พบผลลัพธ์ทั้งหมด 2,100 รายการ
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3321/2533
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การพิพากษาความรับผิดทางอาญาในฐานะตัวการร่วม กรณีทำร้ายร่างกายและประเด็นการวินิจฉัยเกินเลยคำฟ้อง
แม้โจทก์จะมิได้ยกเหตุที่จำเลยกับพวกวิ่งไล่ทำร้ายโจทก์ร่วมขึ้นอ้างในอุทธรณ์ว่าเป็นการชี้เจตนาของจำเลยว่ายอมรับเอาผลการกระทำ ของพวกจำเลยมาเป็นการกระทำของตนเอง จำเลยจึงเป็นตัวการในการกระทำความผิดด้วย แต่โจทก์ก็อุทธรณ์ให้จำเลยรับผิดฐาน เป็นตัวการ การที่ศาลอุทธรณ์ยกข้อเท็จจริงดังกล่าวขึ้นวินิจฉัยตามคำเบิกความของพยาน เพื่อชี้ให้เห็นว่าจำเลยร่วมเป็นตัวการด้วยจึงเป็นการวินิจฉัยตามคำฟ้องอุทธรณ์ จำเลยชกที่กก หูของ ส. โจทก์ร่วม 1 ที แล้วพวกของจำเลยวิ่งเข้ามาทำร้ายพวกโจทก์ร่วม โดยใช้มีดฟันและใช้ขวดตี เป็นเหตุให้ค.โจทก์ร่วมอีกคนหนึ่งได้รับอันตรายแก่กายสาหัสส.และพ.โจทก์ร่วม ได้รับอันตรายแก่กาย โดยจำเลยกับพวกมิได้นัดหมายให้ช่วยกันทำร้าย หรือจำเลยบอกให้พวกทำร้ายโจทก์ร่วม และเมื่อโจทก์ร่วมบางคนวิ่งหนีจำเลยหรือพวกจำเลยก็มิได้เข้าไปทำร้ายซ้ำเติมค. โจทก์ร่วมซึ่งได้รับบาดเจ็บนอนอยู่หน้าร้านจำเลยอีก แต่วิ่งออกจากร้านตาม พ. และพวกโจทก์ร่วมไปโดยมิได้แสดงท่าทางว่าจะทำร้ายอีกแต่อย่างใด พฤติการณ์ดังกล่าวยังถือไม่ได้ว่าจำเลยเป็นตัวการร่วมในความผิดฐานทำร้ายร่างกายโจทก์ร่วมเป็นเหตุให้ได้รับอันตรายสาหัส หรือได้รับอันตรายแก่กาย จำเลยคงมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 391 เท่านั้น
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3318/2533 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การบรรยายฟ้องความผิดฐานลักทรัพย์โดยใช้กำลังประทุษร้ายและฐานวิ่งราวทรัพย์ ศาลฎีกาแก้ไขโทษตามองค์ประกอบความผิดที่ถูกต้อง
โจทก์บรรยายฟ้องว่า จำเลยทั้งสองลักทรัพย์โดยใช้กำลังประทุษร้ายเพื่อให้ความสะดวกแก่การลักทรัพย์โดยใช้ยานพาหนะเพื่อสะดวกในการกระทำผิดและพาทรัพย์นั้นไป ไม่ได้บรรยายว่าจำเลยฉกฉวยพาหนีไปต่อหน้าอันเป็นองค์ประกอบความผิดฐานวิ่งราวทรัพย์เห็นได้ว่าโจทก์ไม่ได้ประสงค์จะให้ลงโทษจำเลยทั้งสองฐานวิ่งราวทรัพย์ด้วย จะลงโทษฐานวิ่งราวทรัพย์ไม่ได้ คงลงโทษจำเลยทั้งสองได้ในความผิดฐานร่วมกันลักทรัพย์โดยใช้ยานพาหนะเท่านั้นตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 192 ปัญหาข้อนี้เป็นปัญหาเกี่ยวกับความสงบเรียบร้อย ศาลฎีกามีอำนาจยกขึ้นวินิจฉัยและพิพากษาตลอดไปถึงจำเลยที่ 2 ซึ่งมิได้ฎีกาด้วยได้
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3318/2533
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การบรรยายฟ้องความผิดฐานลักทรัพย์โดยใช้กำลังประทุษร้ายกับฐานวิ่งราวทรัพย์: ความแตกต่างและขอบเขตการลงโทษ
โจทก์บรรยายฟ้องว่า จำเลยทั้งสองลักทรัพย์โดยใช้กำลังประทุษร้ายเพื่อให้ความสะดวกแก่การลักทรัพย์โดยใช้ยานพาหนะเพื่อสะดวกในการกระทำผิดและพาทรัพย์นั้นไป ไม่ได้บรรยายว่าจำเลยฉกฉวยพาหนีไปต่อหน้าอันเป็นองค์ประกอบความผิดฐานวิ่งราวทรัพย์เห็นได้ว่าโจทก์ไม่ได้ประสงค์จะให้ลงโทษจำเลยทั้งสองฐานวิ่งราวทรัพย์ด้วย จะลงโทษฐานวิ่งราวทรัพย์ไม่ได้ คงลงโทษจำเลยทั้งสองได้ในความผิดฐานร่วมกันลักทรัพย์โดยใช้ยานพาหนะเท่านั้นตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 192 ปัญหาข้อนี้เป็นปัญหาเกี่ยวกับความสงบเรียบร้อย ศาลฎีกามีอำนาจยกขึ้นวินิจฉัยและพิพากษาตลอดไปถึงจำเลยที่ 2 ซึ่งมิได้ฎีกาด้วยได้
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3186/2533
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ขอบเขตการลงโทษตาม พ.ร.บ.ควบคุมอาคาร: การลงโทษเกินคำขอ และการปรับบทลงโทษอาคารพาณิชย์
แม้ตาม ฟ้องโจทก์ระบุว่า จำเลยเป็นเจ้าของและผู้ครอบครองอาคารพิพาทแต่ ก็ไม่ได้บรรยายฟ้องให้เห็นว่า จำเลยได้ กระทำผิดในฐานะ ผู้ดำเนินการตาม ความหมายของมาตรา 4 แห่ง พ.ร.บ.ควบคุมอาคารฯ ทั้งมิได้อ้างมาตรา 69 ซึ่ง เป็นบทลงโทษเฉพาะผู้ดำเนินการมาในคำขอท้ายฟ้อง ศาลย่อมไม่อาจลงโทษจำเลยตามบทมาตราดังกล่าวได้ เพราะเป็นการพิพากษาเกินคำขอของโจทก์ มาตรา 70 พระราชบัญญัติควบคุมอาคาร พ.ศ. 2522ที่บัญญัติว่า "ถ้า การกระทำความผิดตาม พระราชบัญญัตินี้ เป็นการกระทำเกี่ยวกับอาคารเพื่อพาณิชยกรรม... ต้อง ระวางโทษ...หมายรวมความผิดทุกอย่างที่เป็นความผิดตาม พระราชบัญญัติควบคุมอาคารหากมีลักษณะต้องตาม ที่บัญญัติไว้อย่างใดอย่างหนึ่ง ก็ลงโทษตาม มาตรานี้ได้ หาจำต้องเป็นความผิดที่เกี่ยวกับตัว อาคารโดยตรงไม่ เมื่อจำเลยฝ่าฝืนคำสั่งของเจ้าพนักงานท้องถิ่นตาม มาตรา 44ซึ่ง จะต้องถูกลงโทษตาม มาตรา 67 และอาคารที่จำเลยกระทำผิดเป็นอาคารเพื่อพาณิชยกรรม ศาลจึงนำมาตรา 70 มาปรับบทลงโทษแก่จำเลยได้ .
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3186/2533 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การลงโทษจำเลยตาม พ.ร.บ.ควบคุมอาคารฯ ต้องไม่เกินคำขอของโจทก์ และการปรับบทลงโทษตามมาตรา 70
แม้ตามฟ้องโจทก์ระบุว่า จำเลยเป็นเจ้าของและผู้ครอบครองอาคารพิพาทแต่ก็ไม่ได้บรรยายฟ้องให้เห็นว่า จำเลยได้กระทำผิดในฐานะผู้ดำเนินการตามความหมายของมาตรา 4 แห่ง พ.ร.บ.ควบคุมอาคารฯ ทั้งมิได้อ้างมาตรา 69 ซึ่งเป็นบทลงโทษเฉพาะผู้ดำเนินการมาในคำขอท้ายฟ้อง ศาลย่อมไม่อาจลงโทษจำเลยตามบทมาตราดังกล่าวได้ เพราะเป็นการพิพากษาเกินคำขอของโจทก์ มาตรา 70 พ.ร.บ. ควบคุมอาคารฯ ที่บัญญัติว่า "ถ้า การกระทำความผิดตาม พ.ร.บ. นี้ เป็นการกระทำอันเกี่ยวกับอาคารเพื่อพาณิชยกรรม...ต้องระวางโทษ..." หมายรวมความผิดทุกอย่างที่เป็นความผิดตาม พ.ร.บ. ควบคุมอาคารฯ หากมีลักษณะต้องตามที่บัญญัติไว้อย่างใดอย่างหนึ่ง ก็ลงโทษตามมาตรานี้ได้หาจำต้องเป็นความผิดที่เกี่ยวกับตัวอาคารโดยตรงไม่ เมื่อจำเลยฝ่าฝืนคำสั่งของเจ้าพนักงานท้องถิ่นตามมาตรา 44 ซึ่งจะต้องถูกลงโทษตามมาตรา 67 และอาคารที่จำเลยกระทำผิดเป็นอาคารเพื่อพาณิชยกรรม ศาลจึงนำมาตรา 70 มาปรับบทลงโทษแก่จำเลยได้.
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3186/2533 เวอร์ชัน 3 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การลงโทษจำเลยตาม พ.ร.บ.ควบคุมอาคารฯ ต้องเป็นไปตามคำขอท้ายฟ้อง และการปรับบทลงโทษตามมาตรา 70
แม้ตามฟ้องโจทก์ระบุว่า จำเลยเป็นเจ้าของและผู้ครอบครองอาคารพิพาทแต่ก็ไม่ได้บรรยายฟ้องให้เห็นว่า จำเลยได้กระทำผิดในฐานะผู้ดำเนินการตามความหมายของมาตรา 4 แห่ง พ.ร.บ.ควบคุมอาคารฯ ทั้งมิได้อ้างมาตรา 69 ซึ่งเป็นบทลงโทษเฉพาะผู้ดำเนินการมาในคำขอท้ายฟ้อง ศาลย่อมไม่อาจลงโทษจำเลยตามบทมาตราดังกล่าวได้ เพราะเป็นการพิพากษาเกินคำขอของโจทก์
มาตรา 70 พระราชบัญญัติควบคุมอาคาร พ.ศ. 2522 ที่บัญญัติว่า "ถ้าการกระทำความผิดตามพระราชบัญญัตินี้ เป็นการกระทำเกี่ยวกับอาคารเพื่อพาณิชยกรรม... ต้องระวางโทษ...หมายรวมความผิดทุกอย่างที่เป็นความผิดตามพระราชบัญญัติควบคุมอาคารหากมีลักษณะต้องตามที่บัญญัติไว้อย่างใดอย่างหนึ่ง ก็ลงโทษตามมาตรานี้ได้ หาจำต้องเป็นความผิดที่เกี่ยวกับตัวอาคารโดยตรงไม่ เมื่อจำเลยฝ่าฝืนคำสั่งของเจ้าพนักงานท้องถิ่นตาม มาตรา44 ซึ่งจะต้องถูกลงโทษตามมาตรา 67 และอาคารที่จำเลยกระทำผิดเป็นอาคารเพื่อพาณิชยกรรม ศาลจึงนำมาตรา 70 มาปรับบทลงโทษแก่จำเลยได้
มาตรา 70 พระราชบัญญัติควบคุมอาคาร พ.ศ. 2522 ที่บัญญัติว่า "ถ้าการกระทำความผิดตามพระราชบัญญัตินี้ เป็นการกระทำเกี่ยวกับอาคารเพื่อพาณิชยกรรม... ต้องระวางโทษ...หมายรวมความผิดทุกอย่างที่เป็นความผิดตามพระราชบัญญัติควบคุมอาคารหากมีลักษณะต้องตามที่บัญญัติไว้อย่างใดอย่างหนึ่ง ก็ลงโทษตามมาตรานี้ได้ หาจำต้องเป็นความผิดที่เกี่ยวกับตัวอาคารโดยตรงไม่ เมื่อจำเลยฝ่าฝืนคำสั่งของเจ้าพนักงานท้องถิ่นตาม มาตรา44 ซึ่งจะต้องถูกลงโทษตามมาตรา 67 และอาคารที่จำเลยกระทำผิดเป็นอาคารเพื่อพาณิชยกรรม ศาลจึงนำมาตรา 70 มาปรับบทลงโทษแก่จำเลยได้
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3104/2533
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การพรากผู้เยาว์เพื่ออนาจาร: ศาลปรับบทลงโทษจากความผิดฐานพรากผู้เยาว์โดยผู้เยาว์เต็มใจไป
คดีฟังไม่ได้ว่าจำเลยบังคับขู่เข็ญพาผู้เสียหายไปและข่มขืนกระทำชำเราผู้เสียหาย ที่ผู้เสียหายอ้างว่าจำเลยหน่วงเหนี่ยวกักขังผู้เสียหายไว้จึงไม่มีเหตุผล ปัญหานี้แม้จะไม่มีประเด็นขึ้นสู่ศาลฎีกาโดยตรง เพราะข้อหาหน่วงเหนี่ยวกักขังยุติตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ที่พิพากษายืนตามคำพิพากษาศาลชั้นต้นให้จำคุก1 ปี อันต้องห้ามมิให้ฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริง ตาม ป.วิ.อ. มาตรา 218ก็ตาม แต่เมื่อศาลฎีกาเห็นว่าจำเลยไม่ได้กระทำความผิดฐานหน่วงเหนี่ยวกักขังเสียแล้วจึงเป็นปัญหาข้อกฎหมายเกี่ยวด้วยความสงบเรียบร้อยของประชาชน ศาลฎีกามีอำนาจยกขึ้นวินิจฉัย การที่จำเลยพรากผู้เยาว์ไปเพื่อการอนาจารจะโดยลักษณะที่ผู้เยาว์เต็มใจไปด้วยหรือไม่ก็ตาม ป.อ. บัญญัติเป็นความผิดทั้งสิ้น หากแต่กำหนดโทษหนักเบาต่างกันเท่านั้น กล่าวคือเมื่อผู้เยาว์ไม่เต็มใจไปด้วยก็เป็นความผิดตาม ป.อ. มาตรา 318วรรคท้าย ทางพิจารณาฟังได้ว่า จำเลยกระทำความผิดตาม ป.อ.มาตรา 319 ศาลย่อมปรับบทลงโทษจำเลยตาม ป.อ. มาตรา 319 ซึ่งมีโทษเบากว่าได้มิใช่เป็นเรื่องข้อเท็จจริงในทางพิจารณาต่างกับฟ้อง.
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2517/2533
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การลงโทษตามกฎหมายยาเสพติด: ศาลต้องระบุมาตราและวรรคที่ผิดชัดเจน การแก้คำพิพากษาโดยอุทธรณ์ชอบแล้ว
พ.ร.บ. ยาเสพติดให้โทษ (ฉบับที่ 2) พ.ศ. 2528 มาตรา 8เป็นบทกำหนดโทษที่แก้ไขใหม่ของมาตรา 76 แห่ง พ.ร.บ.ยาเสพติดให้โทษ พ.ศ. 2522 ศาลชั้นต้นพิพากษาว่าจำเลยมีความผิดตาม พ.ร.บ. ยาเสพติดให้โทษ (ฉบับที่ 2) พ.ศ. 2528 มาตรา 8เท่ากับลงโทษจำเลยตาม พ.ร.บ. ยาเสพติดให้โทษ พ.ศ. 2522มาตรา 76(ที่แก้ไขใหม่) ซึ่งความผิดตามมาตรา 76 ดังกล่าวมีหลายวรรคแต่ละวรรคกำหนดโทษไว้แตกต่างกัน การที่ศาลชั้นต้นไม่ระบุว่าจำเลยมีความผิดวรรคใดย่อมไม่ถูกต้อง ศาลอุทธรณ์แก้เสียให้ถูกต้องได้ ไม่เป็นการพิพากษาเกินคำขอ.
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2050/2533 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ความชอบด้วยกฎหมายของคำฟ้องและคำพิพากษาปรับตาม พ.ร.บ.ควบคุมอาคาร ที่ศาลสั่งปรับตลอดระยะเวลาฝ่าฝืน
ความผิดตาม พ.ร.บ. ควบคุมอาคารฯ โจทก์บรรยายฟ้องว่าจำเลยฝ่าฝืนคำสั่งมีกำหนด 150 วัน (นับตั้งแต่ วันที่ 29 สิงหาคม2530 จนถึง วันฟ้อง) และมีคำขอท้ายฟ้องว่า ขอศาลได้ สั่งปรับจำเลยตลอด ระยะเวลาที่ฝ่าฝืนคำสั่งด้วย เช่นนี้ คำฟ้องโจทก์ชอบด้วย กฎหมาย พ.ร.บ. ควบคุมอาคารฯ มาตรา 6570 บัญญัติว่าให้ปรับได้ ตลอดระยะเวลาที่ยังฝ่าฝืน โจทก์ขอให้ศาลสั่งปรับจำเลยตลอด ระยะเวลาที่ฝ่าฝืนคำสั่ง การที่ศาลปรับจำเลยเป็นรายวันจนกว่าจะรื้อถอนอาคารที่ดัดแปลงจึงไม่ เกินคำขอและชอบด้วย กฎหมาย.
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2003/2533 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การเปลี่ยนแปลงฐานความผิดจากวิ่งราวทรัพย์เป็นยักยอกทรัพย์: ข้อสาระสำคัญและขอบเขตการลงโทษ
โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยฐาน วิ่งราว ทรัพย์ แต่ ทางพิจารณาฟังได้ว่าจำเลยกระทำความผิดฐาน ยักยอกทรัพย์ ข้อสำคัญในความผิดฐาน วิ่งราว ทรัพย์กับยักยอกทรัพย์ก็คือการเอาทรัพย์ของผู้อื่นไปโดย เจตนาทุจริตเช่นเดียว กัน ต่างกันแต่ เพียงวิธีการเอาไปคือด้วย วิธีฉกฉวย เอาซึ่งหน้ากับด้วย วิธีครอบครองทรัพย์ของผู้อื่นแล้วเบียดบังเอาทรัพย์นั้นเป็นของตน จึงมิใช่แตกต่าง กันในข้อสาระสำคัญอันจะลงโทษจำเลยมิได้.