พบผลลัพธ์ทั้งหมด 2,100 รายการ
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1178/2539
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
พยายามฆ่าจากการขว้างปาสิ่งของใส่รถยนต์ ผู้กระทำมีเจตนาทำให้เกิดอันตรายถึงแก่ชีวิต
จำเลยทั้งสามร่วมกันใช้ก้อนหินขนาดโน เท่ากำปั้นขว้างกระจกหน้ารถยนต์บรรทุกและรถยนต์โดยสารที่ผู้เสียหายทั้งสองกำลังขับอยู่คันละสองก้อนโดยไม่มีสาเหตุกันมาก่อน โดยประสงค์จะให้ผู้เสียหายทั้งสองเสียหลักในการขับรถและอาจขับรถยนต์พลิกคว่ำลงข้างทางหรือถูกรถยนต์คันอื่นที่ตามมาชนจนพลิกคว่ำหรือตกข้างทางซึ่งเมื่อเกิดเหตุดังกล่าวขึ้นแล้วย่อมเล็งเห็นผลได้ว่าผู้เสียหายทั้งสองหรือผู้โดยสารในรถยนต์โดยสารอาจได้รับบาดเจ็บและถึงแก่ความตายได้ จำเลยทั้งสามจึงมีเจตนาฆ่าผู้เสียหายทั้งสองและผู้อื่น เมื่อไม่ถึงแก่ความตายจึงเป็นความผิดฐานพยายามฆ่า โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยทั้งสามตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 288,80,83,358 แม้ตามฟ้องมิได้ขอให้ลงโทษจำเลยเรียงกระทงความผิดหรือมิได้อ้างมาตรา 91 มาในคำขอท้ายฟ้องก็ตาม เมื่อตามฟ้องโจทก์บรรยายแล้วว่าจำเลยทั้งสามกระทำผิดหลายกรรมและข้อเท็จจริงฟังได้ว่าจำเลยทั้งสามได้กระทำการอันเป็นความผิดหลายกรรมต่างกัน ศาลก็มีอำนาจลงโทษจำเลยทั้งสามทุกกรรมเป็นกระทงความผิดตามมาตรา 91 ได้
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1173/2539 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
แจ้งความเท็จ-เจ้าพนักงานปฏิบัติหน้าที่มิชอบ: ข้อเท็จจริงต้องสอดคล้องและสถานะต้องเป็นเจ้าพนักงานจริง
ข้อความที่จำเลยที่3แจ้งความร้องทุกข์ต่อพนักงานสอบสวนตรงกับสภาพที่จำเลยที่2ไปพบเห็นมาจึงเป็นเรื่องที่จำเลยที่3แจ้งข้อความตรงตามข้อเท็จจริงที่ปรากฎส่วนการกระทำของโจทก์จะเป็นความผิดต่อกฎหมายตามที่จำเลยที่3แจ้งหรือไม่ไม่สำคัญเพราะการแจ้งข้อความหมายถึงแจ้งข้อเท็จจริงไม่เกี่ยวกับข้อกฎหมายจึงไม่ผิดฐานแจ้งความเท็จ พนักงานของสำนักงานตลาดกรุงเทพมหานครได้รับเงินเดือนจากงบประมาณรายจ่ายของการพาณิชย์ของกรุงเทพมหานครตามข้อบัญญัติกรุงเทพมหานครไม่ได้รับเงินเดือนจากงบประมาณหมวดเงินเดือนของกรุงเทพมหานครถือไม่ได้ว่ามีฐานะเป็นข้าราชการจึงไม่เป็นเจ้าพนักงานตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา157 ศาลจะมีอำนาจลงโทษจำเลยในฐานความผิดหรือบทมาตราที่ถูกต้องตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญามาตรา192วรรคห้าได้นั้นต้องเป็นกรณีที่ข้อเท็จจริงตามฟ้องนั้นโจทก์สืบสมฟังได้ว่าจำเลยได้กระทำความผิดตามที่กล่าวในฟ้องจริงเพียงแต่โจทก์อ้างฐานความผิดหรือบทมาตราผิดไปเท่านั้นทั้งจะต้องมิใช่เป็นเรื่องที่โจทก์อ้างตัวบทกฎหมายผิดเป็นคนละฉบับไปด้วย
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 738/2539 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การพิพากษาเกินคำขอในความผิดฐานพยายามทำร้าย และขอบเขตการลงโทษนอกเหนือจากคำฟ้อง
โจทก์ฟ้องว่า จำเลยทั้งสองร่วมกันใช้มีดปลายแหลมรุมฟันแทงผู้เสียหายถูกที่บริเวณศีรษะ ไหล่ และหลังโดยเจตนาฆ่า เมื่อศาลอุทธรณ์วินิจฉัยแล้วว่า จำเลยที่ 1ไม่ได้กระทำผิดฐานพยายามฆ่า การที่ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยต่อไปว่าจำเลยที่ 1 ถืออาวุธมีดไล่ตามผู้เสียหายหลังจากผู้เสียหายวิ่งหลบหนีจากที่เกิดเหตุการกระทำของจำเลยที่ 1 ใกล้ชิดต่อผลแห่งการทำร้าย ถือว่าเป็นการลงมือกระทำความผิดแล้วแต่กระทำไปไม่ตลอด มีความผิดฐานพยายามทำร้ายร่างกายอันเป็นเหตุการณ์คนละตอนกับความผิดตามที่โจทก์ฟ้องเป็นการพิพากษาเกินคำขอหรือที่มิได้กล่าวในคำฟ้อง ต้องห้ามตาม ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 192 วรรคแรก และโจทก์จะฎีกาว่าการกระทำส่วนนี้เป็นความผิดฐานพยายามฆ่าก็ไม่ได้ เพราะเป็นฎีกาที่ขอให้ลงโทษจำเลยที่ 1นอกเหนือไปจากคำฟ้องของโจทก์
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 738/2539
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การพิพากษาเกินคำขอในความผิดพยายามฆ่า/ทำร้าย ศาลฎีกาชี้ว่าการไล่ตามหลังถูกทำร้ายเป็นเหตุการณ์คนละตอน
กรณีตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญามาตรา192วรรคท้ายต้องเป็นเรื่องความผิดตามที่ฟ้องนั้นรวมการกระทำหลายอย่างแต่ละอย่างอาจเป็นความผิดได้อยู่ในตัวเองศาลลงโทษจำเลยในการกระทำผิดอย่างหนึ่งอย่างใดตามที่พิจารณาได้ความก็ได้คดีนี้โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยฐานพยายามฆ่าศาลอุทธรณ์ภาค3ได้วินิจฉัยในตอนแรกว่าข้อเท็จจริงฟังไม่ได้ว่าจำเลยที่1กระทำผิดฐานพยายามฆ่าแม้หลังจากผู้เสียหายถูกตีที่ศีรษะและถูกแทงที่ไหล่และหลังแล้วผู้เสียหายได้วิ่งออกจากที่เกิดเหตุจำเลยที่1ถือมีดวิ่งไล่ตามผู้เสียหายไปก็เป็นเหตุการณ์คนละตอนกับความผิดตามที่โจทก์ฟ้องดังนั้นข้อที่ศาลอุทธรณ์ภาค3วินิจฉัยว่าจำเลยที่1มีความผิดฐานพยายามทำร้ายจึงเป็นการ พิพากษาเกินคำขอหรือมิได้กล่าวในคำฟ้องต้องห้ามตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญามาตรา192วรรคแรก
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 7188/2538 เวอร์ชัน 3 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
อำนาจแต่งตั้งสมุห์บัญชีสุขาภิบาล และความผิดฐานยักยอกทรัพย์
การแต่งตั้งเสมียนตราอำเภอหรือกิ่งอำเภอที่มีสุขาภิบาลให้เป็นสมุห์บัญชีสุขาภิบาลนั้น จะต้องเป็นเรื่องเสนอให้ผู้ว่าราชการจังหวัดแต่งตั้งนายอำเภอแม้จะเป็นกรรมการสุขาภิบาลอยู่ด้วย ก็ไม่มีอำนาจที่จะแต่งตั้งเสมียนตราอำเภอให้เป็นสมุห์บัญชีสุขาภิบาลได้ด้วยตนเอง ดังนั้นการที่ ป.นายอำเภอพรหมพิรามสั่งให้จำเลยไปปฏิบัติหน้าที่สมุห์บัญชีสุขาภิบาลจึงเป็นคำสั่งที่ไม่ชอบ จำเลยไม่มีฐานะเป็นพนักงานของสุขาภิบาลและไม่เป็นเจ้าพนักงานตามกฎหมาย จึงลงโทษจำเลยตาม ป.อ. มาตรา 147 และ 157 ไม่ได้ แต่อาศัยอำนาจตามความใน ป.วิ.อ.มาตรา 192 ศาลย่อมมีอำนาจวินิจฉัยได้ว่าจำเลยได้กระทำความผิดฐานยักยอกทรัพย์ของสุขาภิบาลตาม ป.อ. มาตรา 352 หรือไม่
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 7083/2538 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
วัตถุออกฤทธิ์ปลอม: โจทก์ฟ้องไม่ชัดเจน, ยาผสมไม่เข้าข่าย, จำเลยไม่มีเจตนา
จำเลยมียาไว้ในครอบครองเพื่อขายที่กล่องบรรจุ ระบุว่ามีส่วนผสมของเฟเนทิลลีนซึ่งเป็นวัตถุออกฤทธิ์ในประเภท2แต่ที่จริงมีสารเพโมลีน ซึ่งเป็นวัตถุออกฤทธิ์ในประเภท2แต่ตามพระราชบัญญัติวัตถุที่ออกฤทธิ์ต่อจิตและประสาทพ.ศ.2518มาตรา37กำหนดให้วัตถุที่ออกฤทธิ์ที่แสดงชื่อว่าเป็นวัตถุออกฤทธิ์อื่นเป็นวัตถุออกฤทธิ์ปลอมเมื่อกล่องบรรจุยาระบุว่ามีส่วนผสมของสารเฟเนทิลลีน กลับมีสารเพโมลีนผสมอยู่ไม่ตรงกับชื่อวัตถุออกฤทธิ์ที่ระบุไว้ที่กล่องบรรจุยาจึงถือได้ว่าเป็นวัตถุออกฤทธิ์ปลอมแต่จำเลยไม่ทราบว่าเป็นวัตถุออกฤทธิ์ปลอมจึงเป็นความผิดฐานมีวัตถุออกฤทธิ์ปลอมไว้ในครอบครองเพื่อขายโดยไม่รู้ว่าเป็นวัตถุออกฤทธิ์ปลอมตามมาตรา36(1,98วรรคสามประกอบมาตรา4 โจทก์บรรยายฟ้องเพียงว่าจำเลยมีเพโมลีนอันเป็นวัตถุออกฤทธิ์ประเภท2ไว้ในครอบครองเพื่อขายแสดงว่าโจทก์ประสงค์ให้ลงโทษจำเลยฐานมีวัตถุออกฤทธิ์ประเภท2ไว้ในครอบครองเพื่อขายเท่านั้นโจทก์ไม่ได้ประสงค์ให้ลงโทษจำเลยฐานมีวัตถุออกฤทธิ์ปลอมไว้ในครอบครองเพื่อขายโดยไม่รู้ว่าเป็นวัตถุออกฤทธิ์ปลอมตามที่พิจารณาได้ความจึงลงโทษจำเลยไม่ได้ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญามาตรา192วรรคสี่ จำเลยมียาไว้ในครอบครองเพื่อขายที่กล่องบรรจุยาระบุว่ามีส่วนผสมของเฟเนทิลลีน ซึ่งเป็นวัตถุออกฤทธิ์ในประเภท2แต่ที่จริงมีสารอีเฟดรีนและสารธีโอฟิลลีนผสมอยู่แต่สารธีโอฟิลลีนเป็นตัวยาไม่ใช่วัตถุออกฤทธิ์ส่วนสารอีเฟดรีนเป็นวัตถุออกฤทธิ์ได้ต่อเมื่อไม่ได้ผสมกับตัวยาชนิดอื่นเมื่อสารอีเฟดรีนผสมกับตัวยาชนิดอื่นแล้วจะไม่เป็นวัตถุออกฤทธิ์แต่จะมีสภาพเป็นยาซึ่งนอกเหนือการควบคุมตามพระราชบัญญัติวัตถุที่ออกฤทธิ์ต่อจิตและประสาทพ.ศ.2518และตามประกาศกระทรวงสาธารณสุขฉบับที่51(พ.ศ.2531)ข้อ4(5)แก้ไขเพิ่มเติมโดยประกาศกระทรวงสาธารณสุขฉบับที่71(พ.ศ.2534)ระบุว่าอีเฟดรีนเป็นวัตถุออกฤทธิ์ประเภท3เฉพาะวัตถุตำรับเดียวเมื่อยาดังกล่าวมีสารอีเฟดรีนและสารธีโอฟิลลีนผสมอยู่จึงเป็นยาเท่านั้นไม่ใช่วัตถุออกฤทธิ์ปลอมการที่จำเลยมีไว้เพื่อขายจึงไม่เป็นความผิด
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 6927/2538 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ความชัดเจนของฟ้องยาเสพติด: เฮโรอีนไฮโดรคลอไรด์และเฮโรอีนเป็นยาเสพติดชนิดเดียวกัน ฟ้องไม่คลุมเครือ
โจทก์บรรยายฟ้องว่าจำเลยมีและจำหน่ายเฮโรอีนไฮโดรคลอไรด์ซึ่งเป็นเกลือของเฮโรอีน แม้คำขอท้ายฟ้องกลับขอให้ริบเฮโรอีนซึ่งเป็นคนละชนิดกัน แต่เมื่อตาม ประกาศของกระทรวงสาธารณสุข ฉบับที่ 2(พ.ศ. 2522)เรื่องระบุชื่อและประเภทยาเสพติดให้โจทก์ ตามพระราชบัญญัติยาเสพติดให้โทษ พ.ศ. 2522 เฮโรอีนหมายรวมถึงเกลือใด ๆของเฮโรอีนด้วย เฮโรอีนคลอไรด์ซึ่งเป็นเกลือของเฮโรอีนก็คือเฮโรอีนและเป็นยาเสพติดให้โทษชนิดเดียวกัน ฟ้องโจทก์จึงไม่เคลือบคลุม โจทก์ฟ้องว่าจำเลยมีและจำหน่ายเฮโรอีนไฮโดรคลอไรด์ซึ่งเป็นเกลือของเฮโรอีน แม้ทางพิจารณาโจทก์นำสืบว่าจำเลยมี และจำหน่ายเฮโรอีน แต่เมื่อเฮโรอีนหมายรวมถึงเฮโรอีนไฮโดรคลอไรด์ซึ่งเป็นเกลือของเฮโรอีนด้วยเฮโรอีนและเฮโรอีนไฮโดรคลอไรด์จึงเป็นยาเสพติดให้โทษชนิดเดียวกันมิได้แตกต่างกันในข้อสาระสำคัญทั้งจำเลยมิได้หลงต่อสู้ศาลลงโทษจำเลยตามฟ้องได้
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 6927/2538
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ความชัดเจนของฟ้องคดียาเสพติด: เฮโรอีนและเฮโรอีนไฮโดรคลอไรด์เป็นยาเสพติดชนิดเดียวกัน ฟ้องไม่คลุมเครือ
โจทก์บรรยายฟ้องว่าจำเลยมีและจำหน่ายเฮโรอีนไฮโดรคลอไรด์ซึ่งเป็นเกลือของเฮโรอีนแม้คำขอท้ายฟ้องกลับขอให้ริบเฮโรอีนซึ่งเป็นคนละชนิดกันแต่เมื่อตามประกาศของกระทรวงสาธารณสุขฉบับที่2(พ.ศ.2522)เรื่องระบุชื่อและประเภทยาเสพติดให้โทษตามพระราชบัญญัติยาเสพติดให้โทษพ.ศ.2522เฮโรอีนหมายรวมถึงเกลือใดๆของเฮโรอีนด้วยเฮโรอีนไฮโดรคลอไรด์ซึ่งเป็นเกลือของเฮโรอีนก็คือเฮโรอีนและเป็นยาเสพติดให้โทษชนิดเดียวกันฟ้องโจทก์จึงไม่เคลือบคลุม โจทก์ฟ้องว่าจำเลยมีและจำหน่ายเฮโรอีนไฮโดรคลอไรด์ซึ่งเป็นเกลือของเฮโรอีนแม้ทางพิจารณาโจทก์นำสืบว่าจำเลยมีและจำหน่ายเฮโรอีนแต่เมื่อเฮโรอีนหมายรวมถึงเฮโรอีนไฮโดรคลอไรด์ซึ่งเป็นเกลือของเฮโรอีนด้วยเฮโรอีนและเฮโรอีนไฮโดรคลอไรด์จึงเป็นยาเสพติดให้โทษชนิดเดียวกันมิได้แตกต่างกันในข้อสาระสำคัญทั้งจำเลยมิได้หลงต่อสู้ศาลลงโทษจำเลยตามฟ้องได้
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 5438/2538 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การวินิจฉัยนอกประเด็นในชั้นอุทธรณ์: ศาลต้องวินิจฉัยเฉพาะประเด็นที่โต้เถียงกันเท่านั้น
ศาลชั้นต้นฟังข้อเท็จจริงว่า พยานหลักฐานโจทก์ยังฟังไม่ได้ว่าจำเลยเป็นผู้ยิงผู้ตาย ผู้ตายถูกยิงล้มก่อนที่จำเลยจะได้รับปืนจาก ข. แสดงว่าข.พวกจำเลยยิงผู้ตาย แต่จำเลยกับ ข.ร่วมกันมีสาเหตุกับผู้ตาย จำเลยจึงมีความผิดฐานร่วมกับพวกฆ่าผู้ตายตามฟ้อง โจทก์ไม่ได้อุทธรณ์คำพิพากษาของศาลชั้นต้นส่วนจำเลยอุทธรณ์คัดค้านคำพิพากษาของศาลชั้นต้นในประเด็นนี้ว่า จำเลยมิได้มีส่วนร่วมกับ ข.ในการกระทำผิดดังกล่าว ดังนั้นข้อเท็จจริงตามที่ศาลชั้นต้นฟังว่าจำเลยไม่ได้เป็นผู้ยิงผู้ตายจึงเป็นยุติ การที่ศาลอุทธรณ์นำคำให้การในชั้นสอบสวนของ ส.พยานโจทก์ที่ให้การว่า ส.เห็นจำเลยใช้อาวุธปืนยิงผู้ตายล้ม มารับฟังว่าจำเลยเป็นผู้ยิงผู้ตายนั้นจึงเป็นการวินิจฉัยนอกประเด็นที่โต้เถียงกันในชั้นอุทธรณ์เป็นการไม่ชอบ
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 5438/2538
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การวินิจฉัยนอกประเด็นอุทธรณ์และการเปลี่ยนแปลงข้อหาจากฆ่าเป็นพยายามฆ่าและพยานยามฆ่า
ศาลชั้นต้นฟังข้อเท็จจริงว่าพยานหลักฐานโจทก์ยังฟังไม่ได้ว่าจำเลยเป็นผู้ยิงผู้ตายผู้ตายถูกยิงล้มก่อนที่จำเลยจะได้รับปืนจากข. แสดงว่าข.พวกจำเลยยิงผู้ตายแต่จำเลยกับข.ร่วมกันมีสาเหตุกับผู้ตายจำเลยจึงมีความผิดฐานร่วมกับพวกฆ่าผู้ตายตามฟ้องโจทก์ไม่ได้อุทธรณ์คำพิพากษาของศาลชั้นต้นส่วนจำเลยอุทธรณ์คำคัดค้านคำพิพากษาของศาลชั้นต้นในประเด็นนี้ว่าจำเลยมิได้มีส่วนร่วมกับข. ในการกระทำผิดดังกล่าวดังนั้นข้อเท็จจริงตามที่ศาลชั้นต้นฟังว่าจำเลยไม่ได้เป็นผู้ยิงผู้ตายจึงเป็นยุติการที่ศาลอุทธรณ์นำคำให้การในชั้นสอบสวนของส.พยานโจทก์ที่ให้การว่าส. เห็นจำเลยใช้อาวุธปืนยิงผู้ตายล้มมารับฟังว่าจำเลยเป็นผู้ยิงผู้ตายนั้นจึงเป็นการวินิจฉัยนอกประเด็นที่โต้เถียงกันในชั้นอุทธรณ์เป็นการไม่ชอบ