พบผลลัพธ์ทั้งหมด 2,100 รายการ
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 828/2534
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การพิสูจน์ความผิดฐานมีอาวุธปืน และอำนาจศาลในการริบทรัพย์สินต้องมีคำขอ
หลังเกิดเหตุเจ้าพนักงานตำรวจจับจำเลยที่ 1 และยึดได้ซองกระสุนขนาด .38 จำนวน 1 ซอง ได้จากกระเป๋าเดินทางที่ฝาบ้านจำเลยที่ 1 แม้จะฟังว่าจำเลยที่ 1 มีซองกระสุนของกลางไว้ในครอบครอง แต่เมื่อโจทก์ไม่สามารถพิสูจน์ได้ว่าจำเลยที่ 1 ไม่ได้รับอนุญาตให้มีอาวุธปืนขนาด .38 ไว้ในครอบครอง การกระทำของจำเลยที่ 1 ก็ยังไม่เป็นความผิดฐานมีอาวุธปืน (ซองกระสุนขนาด .38)ไว้ในครอบครองโดยไม่ได้รับอนุญาต ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 33(1) เป็นเพียงกฎหมายที่ให้อำนาจแก่ศาลในการลงโทษริบทรัพย์สินซึ่งบุคคลได้ใช้หรือมีไว้เพื่อใช้ในการกระทำความผิด แต่ศาลจะพิพากษาหรือสั่งเองโดยโจทก์มิได้ฟ้องหรือมีคำขอมาท้ายฟ้องหาได้ไม่ เพราะตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 192 วรรคแรก ห้ามมิให้พิพากษาหรือสั่งเกินคำขอหรือมิได้กล่าวในฟ้อง เมื่อคดีนี้โจทก์มิได้มีคำขอให้ริบของกลาง ศาลจึงพิพากษาหรือสั่งริบของกลางไม่ได้.
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 828/2534 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การระงับหนี้ด้วยการชำระหนี้ตามเช็ค: ศาลต้องฟังพยานหลักฐานเพื่อพิสูจน์การชำระหนี้ที่แท้จริง
หลังเกิดเหตุเจ้าพนักงานตำรวจจับจำเลยที่ 1 และยึดได้ซองกระสุนขนาด .38 จำนวน 1 ซอง ได้จากกระเป๋าเดินทางที่ฝาบ้านจำเลยที่ 1 แต่โจทก์ไม่สามารถพิสูจน์ได้ว่าจำเลยที่ 1 ไม่ได้รับอนุญาตให้มีอาวุธปืนขนาด .38 ไว้ในครอบครอง ดังนี้ จำเลยที่ 1ยังไม่มีความผิดฐานมีอาวุธปืน (ซองกระสุนขนาด .38) ไว้ในครอบครองโดยไม่ได้รับอนุญาต ป.อ. มาตรา 33(1) เป็นเพียงกฎหมายที่ให้อำนาจแก่ศาลในการลงโทษริบทรัพย์สินซึ่งบุคคลได้ใช้หรือมีไว้เพื่อใช้ในการกระทำความผิด แต่ศาลจะพิพากษาหรือสั่งเองโดยโจทก์มิได้ฟ้องหรือมีคำขอมาท้ายฟ้องหาได้ไม่ เพราะตาม ป.วิ.อ. มาตรา 192 วรรคแรกห้ามมิให้พิพากษาหรือสั่งเกินคำขอหรือมิได้กล่าวในฟ้อง เมื่อโจทก์มิได้มีคำขอให้ริบของกลาง ศาลจึงพิพากษาหรือสั่งริบของกลางไม่ได้.
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 778/2534
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การโอนกรรมสิทธิ์รถแยกจากทะเบียน การโอนทะเบียนหลังยึดไม่ใช่ความผิด
การโอนรถทางทะเบียนนั้น เป็นเพียงหลักฐานเพื่อแสดงว่าใครเป็นเจ้าของและมีสิทธิใช้รถซึ่งเป็นมาตรการในการควบคุมการใช้รถ ตามนัย พ.ร.บ.รถยนต์ พ.ศ. 2522 มาตรา 6,17 เท่านั้นมิใช่เป็นหลักฐานการโอนกรรมสิทธิ์ โจทก์บรรยายฟ้องว่า จำเลยโอนรถไปเมื่อวันที่ 17 มกราคม 2528ภายหลังการยึดหนึ่งวัน และนำสืบเพียงว่า วันที่ 17 มกราคม2528 เป็นเพียงการโอนทางทะเบียน มิใช่โอนกรรมสิทธิ์ในตัวรถเช่นนี้ เมื่อข้อเท็จจริงปรากฏว่าจำเลยได้โอนกรรมสิทธิ์ในรถคันที่โจทก์ฟ้องไปก่อนการยึดแล้ว แม้ต่อมาจำเลยจะเพิ่งโอนทะเบียนรถไปหลังจากการยึด 1 วัน ก็เป็นเพียงโอนทางทะเบียน มิใช่โอนกรรมสิทธิ์ในตัวรถ ดังนั้นจำเลยย่อมไม่มีความผิดตาม ป.อ. มาตรา 350.
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 117/2534
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ความผิดฐานกระทำอนาจารแก่เด็ก แม้ไม่มีการสอดใส่ แต่มีการถูไถสำเร็จความใคร่
จำเลยเพียงแต่ใช้อวัยวะเพศของจำเลยถูไถสัมผัสที่ด้านนอกของอวัยวะเพศของผู้เสียหายซึ่งเป็นบุตรสาวของจำเลยจนสำเร็จความใคร่โดยไม่มีเจตนาสอดใส่เข้าไปในอวัยวะเพศผู้เสียหายแต่อย่างใดจึงไม่มีความผิดฐานพยายามกระทำชำเรา แต่การกระทำของจำเลยเป็นความผิดฐานกระทำอนาจารแก่เด็กอายุยังไม่เกินสิบห้าปีตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 279 วรรคแรก และเป็นการกระทำแก่ผู้สืบสันดาน จึงมีโทษหนักขึ้นตามมาตรา 285 โจทก์ขอให้ลงโทษจำเลยตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 277และ 285 โดยไม่ได้ขอให้ลงโทษตามมาตรา 279 แต่ความผิดตามที่โจทก์ฟ้องนั้นรวมการกระทำความผิดฐานกระทำอนาจารตามมาตรา 279อยู่ด้วย ศาลจึงมีอำนาจลงโทษจำเลยตามความผิดที่พิจารณาได้ความได้ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 192 วรรคท้าย
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 5875/2533
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
จำกัดสิทธิอุทธรณ์คดีอาญา: องค์ประกอบความผิดไม่เข้าข่าย & โทษจำคุกไม่เกิน 3 ปี
แม้โจทก์จะขอให้ลงโทษจำเลยตาม ป.อ. มาตรา 342,265,268ซึ่งมีอัตราโทษตามที่กฎหมายกำหนดไว้ให้จำคุกเกินกว่า 3 ปี แต่โจทก์บรรยายฟ้องความผิดฐานฉ้อโกงไม่เข้าองค์ประกอบความผิดตามมาตรา 342 ไม่อาจลงโทษจำเลยฐานนี้ได้ ส่วนความผิดฐานปลอมเอกสารและใช้เอกสารปลอม โจทก์ไม่ได้บรรยายฟ้องว่า จำเลยปลอมเอกสารสิทธิหรือเอกสารราชการไม่อาจลงโทษจำเลยตามมาตรา 265,268 ได้เช่นกัน คงเหลือความผิดฐานอื่นซึ่งมีอัตราโทษตามที่กฎหมายกำหนดไว้ให้จำคุกไม่เกิน 3 ปี จึงเป็นคดีซึ่งต้องห้ามอุทธรณ์ในปัญหาข้อเท็จจริงตาม ป.วิ.อ. มาตรา 193 ทวิ.
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 5310/2533
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การลงโทษตามข้อเท็จจริงที่พิสูจน์ได้ แม้ต่างจากข้อหาเดิมที่ฟ้อง
ข้อเท็จจริงปรากฏในการพิจารณาว่า จำเลยใช้มีดปลายแหลมแทงผู้เสียหายจนเป็นเหตุให้เกิดอันตรายแก่กาย อันเป็นความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 295 แม้โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษฐานทำร้ายร่างกายจนเป็นเหตุให้รับอันตรายสาหัสตาม มาตรา 297(8) ก็ไม่ถือว่าข้อเท็จจริงที่ปรากฏในการพิจารณาแตกต่างกับฟ้องย่อมลงโทษจำเลยตาม มาตรา 295 ได้.
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3817/2533
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การยักยอกทรัพย์จากเช็ค: การครอบครองเช็คแทนเจ้าของและการเบียดบังเงิน
ผู้เสียหายมอบเช็คพิพาทซึ่งเป็นเช็คระบุชื่อให้จำเลยนำไปเข้าบัญชีของผู้เสียหาย แต่จำเลยกลับนำไปให้ผู้สั่งจ่ายออกเช็คฉบับใหม่เป็นเช็คผู้ถือ แล้วจำเลยนำเช็คฉบับใหม่ไปขึ้นเงินจากธนาคารและหลบหนีไป การที่จำเลยรับเช็คฉบับใหม่มาแล้วนำไปขึ้นเงินจากธนาคารนั้น เป็นการครอบครองเช็คแทนผู้เสียหาย เพราะผู้สั่งจ่ายเจตนาจ่ายเช็คให้แก่ผู้เสียหาย ไม่ได้จ่ายให้จำเลย เมื่อจำเลยนำเช็คนั้นไปขึ้นเงินมาครอบครองแล้วเบียดบังเอาเงินนั้นเป็นของตน จึงเป็นความผิดฐานยักยอกทรัพย์
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3792/2533
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การลงโทษจำเลยในความผิดฐานฆ่าและลักทรัพย์ ศาลต้องลงโทษตามความผิดที่พยานหลักฐานรับฟังได้ แม้จำเลยจะให้การรับสารภาพ
จำเลยที่ 3 ฆ่าผู้ตายแล้วจึงได้เอาทรัพย์สินและรถจักรยานยนต์ของกลางไป จำเลยที่ 3 จึงมีความผิดฐานฆ่าผู้ตายโดยเจตนาตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 288 กระทงหนึ่ง และฐานลักทรัพย์อีกกระทงหนึ่ง หามีความผิดฐานฆ่าผู้ตายเพื่อจะเอาทรัพย์สินตามมาตรา 289 (7) ไม่ แม้จำเลยที่ 3 จะให้การรับสารภาพในชั้นพิจารณาของศาลว่าได้กระทำความผิดฐานดังกล่าวด้วย แต่เมื่อข้อเท็จจริงตามทางพิจารณาฟังไม่ได้ว่าจำเลยที่ 3 ได้กระทำความผิดตามข้อหาที่ให้การรับสารภาพ ศาลก็ลงโทษในข้อหาความผิดที่รับสารภาพหาได้ไม่
เมื่อจำเลยที่ 3 และที่ 4 ร่วมกระทำความผิดด้วยกัน แต่การกระทำเป็นความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 288 ซึ่งมีโทษเบากว่ามาตรา 289 (7) และเป็นเหตุในส่วนลักษณะคดี แม้จำเลยที่ 4 จะมิได้ฎีกา ศาลก็มีอำนาจพิพากษาตลอดไปถึงจำเลยที่ 4 ได้ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญามาตรา 213 ประกอบด้วย มาตรา 225
เมื่อจำเลยที่ 3 และที่ 4 ร่วมกระทำความผิดด้วยกัน แต่การกระทำเป็นความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 288 ซึ่งมีโทษเบากว่ามาตรา 289 (7) และเป็นเหตุในส่วนลักษณะคดี แม้จำเลยที่ 4 จะมิได้ฎีกา ศาลก็มีอำนาจพิพากษาตลอดไปถึงจำเลยที่ 4 ได้ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญามาตรา 213 ประกอบด้วย มาตรา 225
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3720/2533
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
อำนาจศาล, การปรับบทกฎหมาย, และข้อจำกัดในการฎีกาในประเด็นข้อเท็จจริงและดุลพินิจ
พนักงานสอบสวนได้สอบสวนจำเลยในข้อหาว่าร่วมกันทำร้ายร่างกายผู้เสียหาย เป็นเหตุให้ได้รับอันตรายสาหัสตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 297 ซึ่งเป็นคดีเกินอำนาจศาลแขวงที่จะพิจารณาพิพากษา พนักงานสอบสวนจึงไม่จำต้องผัดฟ้องจำเลยต่อศาลแขวง และการที่โจทก์ฟ้องจำเลยในข้อหาดังกล่าวต่อศาลชั้นต้นซึ่งเป็นศาลจังหวัดจึงชอบแล้ว แม้ต่อมาศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์จะวินิจฉัยว่าจำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 295 อันเป็นบทเบากว่าและอยู่ในอำนาจของศาลแขวงก็ตาม เพราะเป็นกรณีที่ศาลลงโทษโดยปรับบทกฎหมายให้ถูกต้อง ซึ่งศาลมีอำนาจกระทำได้
โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 297 แม้ศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์ฟังข้อเท็จจริงว่า การกระทำของจำเลยเป็นเพียงความผิดฐานทำร้ายร่างกายผู้เสียหายเป็นเหตุให้ได้รับอัตรายแก่กายตามมาตรา 295 ก็เป็นการกระทำผิดฐานทำร้ายร่างกายผู้เสียหายนั่นเอง ซึ่งเป็นบทเบากว่า ถือได้ว่าเป็นเรื่องที่โจทก์ประสงค์ให้ลงโทษ ศาลย่อมมีอำนาจปรับบทลงโทษจำเลยตามมาตรา 295 ได้ หาเกินคำขอไม่
ข้อเท็จจริงที่ว่าการสอบสวนล่าช้าไม่ชอบด้วยกฎหมายนั้น ไม่ได้ยกขึ้นว่ากันมาในศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์ ปัญหาข้อกฎหมายที่จำเลยยกขึ้นอ้างจึงไม่เกิดขึ้น ฎีกาจำเลยในข้อนี้จึงต้องห้ามตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 195 ประกอบด้วยมาตรา 225
ฎีกาจำเลยที่ขอให้ลงโทษในสถานเบาและรอการลงโทษ เป็นฎีกาเกี่ยวกับเรื่องดุลพินิจในการลงโทษ เป็นฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริง คดีนี้ศาลอุทธรณ์พิพากษายืนตามศาลชั้นต้น และให้ลงโทษจำคุกจำเลยไม่เกินห้าปี จึงต้องห้ามมิให้ฎีกาตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 218 วรรคแรก
โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 297 แม้ศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์ฟังข้อเท็จจริงว่า การกระทำของจำเลยเป็นเพียงความผิดฐานทำร้ายร่างกายผู้เสียหายเป็นเหตุให้ได้รับอัตรายแก่กายตามมาตรา 295 ก็เป็นการกระทำผิดฐานทำร้ายร่างกายผู้เสียหายนั่นเอง ซึ่งเป็นบทเบากว่า ถือได้ว่าเป็นเรื่องที่โจทก์ประสงค์ให้ลงโทษ ศาลย่อมมีอำนาจปรับบทลงโทษจำเลยตามมาตรา 295 ได้ หาเกินคำขอไม่
ข้อเท็จจริงที่ว่าการสอบสวนล่าช้าไม่ชอบด้วยกฎหมายนั้น ไม่ได้ยกขึ้นว่ากันมาในศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์ ปัญหาข้อกฎหมายที่จำเลยยกขึ้นอ้างจึงไม่เกิดขึ้น ฎีกาจำเลยในข้อนี้จึงต้องห้ามตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 195 ประกอบด้วยมาตรา 225
ฎีกาจำเลยที่ขอให้ลงโทษในสถานเบาและรอการลงโทษ เป็นฎีกาเกี่ยวกับเรื่องดุลพินิจในการลงโทษ เป็นฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริง คดีนี้ศาลอุทธรณ์พิพากษายืนตามศาลชั้นต้น และให้ลงโทษจำคุกจำเลยไม่เกินห้าปี จึงต้องห้ามมิให้ฎีกาตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 218 วรรคแรก
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3697/2533
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
เจตนาการใช้เช็คเพื่อประกันค่าแชร์รายงวด ไม่ถือเป็นเจตนาทุจริตตาม พ.ร.บ.เช็ค
แม้ในคำฟ้องระบุว่า เช็คพิพาทเป็นเช็คชำระหนี้ แต่พยานโจทก์เบิกความว่าเป็นเช็คที่มีผู้นำมาแลกเงินสดจากโจทก์ และตัวโจทก์กับพยานโจทก์เบิกความแตกต่างกันเกี่ยวกับวันที่รับแลกเช็คและการที่โจทก์ไม่สอบถามรายละเอียดเกี่ยวกับเช็คพิพาทนั้นก็มิใช่ข้อสาระสำคัญถึงกับทำให้พยานโจทก์ฟังไม่ได้ การเช่นแชร์นั้นลูกแชร์ซึ่งประมูลแชร์ได้งวดใด มีหน้าที่ต้องส่งเงินค่าแชร์ที่ประมูลได้บวกกับดอกเบี้ย ให้หัวหน้าวงแชร์ทุกงวดจนกว่าจะครบลูกแชร์ทุกคนที่ยังประมูลไม่ได้ ไม่ใช่ต้องชำระค่าแชร์ที่จะต้องส่งต่อทั้งหมดในงวดเดียว การที่จำเลยมอบเช็คพิพาทมีจำนวนเงินเท่ากับค่าแชร์ที่จะต้องส่งต่อทั้งหมดให้แก่หัวหน้าวงแชร์ จึงไม่ใช่เป็นการชำระค่าแชร์ที่จำเลยจะต้องส่งต่อทั้งหมดแต่เป็นการมอบให้เพื่อประกันเงินค่าแชร์ที่จำเลยจะต้องส่งต่อเท่านั้น จำเลยไม่มีเจตนาจะให้ผู้ทรงนำเช็คพิพาทไปเรียกเก็บเงินจากธนาคาร เมื่อโจทก์นำเช็คพิพาทไปเรียกเก็บเงินและธนาคารปฏิเสธการจ่ายเงิน จำเลยจึงไม่มีความผิดตามฟ้อง