าวที่ว่า ลากไส้อีโม่ง กินงบ ค้ากามกลางสภาจะเห็นได้ว่าเป็นการพูดกล่าวหาโจทก์คนละเรื่องคนละตอนกัน สำหรับข้อความ ในตอนที่สองทำให้เข้าใจว่า โจทก์เป็นนายหน้าจัดหาเด็กผู้หญิงมาให้ ส.ส. ซึ่งได้มีการสอบสวนลงโทษโจทก์มานานแล้วก่อนที่จำเลยจะนำมาลงเป็นข่าว การลงข่าวดังกล่าว ทำให้โจทก์เสียชื่อเสียง ถูกดูหมิ่นหรือถูกเกลียดชังอันเป็นความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 328 และเป็นเรื่องส่วนตัวไม่ใช่เป็นเรื่องที่ลงข่าวเพื่อรักษาผลประโยชน์ของรัฐและประชาชน ตามคำฟ้องของโจทก์ขอให้ลงโทษจำเลยตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 326 และ 328 เท่านั้น ไม่มีข้อความตอนใดที่ มุ่งประสงค์จะให้จำเลยต้องรับผิดในฐานะบรรณาธิการหรือผู้พิมพ์ ตามมาตรา 48 แห่งพระราชบัญญัติการพิมพ์ พ.ศ. 2484ที่โจทก์บรรยายในตอนแรกว่า จำเลยเป็นบรรณาธิการ ผู้พิมพ์ โฆษณา ก็เป็นการบอกถึงฐานะของจำเลยเท่านั้น ประกอบกับ โจทก์มิได้มีคำขอให้ลงโทษจำเลยตามบทมาตราดังกล่าวมาด้วยศาลจึงไม่อาจลงโทษจำเลยในฐานะบรรณาธิการหรือผู้พิมพ์ตามพระราชบัญญัติการพิมพ์ พ.ศ. 2484 มาตรา 48 ได้ เพราะต้องห้ามตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 192