พบผลลัพธ์ทั้งหมด 2,100 รายการ
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 357-358/2535
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การใช้เครื่องชั่งผิดอัตราเพื่อฉ้อโกงและบทบัญญัติประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญามาตรา 192
จำเลยทั้งสามตกลงทำการชั่งเศษทองแดงที่จำเลยทั้งสามตกลงซื้อจากโจทก์ร่วมรวม 13 ครั้ง ต่างวันเวลากันด้วยเครื่องชั่งที่ผิดอัตรา และถูกแก้ไขเปลี่ยนแปลงโดยเจตนาลดเครื่องชั่งทำให้ได้เศษทองแดงเกินไป เป็นการกระทำความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 270และพระราชบัญญัติมาตราชั่ง ตวง วัด พ.ศ. 2466 มาตรา 31 หลายกรรมต่างกัน รวม 13 ครั้ง แต่การกระทำความผิดของจำเลยแต่ละครั้งนั้นจำเลยทั้งสามมีและใช้เครื่องชั่งในวันเวลาเดียวกันเท่ากับจำเลยทั้งสามมีเจตนาเดียวกัน เป็นการกระทำกรรมเดียวผิดต่อกฎหมายหลายบทต้องลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 270 ซึ่งเป็นบทกฎหมายที่มีโทษหนักที่สุดตามมาตรา 90 การที่ศาลอุทธรณ์พิพากษาให้จำเลยทั้งสามร่วมกันคืนเศษทองแดงหรือใช้ราคาแก่โจทก์ร่วม โดยโจทก์และโจทก์ร่วมมิได้ฟ้องขอให้จำเลยทั้งสามร่วมกันคืนหรือใช้ราคาทรัพย์ดังกล่าว จึงเป็นการพิพากษาหรือสั่งเกินคำขอหรือที่มิได้กล่าวในฟ้อง ต้องห้ามตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 192 วรรคแรก ศาลชั้นต้นพิพากษาลงโทษจำคุกจำเลยทั้งสามกระทงละ 6 เดือนและ 4 เดือน ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้เป็นให้ลงโทษจำคุกจำเลยทั้งสามกระทงละ 3 เดือน เป็นการแก้ไขเล็กน้อย และให้ลงโทษจำคุกจำเลยทั้งสามไม่เกินกระทงละ 5 ปี ต้องห้ามมิให้คู่ความฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริงตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 218 วรรคแรกคู่ความฎีกาได้แต่ข้อกฎหมาย ที่จำเลยฎีกาว่าจากพยานหลักฐานของโจทก์ จำเลยทั้งสามกระทำความผิดเพียงสองกระทงนั้น เป็นฎีกาโต้เถียงการรับฟังพยานหลักฐานของศาลอุทธรณ์อันเป็นปัญหาข้อเท็จจริงและที่จำเลยฎีกาขอให้ลงโทษสถานเบาและรอการลงโทษ เป็นการโต้เถียงดุลยพินิจในการลงโทษ เป็นปัญหาข้อเท็จจริงเช่นเดียวกัน
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 337/2535 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
กรรมสิทธิ์ไม้ขบดงในป่าสงวน: ความแตกต่างระหว่างฟ้องกับข้อเท็จจริงนำไปสู่การยกฟ้อง
ไม้ขบดง ซึ่งขึ้นเองตามธรรมชาติในเขตป่าสงวนแห่งชาติที่ผู้เสียหายครอบครองทำประโยชน์อยู่ ย่อมเป็นของรัฐไม่ใช่ของผู้เสียหาย แต่โจทก์ฟ้องว่าเป็นของผู้เสียหายถูกจำเลยตัดและนำไปแปรรูปเป็นไม้ของกลาง ข้อเท็จจริงในทางพิจารณาจึงต่างกับฟ้องในข้อสาระสำคัญ ต้องยกฟ้องตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญามาตรา 192 วรรคสอง
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 250/2535
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ผู้ใช้ให้ผู้อื่นกระทำความผิดฐานฆ่าผู้อื่น และความผิดฐานสนับสนุนการกระทำความผิด
ข้อเท็จจริงในทางพิจารณาฟังได้ว่า จำเลยที่ 1 เป็นผู้ใช้ให้จำเลยที่ 2 ฆ่าผู้ตาย แต่โจทก์กล่าวในฟ้องว่าจำเลยที่ 1ที่ 2 เป็นผู้ร่วมกระทำผิดด้วยกัน เป็นการแตกต่างกันในสาระสำคัญตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 192วรรคสอง ลงโทษทั้งสองฐานนี้ไม่ได้ แต่การที่จำเลยที่ 1 ร้องสั่งให้จำเลยที่ 2 ทำร้ายผู้ตายเป็นการยุยงส่งเสริมให้ผู้อื่นกระทำความผิด เป็นความผิดฐานเป็นผู้สนับสนุนการกระทำความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 86 ด้วย ศาลจึงมีอำนาจลงโทษฐานผู้สนับสนุนได้
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 211/2535
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การริบของกลางซ้ำ: ศาลพิพากษาให้ริบของกลางที่ศาลชั้นต้นริบไปแล้วไม่ได้
ศาลชั้นต้นได้พิพากษาริบกัญชาของกลางไว้ในคดีอื่นแล้วและโจทก์มิได้ขอให้ริบในคดีนี้ ศาลจะพิพากษาให้ริบกัญชาของกลางอีกไม่ได้ เป็นการริบของกลางซ้ำและเกินคำขอ ไม่ชอบด้วยประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 192 วรรคแรก
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4024/2534
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ขอบเขตความผิดฐานกระทำชำเราและอนาจาร: การฟ้องฐานชำเราครอบคลุมความผิดฐานอนาจาร
การกระทำอนาจารคือการกระทำที่ไม่สมควรในทางเพศ เพียงแต่กอดจูบลูบคลำ แตะต้องเนื้อตัวร่างกายในทางไม่สมควรก็เป็นความผิดสำเร็จแล้วส่วนการกระทำชำเราจะเป็นความผิดสำเร็จเมื่อใช้อวัยวะเพศของชายบังคับใส่ล่วงล้ำเข้าไปในอวัยวะเพศของหญิง การกระทำชำเราจึงรวมถึงการกระทำอนาจารอยู่ในตัว โจทก์ฟ้องว่า จำเลยกระทำชำเราเด็กหญิงอายุไม่เกิน 13 ปีโดยผู้เสียหายไม่ยินยอม ขอให้ลงโทษฐานกระทำชำเรา ย่อมหมายความว่าโจทก์ประสงค์จะให้ลงโทษจำเลยฐานกระทำอนาจารอยู่ด้วยในตัวแม้ไม่ขอให้ลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 279 ฐานกระทำอนาจารถ้าพิจารณาได้ความว่าจำเลยได้กอดจูบลูบคลำผู้เสียหาย ก็ย่อมลงโทษฐานกระทำอนาจารซึ่งมีโทษเบากว่าได้ ไม่เกินคำขอ.
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3991/2534
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
เจตนาทำร้ายร่างกายจนเป็นเหตุให้ได้รับอันตรายสาหัส: การพิจารณาจากบาดแผลและเหตุการณ์
จำเลยใช้มีดพร้าเฉพาะตัวมีดยาว 15.5 นิ้ว กว้าง 1.8 นิ้วเป็นอาวุธฟันผู้เสียหายเพียงครั้งเดียว มิได้ฟันซ้ำ ทั้ง ๆ ที่มีโอกาสกระทำเช่นนั้นได้ ขณะจำเลยยกมีดขึ้นฟันผู้เสียหาย ผู้เสียหายยกมือซ้ายขึ้นปิดป้อง คมมีดจึงถูกผู้เสียหายที่ข้อมือซ้าย ใบหูซ้ายบริเวณท้ายทอยและกะโหลกศีรษะบริเวณท้ายทอยด้านซ้าย แม้จำเลยจะฟันถูกที่ศีรษะและบริเวณท้ายทอยซึ่งเป็นอวัยวะสำคัญ แต่ในขณะที่จำเลยฟัน ผู้เสียหายนั่งอยู่ใต้ซอกโต๊ะ และเป็นการฟันในทันทีหลังจากผู้เสียหายถูกผู้อื่นเตะล้มลง จำเลยจึงฟันส่งไป บาดแผลที่ผู้เสียหายได้รับจึงเป็นการบังเอิญ และแม้มีดที่ฟันจะมีความยาวและความกว้างของใบมีดพอที่จะทำให้ผู้เสียหายถึงแก่ความตายได้แต่ความลึกของบาดแผลที่ท้ายทอยลึกเพียง 3 เซนติเมตร ที่ใบหูและข้อมือซ้ายลึกเพียง 0.5 เซนติเมตรเท่านั้น แสดงว่าจำเลยฟันผู้เสียหายไม่แรง จำเลยจึงมิได้ฟันผู้เสียหายโดยมีเจตนาฆ่าหากแต่มีเพียงเจตนาทำร้ายเท่านั้น เมื่อปรากฏว่ากระดูกบริเวณท้ายทอยแตกร้าวจะหายภายใน 6 สัปดาห์ อันเป็นการเจ็บป่วยจนประกอบกรณียกิจไม่ได้เกินกว่ายี่สิบวัน การกระทำของจำเลยจึงเป็นความผิดฐานทำร้ายร่างกายผู้อื่นเป็นเหตุให้ได้รับอันตรายสาหัสตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 297(8) แม้โจทก์จะฎีกาขอให้ลงโทษตามมาตรา 288,80 ศาลฎีกาก็มีอำนาจลงโทษจำเลยตามข้อเท็จจริงที่ได้ความได้.
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3478-3479/2534
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การรวมพิจารณาคดีอาญาและการขาดอำนาจฟ้องของอัยการต่อจำเลยที่ไม่ได้ถูกฟ้อง
พนักงานอัยการยื่นฟ้องเฉพาะจำเลยที่ 1 ผู้เสียหายยื่นฟ้องจำเลยที่ 1 และจำเลยที่ 2 ในมูลความผิดเดียวกัน ศาลชั้นต้นสั่งรวมการพิจารณาเข้าด้วยกัน แล้วพิพากษาลงโทษจำเลยทั้งสองศาลอุทธรณ์ภาค 1 พิพากษาแก้เป็นยกฟ้องเฉพาะจำเลยที่ 2 ดังนี้พนักงานอัยการไม่มีสิทธิฎีกาขอให้ลงโทษจำเลยที่ 2 เพราะเป็นเรื่องนอกฟ้อง
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3478-3479/2534 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ขอบเขตการฟ้องคดีอาญาและการพิสูจน์ความร่วมกระทำผิด การฎีกาเฉพาะส่วนนอกฟ้อง
พนักงานอัยการยื่นฟ้องเฉพาะจำเลยที่ 1 ผู้เสียหายยื่นฟ้องจำเลยที่ 1 และจำเลยที่ 2 ในมูลความผิดเดียวกัน ศาลชั้นต้นสั่งรวมการพิจารณาเข้าด้วยกัน แล้วพิพากษาลงโทษจำเลยทั้งสอง ศาลอุทธรณ์ภาค 1 พิพากษาแก้เป็นยกฟ้องเฉพาะจำเลยที่ 2 ดังนี้ พนักงานอัยการไม่มีสิทธิฎีกาขอให้ลงโทษจำเลยที่ 2 เพราะเป็นเรื่องนอกฟ้อง
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3463/2534
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การถอนฟ้องอุทธรณ์และการรอการลงโทษ จำเลยชดใช้ค่าเสียหาย โจทก์ไม่ประสงค์ดำเนินคดี
ระหว่างการพิจารณาของศาลอุทธรณ์ โจทก์ซึ่งเป็นผู้อุทธรณ์ยื่นคำร้องขอถอนฟ้องจำเลยทั้งเจ็ดและถอนอุทธรณ์จำเลยที่ 7ไม่ดำเนินคดีกับจำเลยทั้งเจ็ดต่อไป ดังนี้แม้ข้อหาที่โจทก์ฟ้องเป็นความผิดอันยอมความไม่ได้ ซึ่งโจทก์ไม่มีสิทธิขอถอนฟ้องในชั้นอุทธรณ์ก็ตาม แต่ย่อมถือได้ว่า โจทก์มีเจตนาที่จะถอนฟ้องอุทธรณ์จำเลยที่ 1 ถึงที่ 6 ด้วย การที่ศาลอุทธรณ์ไม่อนุญาตให้โจทก์ถอนอุทธรณ์จำเลยที่ 1 ถึงที่ 6 คงอนุญาตให้ถอนอุทธรณ์เฉพาะจำเลยที่ 7 แล้วพิพากษาว่าจำเลยที่ 1 ถึงที่ 6 มีความผิดตามอุทธรณ์ของโจทก์นั้น คำสั่งและคำพิพากษาศาลอุทธรณ์จึงไม่ชอบ
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3382/2534
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การฟ้องคดีอาญาต้องระบุข้อหาและบทลงโทษในฟ้องชัดเจน ศาลไม่สามารถลงโทษในข้อหาที่มิได้ระบุไว้
โจทก์บรรยายฟ้องแต่เพียงว่า จำเลยมีไม้กฤษณาหรือไม้หอมแปรรูปอันเป็นไม้หวงห้ามประเภท ข. ไว้ในครอบครองภายในเขตควบคุมการแปรรูปไม้โดยไม่ได้รับอนุญาตเท่านั้น โจทก์หาได้บรรยายฟ้องให้ปรากฏข้อเท็จจริงว่าไม้กฤษณาหรือไม้หอมเป็นของป่าหวงห้ามด้วยไม่ ทั้งคำขอท้ายฟ้องก็มิได้อ้างพระราชบัญญัติป่าไม้ พ.ศ. 2484 มาตรา29 ทวิ,71 ทวิ แต่ประการใด กรณีจึงไม่อาจลงโทษจำเลยในความผิดฐานนี้ได้เพราะมิได้กล่าวในฟ้องและไม่ใช่เป็นเรื่องที่โจทก์ประสงค์ให้ลงโทษตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 192 วรรคหนึ่งและวรรคสี่ หาใช่เป็นเรื่องซึ่งโจทก์อ้างฐานความผิดหรือบทมาตราผิดตามวรรคห้าไม่.