พบผลลัพธ์ทั้งหมด 2,100 รายการ
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3685/2529 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การพรากผู้เยาว์เพื่ออนาจาร: โทษเบากว่าเมื่อผู้เยาว์เต็มใจ และการพิจารณาเหตุผลของผู้เสียหาย
ปัญหาที่ว่าโจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยฐานพรากผู้เยาว์โดยผู้เยาว์ไม่เต็มใจไปด้วยประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 318 ซึ่งเมื่อไม่เป็นความผิดตามมาตรา 318 นี้แล้วจะลงโทษจำเลยฐานพรากผู้เยาว์เพื่อการอนาจารโดยผู้เยาว์เต็มใจไปด้วยตามมาตรา319 วรรคแรกได้หรือไม่เป็นปัญหาข้อกฎหมายที่เกี่ยวกับความสงบเรียบร้อย ดังนี้ แม้ศาลชั้นต้นจะสั่งไม่รับฎีกาของจำเลยในข้อนี้แล้วก็ตามศาลฎีกาก็หยิบยกขึ้นวินิจฉัยให้ได้
โจทก์ฟ้องว่าจำเลยพรากผู้เยาว์ไปเพื่อการอนาจารโดยผู้เยาว์ไม่เต็มใจไปด้วย แต่เมื่อข้อเท็จจริงได้ความว่าจำเลยพรากผู้เยาว์ไปเพื่อการอนาจารโดยผู้เยาว์เต็มใจไปด้วย ซึ่งมีโทษเบากว่าก็ย่อมลงโทษจำเลยตามข้อเท็จจริงที่ได้ความได้
การที่ผู้เสียหายกับจำเลยไปดูภาพยนตร์ด้วยกันสองต่อสองและพากันมาบ้านจำเลย นอนอยู่ในห้องเดียวกันตลอดคืน จำเลยย่อมจะต้องกระทำอนาจารต่อผู้เสียหาย และจำเลยมิได้ตั้งใจจะอยู่กินกับผู้เสียหายฉันสามีภรรยา จำเลยจึงมีความผิดฐานพรากผู้เยาว์ไปเพื่อการอนาจารโดยผู้เยาว์เต็มใจไปด้วย
เหตุที่เกิดในคดีนี้ผู้เสียหายก็มีส่วนผิดด้วย เพราะมูลเหตุเป็นเรื่องที่ผู้เสียหายเป็นฝ่ายติดต่อกับจำเลยก่อนในฐานะเป็นแฟนเพลงและตามเนื้อความในจดหมายที่มีไปถึงจำเลยบางฉบับก็มีเนื้อความว่าจะไปบ้านจำเลยอยากเห็นขาอ่อนจำเลยเป็นการจูงใจจำเลยดังนี้จึงสมควรรอการลงโทษแก่จำเลยตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 56
โจทก์ฟ้องว่าจำเลยพรากผู้เยาว์ไปเพื่อการอนาจารโดยผู้เยาว์ไม่เต็มใจไปด้วย แต่เมื่อข้อเท็จจริงได้ความว่าจำเลยพรากผู้เยาว์ไปเพื่อการอนาจารโดยผู้เยาว์เต็มใจไปด้วย ซึ่งมีโทษเบากว่าก็ย่อมลงโทษจำเลยตามข้อเท็จจริงที่ได้ความได้
การที่ผู้เสียหายกับจำเลยไปดูภาพยนตร์ด้วยกันสองต่อสองและพากันมาบ้านจำเลย นอนอยู่ในห้องเดียวกันตลอดคืน จำเลยย่อมจะต้องกระทำอนาจารต่อผู้เสียหาย และจำเลยมิได้ตั้งใจจะอยู่กินกับผู้เสียหายฉันสามีภรรยา จำเลยจึงมีความผิดฐานพรากผู้เยาว์ไปเพื่อการอนาจารโดยผู้เยาว์เต็มใจไปด้วย
เหตุที่เกิดในคดีนี้ผู้เสียหายก็มีส่วนผิดด้วย เพราะมูลเหตุเป็นเรื่องที่ผู้เสียหายเป็นฝ่ายติดต่อกับจำเลยก่อนในฐานะเป็นแฟนเพลงและตามเนื้อความในจดหมายที่มีไปถึงจำเลยบางฉบับก็มีเนื้อความว่าจะไปบ้านจำเลยอยากเห็นขาอ่อนจำเลยเป็นการจูงใจจำเลยดังนี้จึงสมควรรอการลงโทษแก่จำเลยตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 56
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3685/2529
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
พรากผู้เยาว์เพื่ออนาจาร: ความยินยอมของผู้เยาว์มีผลต่อการลงโทษ
ปัญหาที่ว่าโจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยฐานพรากผู้เยาว์โดยผู้เยาว์ไม่เต็มใจไปด้วยประมวลกฎหมายอาญามาตรา318ซึ่งเมื่อไม่เป็นความผิดตามมาตรา318นี้แล้วจะลงโทษจำเลยฐานพรากผู้เยาว์เพื่อการอนาจารโดยผู้เยาว์เต็มใจไปด้วยตามมาตรา319วรรคแรกได้หรือไม่เป็นปัญหาข้อกฎหมายที่เกี่ยวกับความสงบเรียบร้อยดังนี้แม้ศาลชั้นต้นจะสั่งไม่รับฎีกาของจำเลยในข้อนี้แล้วก็ตามศาลฎีกาก็หยิบยกขึ้นวินิจฉัยให้ได้ โจทก์ฟ้องว่าจำเลยพรากผู้เยาว์ไปเพื่อการอนาจารโดยผู้เยาว์ไม่เต็มใจไปด้วยแต่เมื่อข้อเท็จจริงได้ความว่าจำเลยพรากผู้เยาว์ไปเพื่อการอนาจารโดยผู้เยาว์เต็มใจไปด้วยซึ่งมีโทษเบากว่าก็ย่อมลงโทษจำเลยตามข้อเท็จจริงที่ได้ความได้ การที่ผู้เสียหายกับจำเลยไปดูภาพยนตร์ด้วยกันสองต่อสองและพากันมาบ้านจำเลยนอนอยู่ในห้องเดียวกันตลอดคืนจำเลยย่อมจะต้องกระทำอนาจารต่อผู้เสียหายและจำเลยมิได้ตั้งใจจะอยู่กินกับผู้เสียหายฉันสามีภรรยาจำเลยจึงมีความผิดฐานพรากผู้เยาว์ไปเพื่อการอนาจารโดยผู้เยาว์เต็มใจไปด้วย เหตุที่เกิดในคดีนี้ผู้เสียหายก็มีส่วนผิดด้วยเพราะมูลเหตุเป็นเรื่องที่ผู้เสียหายเป็นฝ่ายติดต่อกับจำเลยก่อนในฐานะเป็นแฟนเพลงและตามเนื้อความในจดหมายที่มีไปถึงจำเลยบางฉบับก็มีเนื้อความว่าจะไปบ้านจำเลยอยากเห็นขาอ่อนจำเลยเป็นการจูงใจจำเลยดังนี้จึงสมควรรอการลงโทษแก่จำเลยตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา56.
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3440/2529 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ความชอบของโจทก์ในการฟ้องคดีเช็ค และความเพียงพอของฟ้องที่ไม่เคลือบคลุม
โจทก์บรรยายฟ้องว่า ผู้มีชื่อโอนเช็คพิพาทชำระหนี้โจทก์แต่ทางพิจารณาโจทก์นำสืบว่า จ. นำเช็คมาแลกเงินสดไปจากโจทก์การที่จ.นำเช็คพิพาทไปแลกเงินสดจากโจทก์ถือได้ว่าเช็คที่มอบให้โจทก์นั้นจ. มอบให้เพื่อชำระหนี้เงินที่ จ.เอาไปจากโจทก์ข้อเท็จจริงที่ปรากฏในการพิจารณาจึงมิได้แตกต่างกับข้อเท็จจริงที่กล่าวในฟ้อง
โจทก์กล่าวในฟ้องข้อ 1 ตอนท้ายว่า จำเลยเป็นผู้ลงลายมือชื่อสั่งจ่ายเงินในเช็คแล้วส่งมอบแก่ผู้มีชื่อ ต่อมาผู้มีชื่อได้โอนเช็คดังกล่าวเพื่อชำระหนี้แก่โจทก์ เห็นว่า ฟ้องโจทก์ดังกล่าวได้บรรยายถึงบุคคลที่เกี่ยวข้องพอสมควรเท่าที่จะให้จำเลยเข้าใจข้อหาได้ดีแล้ว ส่วนที่ว่าผู้มีชื่อโอนเช็คให้โจทก์เป็นใคร ชื่ออะไรนั้น เป็นรายละเอียดที่โจทก์จะนำสืบได้ในชั้นพิจารณา ฟ้องโจทก์ครบถ้วนตามที่ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 158(5) บัญญัติไว้หาใช่เป็นฟ้องเคลือบคลุมไม่
โจทก์กล่าวในฟ้องข้อ 1 ตอนท้ายว่า จำเลยเป็นผู้ลงลายมือชื่อสั่งจ่ายเงินในเช็คแล้วส่งมอบแก่ผู้มีชื่อ ต่อมาผู้มีชื่อได้โอนเช็คดังกล่าวเพื่อชำระหนี้แก่โจทก์ เห็นว่า ฟ้องโจทก์ดังกล่าวได้บรรยายถึงบุคคลที่เกี่ยวข้องพอสมควรเท่าที่จะให้จำเลยเข้าใจข้อหาได้ดีแล้ว ส่วนที่ว่าผู้มีชื่อโอนเช็คให้โจทก์เป็นใคร ชื่ออะไรนั้น เป็นรายละเอียดที่โจทก์จะนำสืบได้ในชั้นพิจารณา ฟ้องโจทก์ครบถ้วนตามที่ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 158(5) บัญญัติไว้หาใช่เป็นฟ้องเคลือบคลุมไม่
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3440/2529 เวอร์ชัน 3 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ความชอบของโจทก์ในการฟ้องคดีเช็ค และความครบถ้วนของฟ้องที่ไม่เคลือบคลุม
โจทก์บรรยายฟ้องว่า ผู้มีชื่อโอนเช็คพิพาทชำระหนี้โจทก์ แต่ทางพิจารณาโจทก์นำสืบว่า จ. นำเช็คมาแลกเงินสดไปจากโจทก์ การที่ จ.นำเช็คพิพาทไปแลกเงินสดจากโจทก์ถือได้ว่าเช็คที่มอบให้โจทก์นั้น จ. มอบให้เพื่อชำระหนี้เงินที่ จ.เอาไปจากโจทก์ ข้อเท็จจริงที่ปรากฏในการพิจารณาจึงมิได้แตกต่างกับข้อเท็จจริงที่กล่าวในฟ้อง
โจทก์กล่าวในฟ้องข้อ 1 ตอนท้ายว่า จำเลยเป็นผู้ลงลายมือชื่อสั่งจ่ายเงินในเช็คแล้วส่งมอบแก่ผู้มีชื่อ ต่อมาผู้มีชื่อได้โอนเช็คดังกล่าวเพื่อชำระหนี้แก่โจทก์ เห็นว่า ฟ้องโจทก์ดังกล่าวได้บรรยายถึงบุคคลที่เกี่ยวข้องพอสมควรเท่าที่จะให้จำเลยเข้าใจข้อหาได้ดีแล้ว ส่วนที่ว่าผู้มีชื่อโอนเช็คให้โจทก์เป็นใคร ชื่ออะไรนั้น เป็นรายละเอียดที่โจทก์จะนำสืบได้ในชั้นพิจารณา ฟ้องโจทก์ครบถ้วนตามที่ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญามาตรา 158 (5) บัญญัติไว้ หาใช่เป็นฟ้องเคลือบคลุมไม่
โจทก์กล่าวในฟ้องข้อ 1 ตอนท้ายว่า จำเลยเป็นผู้ลงลายมือชื่อสั่งจ่ายเงินในเช็คแล้วส่งมอบแก่ผู้มีชื่อ ต่อมาผู้มีชื่อได้โอนเช็คดังกล่าวเพื่อชำระหนี้แก่โจทก์ เห็นว่า ฟ้องโจทก์ดังกล่าวได้บรรยายถึงบุคคลที่เกี่ยวข้องพอสมควรเท่าที่จะให้จำเลยเข้าใจข้อหาได้ดีแล้ว ส่วนที่ว่าผู้มีชื่อโอนเช็คให้โจทก์เป็นใคร ชื่ออะไรนั้น เป็นรายละเอียดที่โจทก์จะนำสืบได้ในชั้นพิจารณา ฟ้องโจทก์ครบถ้วนตามที่ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญามาตรา 158 (5) บัญญัติไว้ หาใช่เป็นฟ้องเคลือบคลุมไม่
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3440/2529
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ความถูกต้องของฟ้องคดีเช็ค การเปลี่ยนแปลงข้อเท็จจริงในการพิจารณา และความครบถ้วนของรายละเอียดฟ้อง
โจทก์บรรยายฟ้องว่าผู้มีชื่อโอนเช็คพิพาทชำระหนี้โจทก์แต่ทางพิจารณาโจทก์นำสืบว่าจ.นำเช็คมาแลกเงินสดไปจากโจทก์การที่จ.นำเช็คพิพาทไปแลกเงินสดจากโจทก์ถือได้ว่าเช็คที่มอบให้โจทก์นั้นจ.มอบให้เพื่อชำระหนี้เงินที่จ.เอาไปจากโจทก์ข้อเท็จจริงที่ปรากฏในการพิจารณาจึงมิได้แตกต่างกับข้อเท็จจริงที่กล่าวในฟ้อง โจทก์กล่าวในฟ้องข้อ1ตอนท้ายว่าจำเลยเป็นผู้ลงลายมือชื่อสั่งจ่ายเงินในเช็คแล้วส่งมอบแก่ผู้มีชื่อต่อมาผู้มีชื่อได้โอนเช็คดังกล่าวเพื่อชำระหนี้แก่โจทก์เห็นว่าฟ้องโจทก์่าวได้บรรยายถึงบุคคลที่เกี่ยวข้อพอสมควรเท่าที่จะให้จำเลยเข้าใจข้อหาได้ดีแล้วส่วนที่ว่าผู้มีชื่อโอนเช็คให้โจทก์เป็นใครชื่ออะไรนั้นเป็นรายละเอียดที่โจทก์จะนำสืบได้ในชั้นพิจารณาฟ้องโจทก์ครบถ้วนตามที่ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญามาตรา158(5)บัญญัติไว้หาใช่เป็นฟ้องเคลือบคลุมไม่.
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2954/2529
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การเปลี่ยนแปลงฐานความผิดจากคำฟ้องเดิมตามข้อเท็จจริงที่ปรากฏในชั้นพิจารณา และขอบเขตความรับผิดของผู้สนับสนุนการกระทำผิด
โจทก์บรรยายฟ้องว่าจำเลยทั้งสามร่วมกันใช้อาวุธปืนยิงผู้ตายซึ่งเป็นความผิดที่มีการกระทำอย่างเดียวแต่ข้อเท็จจริงฟังได้ว่าจำเลยที่3ได้ชกต่อยทำร้ายร่างกายผู้ตายโดยมิได้กระทำร่วมกับจำเลยที่1จำเลยที่3กระทำโดยลำพังตนเองเป็นการกระทำที่เกิดขึ้นก่อนมีการกระทำผิดฐานฆ่าผู้ตายโจทก์มิได้บรรยายฟ้องถึงการกระทำของจำเลยที่3จึงลงโทษจำเลยที่3ฐานทำร้ายร่างกายไม่ได้เพราะไม่ใช่เรื่องที่โจทก์ประสงค์ให้ลงโทษตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญามาตรา192วรรคสี่ โจทก์กล่าวในฟ้องว่าจำเลยที่1ที่2เป็นผู้ร่วมกระทำผิดด้วยกันแต่ข้อเท็จจริงฟังได้ว่าจำเลยที่2มิได้ร่วมกับจำเลยที่1ยิงผู้ตายเป็นแต่จำเลยที่2ได้ร้องบอกจำเลยที่1ขึ้นว่าพี่พลยิงเลยอันเป็นการยุยงส่งเสริมให้จำเลยที่1กระทำผิดเป็นความผิดฐานเป็นผู้ใช้ให้กระทำความผิดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา84ดังนี้จะลงโทษจำเลยที่2ฐานร่วมกันฆ่าผู้ตายไม่ได้เพราะข้อเท็จจริงที่ปรากฏในทางพิจารณาเป็นเรื่องที่จำเลยที่2เป็นผู้ก่อให้จำเลยที่1กระทำผิดเป็นการแตกต่างกันในสาระสำคัญอย่างมากตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญามาตรา192วรรคสอง แต่การที่จำเลยที่2ร้องบอกจำเลยที่1ขึ้นว่าพี่พลยิงเลยเป็นการยุยงส่งเสริมให้จำเลยที่1กระทำความผิดเป็นความผิดฐานเป็นผู้สนับสนุนการกระทำผิดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา86ด้วยซึ่งศาลมีอำนาจลงโทษได้(วรรคนี้วินิจฉัยโดยที่ประชุมใหญ่ครั้งที่6/2529).
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2954/2529 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การเปลี่ยนแปลงฐานความผิดจากร่วมกันฆ่าเป็นสนับสนุนการกระทำผิด และการยกฟ้องเมื่อลงโทษตามฟ้องไม่ได้
โจทก์บรรยายฟ้องว่า จำเลยทั้งสามร่วมกันใช้อาวุธปืนยิงผู้ตายซึ่งเป็นความผิดที่มีการกระทำอย่างเดียว แต่ข้อเท็จจริงฟังได้ว่าจำเลยที่ 3 ได้ชกต่อยทำร้ายร่างกายผู้ตาย โดยมิได้กระทำร่วมกับจำเลยที่ 1 จำเลยที่ 3 กระทำโดยลำพังตนเองเป็นการกระทำที่เกิดขึ้นก่อนมีการกระทำผิดฐานฆ่าผู้ตาย โจทก์มิได้บรรยายฟ้องถึงการกระทำของจำเลยที่ 3 จึงลงโทษจำเลยที่ 3 ฐานทำร้ายร่างกายไม่ได้ เพราะไม่ใช่เรื่องที่โจทก์ประสงค์ให้ลงโทษตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 192 วรรคสี่
โจทก์กล่าวในฟ้องว่าจำเลยที่ 1 ที่ 2 เป็นผู้ร่วมกระทำผิดด้วยกันแต่ข้อเท็จจริงฟังได้ว่า จำเลยที่ 2 มิได้ร่วมกับจำเลยที่ 1 ยิงผู้ตายเป็นแต่จำเลยที่ 2 ได้ร้องบอกจำเลยที่ 1 ขึ้นว่าพี่พลยิงเลย อันเป็นการยุยงส่งเสริมให้จำเลยที่ 1 กระทำผิดเป็นความผิดฐานเป็นผู้ใช้ให้กระทำความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 84 ดังนี้จะลงโทษจำเลยที่ 2 ฐานร่วมกันฆ่าผู้ตายไม่ได้เพราะข้อเท็จจริงที่ปรากฏในทางพิจารณาเป็นเรื่องที่จำเลยที่ 2 เป็นผู้ก่อให้จำเลยที่ 1 กระทำผิดเป็นการแตกต่างกันในสาระสำคัญอย่างมากตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 192 วรรคสอง
แต่การที่จำเลยที่ 2 ร้องบอกจำเลยที่ 1 ขึ้นว่าพี่พลยิงเลย เป็นการยุยงส่งเสริมให้จำเลยที่ 1 กระทำความผิดเป็นความผิดฐานเป็นผู้สนับสนุนการกระทำผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา86 ด้วย ซึ่งศาลมีอำนาจลงโทษได้ (วรรคนี้วินิจฉัยโดยที่ประชุมใหญ่ครั้งที่ 6/2529)
โจทก์กล่าวในฟ้องว่าจำเลยที่ 1 ที่ 2 เป็นผู้ร่วมกระทำผิดด้วยกันแต่ข้อเท็จจริงฟังได้ว่า จำเลยที่ 2 มิได้ร่วมกับจำเลยที่ 1 ยิงผู้ตายเป็นแต่จำเลยที่ 2 ได้ร้องบอกจำเลยที่ 1 ขึ้นว่าพี่พลยิงเลย อันเป็นการยุยงส่งเสริมให้จำเลยที่ 1 กระทำผิดเป็นความผิดฐานเป็นผู้ใช้ให้กระทำความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 84 ดังนี้จะลงโทษจำเลยที่ 2 ฐานร่วมกันฆ่าผู้ตายไม่ได้เพราะข้อเท็จจริงที่ปรากฏในทางพิจารณาเป็นเรื่องที่จำเลยที่ 2 เป็นผู้ก่อให้จำเลยที่ 1 กระทำผิดเป็นการแตกต่างกันในสาระสำคัญอย่างมากตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 192 วรรคสอง
แต่การที่จำเลยที่ 2 ร้องบอกจำเลยที่ 1 ขึ้นว่าพี่พลยิงเลย เป็นการยุยงส่งเสริมให้จำเลยที่ 1 กระทำความผิดเป็นความผิดฐานเป็นผู้สนับสนุนการกระทำผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา86 ด้วย ซึ่งศาลมีอำนาจลงโทษได้ (วรรคนี้วินิจฉัยโดยที่ประชุมใหญ่ครั้งที่ 6/2529)
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2581/2529 เวอร์ชัน 3 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ฉ้อโกงเติมน้ำมัน: การกระทำหลอกลวงเพื่อเอาทรัพย์สินโดยไม่ชำระราคา ไม่เป็นความผิดฐานปล้นทรัพย์
จำเลยทั้งสองขี่รถจักรยานยนต์ซ้อนกันเข้าไปเติมน้ำมันเบนซินที่บ้านผู้เสียหายจำนวน 5 ลิตร เมื่อเติมน้ำมันเสร็จภริยาผู้เสียหายทวงเงินค่าน้ำมัน จำเลยที่ 2 ถือลูกกลม ๆ อยู่ในมือซึ่งฟังไม่ได้ว่าเป็นลูกระเบิดพูดว่า ไม่มีเงิน มีไอ้นี่เอาไหม ภริยาผู้เสียหายเข้าใจว่าเป็นลูกระเบิด จำเลยทั้งสองขี่รถจักรยานยนต์ออกไป การกระทำของจำเลยทั้งสองมีเจตนาหลอกลวงผู้เสียหายเพียงเพื่อจะเติมน้ำมันรถจักรยานยนต์โดยไม่ชำระราคาเท่านั้น การที่จำเลยที่ 2 ถือลูกกลม ๆ อยู่ในมือและพูดเช่นนั้น เป็นวิธีการที่จะใช้แสวงหาประโยชน์ที่มิควรได้โดยชอบด้วยกฎหมายเท่านั้น จึงเป็นความผิดฐานฉ้อโกงหาใช่เป็นความผิดฐานลักทรัพย์หรือปล้นทรัพย์ไม่
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2581/2529
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ฉ้อโกงเติมน้ำมัน: การกระทำหลอกลวงเพื่อหวังผลประโยชน์มิชอบ โดยไม่มีเจตนาปล้นทรัพย์
จำเลยทั้งสองขี่รถจักรยานยนต์ซ้อนกันเข้าไปเติมน้ำมันเบนซินที่บ้านผู้เสียหายจำนวน5ลิตรเมื่อเติมน้ำมันเสร็จภริยาผู้เสียหายทวงเงินค่าน้ำมันจำเลยที่2ถือลูกกลมๆอยู่ในมือซึ่งฟังไม่ได้ว่าเป็นลูกระเบิดพูดว่าไม่มีเงินมีไอ้นี่เอาไหมภริยาผู้เสียหายเข้าใจว่าเป็นลูกระเบิดจำเลยทั้งสองขี่รถจักรยานยนต์ออกไปการกระทำของจำเลยทั้งสองมีเจตนาหลอกลวงผู้เสียหายเพียงเพื่อจะเติมน้ำมันรถจักรยานยนต์โดยไม่ชำระราคาเท่านั้นการที่จำเลยที่2ถือลูกกลมๆอยู่ในมือและพูดเช่นนั้นเป็นวิธีการที่จะใช้แสวงหาประโยชน์ที่มิควรได้โดยชอบด้วยกฎหมายเท่านั้นจึงเป็นความผิดฐานฉ้อโกงหาใช่เป็นความผิดฐานลักทรัพย์หรือปล้นทรัพย์ไม่.
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2581/2529 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
เจตนาฉ้อโกงเติมน้ำมันไม่ชำระเงิน การถือวัตถุคล้ายระเบิดเพื่อหลอกลวง ถือเป็นความผิดฐานฉ้อโกง ไม่ใช่ลักทรัพย์หรือปล้นทรัพย์
จำเลยทั้งสองขี่รถจักรยานยนต์ซ้อนกันเข้าไปเติมน้ำมันเบนซินที่บ้านผู้เสียหายจำนวน5ลิตรเมื่อเติมน้ำมันเสร็จภริยาผู้เสียหายทวงเงินค่าน้ำมันจำเลยที่2ถือลูกกลมๆอยู่ในมือซึ่งภริยาผู้เสียหายเข้าใจว่าเป็นลูกระเบิดแต่ฟังไม่ได้แน่นอนว่าใช่หรือไม่พูดว่าไม่มีเงินมีไอ้นี่เอาไหมแล้วจำเลยทั้งสองก็ขี่รถจักรยานยนต์ออกไปการกระทำของจำเลยทั้งสองมีเจตนาหลอกลวงผู้เสียหายเพียงเพื่อจะเติมน้ำมันรถจักรยานยนต์โดยไม่ชำระราคาเท่านั้นการที่จำเลยที่2ถือลูกกลมๆอยู่ในมือและพูดเช่นนั้นเป็นวิธีการที่จะใช้แสวงหาประโยชน์ที่มิควรได้โดยชอบด้วยกฎหมายเท่านั้นจึงเป็นความผิดฐานฉ้อโกงหาใช่เป็นความผิดฐานลักทรัพย์หรือปล้นทรัพย์ไม่.