คำพิพากษาที่เกี่ยวข้องกับกฎหมาย
ป.วิ.อ. ม. 192

พบผลลัพธ์ทั้งหมด 2,100 รายการ

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2076/2530

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การเปลี่ยนแปลงข้อหาจากปล้นทรัพย์เป็นทำร้ายร่างกาย แม้บรรยายฟ้องผิดฐาน ศาลลงโทษตามพฤติการณ์ที่พิสูจน์ได้
โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยฐานปล้นทรัพย์ โดยบรรยายฟ้องมาด้วยว่าจำเลยกับพวกได้ร่วมกันใช้ไม้ตีและชกต่อยผู้เสียหายจนได้รับอันตรายแก่กาย เมื่อข้อเท็จจริงได้ความว่าจำเลยไม่ได้กระทำผิดฐานปล้นทรัพย์ แต่จำเลยมีความผิดฐานร่วมกันทำร้ายผู้เสียหายเป็นเหตุให้เกิดอันตรายแก่กายตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 295 ศาลย่อมมีอำนาจลงโทษจำเลยในความผิดฐานนี้ได้ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญามาตรา 192 วรรคท้าย

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2076/2530 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การเปลี่ยนแปลงข้อหาจากปล้นทรัพย์เป็นทำร้ายร่างกาย ศาลมีอำนาจลงโทษตามบรรยายฟ้อง
โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยฐานปล้นทรัพย์ โดยบรรยายฟ้องมาด้วยว่าจำเลยกับพวกได้ร่วมกันใช้ไม้ตีและชกต่อยผู้เสียหายจนได้รับอันตรายแก่กาย เมื่อข้อเท็จจริงได้ความว่าจำเลยไม่ได้กระทำผิดฐานปล้นทรัพย์ แต่จำเลยมีความผิดฐานร่วมกันทำร้ายผู้เสียหายเป็นเหตุให้เกิดอันตรายแก่กายตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 295 ศาลย่อมมีอำนาจลงโทษจำเลยในความผิดฐานนี้ได้ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญามาตรา 192 วรรคท้าย

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1985/2530 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การรับฟังข้อเท็จจริงนอกคำฟ้องในคดีอาญา ศาลมิอาจลงโทษจำเลยได้หากข้อเท็จจริงเกินขอบเขตคำฟ้อง
ในฟ้องโจทก์บรรยายว่าจำเลยที่ 2 ขับรถโดยประมาทด้วยความเร็วเกินกว่าอัตราที่กฎหมายกำหนดและชิดท้ายรถที่จำเลยที่ 1 ขับนำอยู่ทางด้านขวา ไม่ได้บรรยายว่าจำเลยที่ 2 ไม่ลดความเร็วของรถเมื่อใกล้ทางร่วมทางแยกศาลจะรับฟังข้อเท็จจริงเรื่องทางร่วมทางแยกซึ่งเป็นข้อเท็จจริงนอกเหนือคำฟ้องมาลงโทษจำเลยที่ 2 ไม่ได้ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 192 วรรคแรก

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1985/2530

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การรับฟังข้อเท็จจริงนอกคำฟ้องในคดีอาญา ศาลไม่อาจลงโทษจำเลยได้หากข้อเท็จจริงเกินกว่าที่บรรยายในคำฟ้อง
ในฟ้องโจทก์บรรยายว่าจำเลยที่ 2 ขับรถโดยประมาทด้วยความเร็วเกินกว่าอัตราที่กฎหมายกำหนดและชิดท้ายรถที่จำเลยที่ 1 ขับนำอยู่ทางด้านขวา ไม่ได้บรรยายว่าจำเลยที่ 2 ไม่ลดความเร็วของรถเมื่อใกล้ทางร่วมทางแยกศาลจะรับฟังข้อเท็จจริงเรื่องทางร่วมทางแยกซึ่งเป็นข้อเท็จจริงนอกเหนือคำฟ้องมาลงโทษจำเลยที่ 2 ไม่ได้ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 192 วรรคแรก

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1809/2530

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การสนับสนุนการกระทำความผิดฐานมียาเสพติดไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่าย แม้ไม่ได้ร่วมครอบครอง ศาลลงโทษได้
การที่จำเลยที่ 2 ทำหน้าที่ปิดเปิดประตูบ้านให้จำเลยที่1 และที่ 4 ซึ่งพาผู้ซื้อเข้าไปดูเฮโรอีนที่บ้านและหลังจากนั้นจำเลยที่ 2 เดินออกจากบ้านพร้อมจำเลยที่ 1 ซึ่งนำเฮโรอีนไปส่งแก่ผู้ซื้อก็ดี การที่จำเลยที่ 3 เจรจาซื้อขายเฮโรอีนกับผู้ซื้อก็ดี และการที่จำเลยที่ 4 เข้าร่วมกับจำเลยที่ 3 เจรจาซื้อขายเฮโรอีนกับผู้ซื้อ เมื่อผู้ซื้อถามถึงเรื่องส่งมอบ จำเลยที่ 4 ไปตามจำเลยที่ 1 ซึ่งเป็นเจ้าของผู้ครอบครองเฮโรอีนมาเจรจาก็ดี เมื่อจำเลยที่ 2 ที่ 3 และที่ 4 มิได้ร่วมครอบครองเฮโรอีนด้วย การกระทำของจำเลยดังกล่าวเป็นการช่วยเหลือจำเลยที่ 1 ในการขายเฮโรอีน จึงเป็นผู้สนับสนุนจำเลยที่ 1 ในการมีเฮโรอีนไว้ในความครอบครองเพื่อจำหน่าย
โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยฐานมีเฮโรอีนไว้ในความครอบครองเพื่อจำหน่าย ทางพิจารณาได้ความว่าจำเลยเป็นเพียงผู้สนับสนุนในการกระทำความผิดดังกล่าว เมื่อข้อแตกต่างมิใช่ข้อสาระสำคัญและจำเลยมิได้หลงต่อสู่้ ศาลมีอำนาจลงโทษจำเลยตามข้อเท็จจริงที่ได้ความนั้นได้.

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1809/2530 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การสนับสนุนการกระทำความผิดฐานมีเฮโรอีนไว้ในความครอบครองเพื่อจำหน่าย ศาลลงโทษได้แม้ฟ้องว่าเป็นการกระทำความผิดร่วมกัน
การที่จำเลยที่ 2 ทำหน้าที่ปิดเปิดประตูบ้านให้จำเลยที่ 1 และที่ 4 ซึ่งพาผู้ซื้อเข้าไปดูเฮโรอีนที่บ้านและหลังจากนั้นจำเลยที่ 2 เดินออกจากบ้านพร้อมจำเลยที่ 1 ซึ่งนำเฮโรอีนไปส่งแก่ผู้ซื้อก็ดี การที่จำเลยที่ 3 เจรจาซื้อขายเฮโรอีนกับผู้ซื้อก็ดี และการที่จำเลยที่ 4 เข้าร่วมกับจำเลยที่ 3 เจรจาซื้อขายเฮโรอีนกับผู้ซื้อ เมื่อผู้ซื้อถามถึงเรื่องส่งมอบ จำเลยที่ 4 ไปตามจำเลยที่ 1 ซึ่งเป็นเจ้าของผู้ครอบครองเฮโรอีนมาเจรจาก็ดี เมื่อจำเลยที่ 2 ที่ 3 และที่ 4 มิได้ร่วมครอบครองเฮโรอีนด้วย การกระทำของจำเลยดังกล่าวเป็นการช่วยเหลือจำเลยที่ 1 ในการขายเฮโรอีน จึงเป็นผู้สนับสนุนจำเลยที่ 1 ในการมีเฮโรอีนไว้ในความครอบครองเพื่อจำหน่าย
โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยฐานมีเฮโรอีนไว้ในความครอบครองเพื่อจำหน่าย ทางพิจารณาได้ความว่าจำเลยเป็นเพียงผู้สนับสนุนในการกระทำความผิดดังกล่าว เมื่อข้อแตกต่างมิใช่ข้อสาระสำคัญและจำเลยมิได้หลงต่อสู้ ศาลมีอำนาจลงโทษจำเลยตามข้อเท็จจริงที่ได้ความนั้นได้

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1704/2530

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การลักทรัพย์ด้วยการใช้อุบาย ไม่ใช่การวิ่งราวทรัพย์ ศาลฎีกามีอำนาจลงโทษฐานลักทรัพย์ แม้โจทก์มิได้ขอ
จำเลยขอดูนาฬิกาที่ผู้เสียหายใส่อยู่ เมื่อผู้เสียหายถอดให้จำเลย จำเลยรับนาฬิกามาจากผู้เสียหายแล้ววิ่งหนี การกระทำของจำเลยไม่เป็นการใช้กิริยาฉกฉวยเอาทรัพย์ผู้เสียหายไป แต่เป็นการใช้อุบายให้ผู้เสียหายถอดนาฬิกาจากข้อมือส่งให้จำเลย การกระทำของจำเลยไม่เป็นความผิดฐานวิ่งราวทรัพย์แต่เป็นการลักทรัพย์ด้วยการใช้อุบาย จำเลยจึงมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 334
แม้โจทก์มิได้ขอให้ลงโทษจำเลยฐานลักทรัพย์ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 334 แต่การลักทรัพย์เป็นการกระทำอย่างหนึ่งซึ่งเป็นความผิดได้อยู่ในตัวเองและรวมอยู่ในความผิดฐานวิ่งราวทรัพย์ ศาลฎีกาจึงมีอำนาจลงโทษจำเลยฐานลักทรัพย์ตามมาตรา 334 ได้ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 192วรรคสุดท้าย.

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1704/2530 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การกระทำที่เข้าข่ายลักทรัพย์ด้วยการใช้อุบาย แม้โจทก์ไม่ได้ฟ้อง แต่ศาลมีอำนาจลงโทษได้
จำเลยขอดูนาฬิกาที่ผู้เสียหายใส่อยู่ เมื่อผู้เสียหายถอดให้จำเลย จำเลยรับนาฬิกามาจากผู้เสียหายแล้ววิ่งหนี การกระทำของจำเลยไม่เป็นการใช้กิริยาฉกฉวยเอาทรัพย์ผู้เสียหายไป แต่เป็นการใช้อุบายให้ผู้เสียหายถอดนาฬิกาจากข้อมือส่งให้จำเลย การกระทำของจำเลยไม่เป็นความผิดฐานวิ่งราวทรัพย์แต่เป็นการลักทรัพย์ด้วยการใช้อุบาย จำเลยจึงมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 334
แม้โจทก์มิได้ขอให้ลงโทษจำเลยฐานลักทรัพย์ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 334 แต่การลักทรัพย์เป็นการกระทำอย่างหนึ่งซึ่งเป็นความผิดได้อยู่ในตัวเองและรวมอยู่ในความผิดฐานวิ่งราวทรัพย์ ศาลฎีกาจึงมีอำนาจลงโทษจำเลยฐานลักทรัพย์ตามมาตรา 334 ได้ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 192 วรรคสุดท้าย.

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1594/2530

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การลงโทษเกินคำขอในคดีลักทรัพย์ การพิจารณาความผิดตามมาตรา 335 ของประมวลกฎหมายอาญา
คำฟ้องมิได้บรรยายขอให้ลงโทษจำเลยฐานลักทรัพย์ที่ใช้หรือมีไว้เพื่อสาธารณประโยชน์ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 335(10) การที่ศาลล่างพิพากษาลงโทษจำเลยตาม ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 335(10)ด้วยเป็นการไม่ถูกต้องเพราะเกินคำขอ.(ที่มา-ส่งเสริม)

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1397/2530

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ขอบเขตคำฟ้องและบทกำหนดโทษในคดียาเสพติด: ศาลจำกัดการลงโทษตามที่ฟ้องและเลือกใช้บทหนัก
โจทก์บรรยายฟ้องว่าจำเลยทั้งสามร่วมกันมีเฮโรอีนไว้ในความครอบครองเพื่อจำหน่ายและจำหน่ายเฮโรอีนดังกล่าว ซึ่งมีความหมายว่าจำเลยทั้งสามจำหน่ายเฮโรอีนที่มีไว้ในครอบครองไปทั้งหมดแม้ทางพิจารณาจะปรากฏว่าจำเลยที่ 3 ได้เก็บซ่อนเฮโรอีนไว้ 1ถุง เพื่อจำหน่ายแก่ผู้มีชื่อในภายหลัง ก็ต้องถือว่าโจทก์มิได้ประสงค์จะให้ลงโทษในกรรมนี้ ศาลจะเพิกถอนลงโทษจำเลยที่ 3 โดยอาศัยข้อเท็จจริงดังกล่าวว่าเป็นผิดอีกกรรมหนึ่งด้วยไม่ได้ เพราะเป็นการเกินจากคำฟ้องตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 192
พระราชบัญญัติ ยาเสพติดให้โทษ พ.ศ. 2522 มาตรา 67 เป็นบทกำหนดโทษผู้กระทำผิดที่มียาเสพติดให้โทษประเภท 1 มีปริมาณไม่ถึง 20กรัมไว้ในครอบครองโดยไม่ได้รับอนุญาต เมื่อจำเลยทั้งสามมีเฮโรอีนไว้ในครอบครองจำนวน 4.436 กิโลกรัม ซึ่งตามมาตรา 15วรรคสองให้ถือว่าเป็นการมีไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่าย อันจะต้องถูกลงโทษตามมาตรา 66 อยู่แล้ว จึงไม่ต้องนำมาตรา 67 มาใช้ในการกำหนดโทษอีก.(ที่มา-ส่งเสริม)
of 210