พบผลลัพธ์ทั้งหมด 2,100 รายการ
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 740/2536 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การพรากผู้เยาว์เพื่ออนาจาร: ความสมัครใจของผู้เสียหายมีผลต่อการลงโทษ
จำเลยพรากผู้เยาว์ไปเพื่อการอนาจารโดยผู้เยาว์เต็มใจ ไปด้วยเป็นความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 319 วรรคแรก แม้โจทก์จะฟ้องว่าจำเลยพรากผู้เยาว์ โดยผู้เยาว์ไม่เต็มใจไปด้วยตามมาตรา 318 แต่เมื่อข้อเท็จจริงได้ความว่าผู้เสียหายเต็มใจไปด้วยกับจำเลยอันเป็นกรณีตามมาตรา 319 ซึ่งมีโทษเบากว่า ศาลก็ย่อม ลงโทษจำเลยตามมาตรา 319 ได้ เพราะการพรากผู้เยาว์ไปเพื่อการอนาจารจะโดยผู้เยาว์เต็มใจไปด้วยหรือไม่ก็ตามประมวลกฎหมายอาญาก็บัญญัติว่าเป็นความผิดอยู่แล้ว
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 740/2536
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
พรากผู้เยาว์เพื่อการอนาจาร แม้ผู้เยาว์เต็มใจไปด้วย ก็ยังเป็นความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา
โจทก์ฟ้องว่าจำเลยกระทำความผิดฐานพรากผู้เยาว์ไปเพื่อการอนาจารโดยผู้เยาว์ไม่เต็มใจไปด้วย ทางพิจารณาได้ความว่าผู้เยาว์เต็มใจไปด้วย ศาลก็ลงโทษจำเลยได้ เพราะการพรากผู้เยาว์ไปเพื่อการอนาจารจะโดยผู้เยาว์เต็มใจไปด้วยหรือไม่ ก็เป็นความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 723/2536 เวอร์ชัน 3 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การบรรยายฟ้องและคำขอท้ายฟ้องต้องสอดคล้องกัน หากไม่สอดคล้องกัน ศาลต้องยกฟ้องข้อหาที่โจทก์มิได้ขอให้ลงโทษ และศาลฎีกาไม่สามารถเพิ่มโทษเกินกว่าที่ศาลชั้นต้นพิพากษาได้หากไม่อุทธรณ์
ศาลชั้นต้นพิพากษาลงโทษจำเลยในความผิดฐานมีไม้ยังมิได้แปรรูปไว้ในครอบครอง ปรากฏว่าโจทก์บรรยายการกระทำผิดในข้อหานี้มาในคำฟ้อง แต่ในคำขอท้ายฟ้องโจทก์มิได้อ้างบทมาตรา 69 แห่ง พ.ร.บ.ป่าไม้ พ.ศ.2484 ซึ่งบัญญัติว่าการกระทำเช่นนั้นเป็นความผิด ฉะนั้นจะถือว่าโจทก์ได้ขอให้ลงโทษในข้อหามีไม้แปรรูปไว้ในครอบครองแล้วหาได้ไม่กรณีจึงต้องยกฟ้องข้อหานี้
ศาลชั้นต้นพิพากษาจำคุกจำเลย 1 เดือน ฐานแปรรูปไม้โดยไม่ได้รับอนุญาตเมื่อ พ.ร.บ.ป่าไม้ พ.ศ.2484 มาตรา 48, 73 วรรคสอง มีอัตราโทษจำคุกขั้นต่ำ 1 ปีที่ศาลชั้นต้นพิพากษามาจึงเป็นการลงโทษจำคุกจำเลยต่ำกว่าอัตราโทษขั้นต่ำตามที่กฎหมายกำหนดแต่โจทก์มิได้อุทธรณ์และฎีกาขอให้ลงโทษจำเลยเพิ่มขึ้น ศาลฎีกาลงโทษจำคุกจำเลยเพิ่มขึ้นไม่ได้
ศาลชั้นต้นพิพากษาจำคุกจำเลย 1 เดือน ฐานแปรรูปไม้โดยไม่ได้รับอนุญาตเมื่อ พ.ร.บ.ป่าไม้ พ.ศ.2484 มาตรา 48, 73 วรรคสอง มีอัตราโทษจำคุกขั้นต่ำ 1 ปีที่ศาลชั้นต้นพิพากษามาจึงเป็นการลงโทษจำคุกจำเลยต่ำกว่าอัตราโทษขั้นต่ำตามที่กฎหมายกำหนดแต่โจทก์มิได้อุทธรณ์และฎีกาขอให้ลงโทษจำเลยเพิ่มขึ้น ศาลฎีกาลงโทษจำคุกจำเลยเพิ่มขึ้นไม่ได้
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 723/2536
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การดำเนินคดีป่าไม้: การขอลงโทษตามบทมาตราที่มิได้ระบุในคำขอท้ายฟ้อง และการแก้ไขโทษที่ศาลชั้นต้นกำหนด
โจทก์บรรยายฟ้องว่า จำเลยมีไม้ที่ยังมิได้แปรรูปไว้ในครอบครองแต่คำขอท้ายฟ้องมิได้อ้างมาตรา 69 แห่ง พระราชบัญญัติป่าไม้พ.ศ. 2484 อันบัญญัติว่าการกระทำเช่นนั้นเป็นความผิด จึงถือว่าโจทก์ไม่ได้ขอให้ลงโทษในข้อหานั้น ศาลชั้นต้นพิพากษาจำคุกจำเลย 1 เดือน ฐานแปรรูปไม้โดยไม่ได้รับอนุญาตตามพระราชบัญญัติป่าไม้ พ.ศ. 2484 มาตรา 48,73วรรคสอง อันเป็นการลงโทษต่ำกว่าอัตราโทษที่กฎหมายกำหนดเมื่อโจทก์ไม่อุทธรณ์และฎีกาขอให้ลงโทษเพิ่มขึ้น ศาลฎีกาจึงลงโทษจำเลยเพิ่มขึ้นไม่ได้
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 663/2536
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
เจตนาประมาทเลินเล่อจากการใช้อาวุธปืน ศาลฎีกาแก้ไขโทษจากพยายามฆ่าเป็นทำร้ายร่างกายโดยประมาท
ศาลอุทธรณ์ พิพากษาลงโทษจำเลยในข้อหาพยายามฆ่า และข้อหาตามพระราชบัญญัติ อาวุธปืนฯ โดยเพียงแก้ไขระบุวรรคสำหรับความผิดตาม พระราชบัญญัติ อาวุธปืนฯ ถือว่าเป็นการแก้ไขเล็กน้อยและลงโทษจำคุกจำเลยแต่ละกระทงไม่เกินห้าปี คดีจึงต้องห้ามมิให้คู่ความฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริง ตาม ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญามาตรา 218 วรรคหนึ่ง แม้ปัญหาตามฎีกาของจำเลยว่า จำเลยพยายามฆ่าผู้เสียหายตามคำฟ้องหรือไม่ จะเป็นฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริง ซึ่งต้องห้ามมิให้ฎีกาก็ตาม แต่ถ้าศาลฎีกาเห็นว่าพยานหลักฐานในสำนวนฟังไม่ได้ว่าจำเลยพยายามฆ่าผู้เสียหาย ซึ่งมีผลให้การกระทำของจำเลยไม่เป็นความผิด ศาลฎีกาย่อมมีอำนาจหยิบยกปัญหาข้อเท็จจริงซึ่งต้องห้ามฎีกานั้นขึ้นวินิจฉัย และพิพากษายกฟ้องได้ตาม ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 185 ประกอบด้วยมาตรา 215 และ 225 โจทก์ฟ้องว่าจำเลยพยายามฆ่าผู้เสียหาย ทางพิจารณาได้ความว่าจำเลยกระทำโดยประมาทเป็นเหตุให้ผู้เสียหายได้รับอันตรายสาหัสศาลลงโทษจำเลยตามที่พิจารณาได้ความได้ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 192
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 307/2536 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การริบของกลาง แม้โจทก์มิได้อุทธรณ์ฎีกาในประเด็นดังกล่าว ศาลฎีกามีอำนาจวินิจฉัยได้หากมีคำขอริบไว้แต่แรก
ศาลล่างทั้งสองมิได้สั่งริบของกลางซึ่งเป็นทรัพย์สินที่จำเลยใช้ในการกระทำผิดและที่ได้มาโดยได้กระทำความผิด แม้โจทก์จะไม่ได้อุทธรณ์ฎีกาในปัญหาเรื่องของกลางก็ตาม แต่เมื่อโจทก์มีคำขอให้ริบของกลางมาแล้ว ทั้งมิใช่กรณีเพิ่มเติมโทษจำเลย ศาลฎีกาก็พิพากษาให้ริบของกลางได้
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 240/2536
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ประมาทเลินเล่อจากการส่งปืนให้ผู้อื่นทำให้ถึงแก่ความตาย แม้ฟ้องว่าเจตนาฆ่า ศาลลงโทษฐานประมาทได้
จำเลยส่งอาวุธเป็นซึ่งบรรจุกระสุนปืนพร้อมจะยิงได้ให้ ผู้ตายโดยหันปากกระบอกปืนไปทางผู้ตายและไม่ระมัดระวังเป็นเหตุให้ปืนลั่นขึ้นทำให้กระสุนปืนถูกผู้ตายที่กกหูถึงแก่ความตาย การกระทำของจำเลยเป็นการกระทำโดยประมาทปราศจากความระมัดระวัง จึงมีความผิดฐานกระทำโดยประมาทเป็นเหตุให้ผู้อื่นถึงแก่ความตาย โจทก์ฟ้องว่าจำเลยเจตนาฆ่าผู้ตาย ปรากฏในการพิจารณาว่าจำเลยกระทำโดยประมาทเป็นเหตุให้ผู้ตายถึงแก่ความตายแต่บทบัญญัติแห่งประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญามาตรา 192 วรรคสาม ได้บัญญัติไว้ว่า ข้อแตกต่างกันระหว่างการกระทำผิดโดยเจตนากับประมาทเป็นข้อแตกต่างกันเพียงรายละเอียด ดังนั้นศาลย่อมลงโทษจำเลยฐานกระทำโดยประมาทเป็นเหตุให้ผู้อื่นถึงแก่ความตายได้ ทั้งจำเลยก็ยอมรับว่าได้ส่งอาวุธปืนให้ผู้ตาย แล้วปืนเกิดลั่นขึ้นทำให้ผู้ตายถึงแก่ความตาย จำเลยจึงไม่ได้หลงต่อสู้
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 210/2536 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
เจตนาโจทก์ในการลงโทษฐานฝ่าฝืนกฎหมายควบคุมอาคาร แม้ไม่ได้อ้างบทลงโทษโดยตรง
โจทก์ได้บรรยายฟ้องไว้ในตอนต้นแล้วว่า จำเลยทั้งสามกระทำผิดหลายกรรมต่างกันและได้บรรยายการกระทำของจำเลยทั้งสามเกี่ยวกับการที่จำเลยทั้งสามฝ่าฝืนมาตรา 31 ประกอบด้วยมาตรา 69,70 ไว้ในคำฟ้องข้อ ก. กับได้บรรยายการกระทำของจำเลยทั้งสามที่ฝ่าฝืนมาตรา 40 วรรคหนึ่ง ประกอบมาตรา 69,70 ไว้ในคำฟ้องข้อ ข. และในคำขอท้ายฟ้องก็ได้อ้างมาตรา 40,69,70 ซึ่งเป็นบทกฎหมายที่บัญญัติว่า การกระทำตามคำฟ้องข้อ ข. นั้นเป็นความผิดลงไว้ กับขอให้ปรับจำเลยทั้งสามเป็นรายวันตามกฎหมายซึ่งเป็นโทษที่บัญญัติไว้ในมาตรา 67 ไว้ด้วย แม้โจทก์จะมิได้อ้างมาตรา 67 อันเป็นบทลงโทษไว้ด้วยก็เห็นเจตนาได้ว่า ข้อเท็จจริงตามคำฟ้องข้อ ข. ซึ่งจำเลยทั้งสามให้การรับสารภาพแล้วนั้นเป็นเรื่องที่โจทก์ประสงค์ให้ลงโทษจำเลยทั้งสาม หาใช่เป็นเรื่องที่โจทก์ไม่ประสงค์ให้ลงโทษไม่.
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 134/2536 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การร่วมกันทำร้ายร่างกายโดยไตร่ตรองไว้ก่อน แม้ไม่ใช่ความผิดตามฟ้อง ศาลลงโทษได้ตามความผิดที่พิจารณาได้
การที่จำเลยทั้งสองชวนและพาผู้เสียหายออกไปจากเวทีรำวงเมื่อถึงที่เกิดเหตุจำเลยที่ 1 ร้องบอกให้พวกของจำเลยทั้งสองที่รอคอยอยู่ก่อนเข้าทำร้ายผู้เสียหาย แสดงว่าจำเลยทั้งสองกับพวกคบคิดวางแผนนัดหมายกันไว้ก่อน การกระทำของจำเลยทั้งสองจึงเป็นความผิดฐานร่วมกันทำร้ายผู้เสียหายโดยไตร่ตรองไว้ก่อน แม้ทางพิจารณาปรากฏว่า การกระทำของจำเลยทั้งสองเป็นความผิดเพียงฐานทำร้ายผู้เสียหายโดยไตร่ตรองไว้ก่อน โดยไม่มีเจตนาฆ่าผู้เสียหายตามฟ้อง แต่ก็ถือว่าเป็นความผิดที่รวมอยู่ในลักษณะเดียวกัน แม้มิใช่ความผิดตามที่โจทก์ฟ้องโดยตรง และมิใช่มาตราที่โจทก์ขอให้ลงโทษ ศาลก็ลงโทษจำเลยทั้งสองตามที่พิจารณาได้ความได้ ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 192 วรรคท้าย
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4015/2535
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การริบทรัพย์สินต้องมี罪ฐานการกระทำความผิด และมีการฟ้องลงโทษในความผิดนั้นด้วย
ศาลจะสั่งริบทรัพย์สินที่จำเลยมีไว้เพื่อใช้ในการกระทำความผิดได้ก็ต่อเมื่อมีการกระทำความผิดนั้นขึ้นและโจทก์ต้องฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยในความผิดนั้นด้วย ดังนั้นเมื่อไม่ปรากฏว่ามีความผิดฐานเสพกัญชาเกิดขึ้น และโจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยฐานมีกัญชาไว้ในครอบครองมิได้ฟ้องขอให้ลงโทษฐานเสพกัญชา โจทก์จะขอให้ศาลสั่งริบบ้องกัญชา มีดหั่นกัญชา และไม้ขีดไฟที่จำเลยมีไว้เพื่อใช้ในการกระทำความผิดฐานเสพกัญชาหาได้ไม่ มิฉะนั้นโจทก์ย่อมฟ้องจำเลยทั้งสำนวนเพื่อขอให้ริบทรัพย์สินเพียงประการเดียวโดยไม่ขอให้ลงโทษจำเลยก็ย่อมกระทำได้ ซึ่งเป็นการขัดต่อเจตนารมณ์ของประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 33 ศาลจึงไม่มีอำนาจสั่งริบบ้องกัญชามีดหั่นกัญชา และไม้ขีดไฟของกลาง