พบผลลัพธ์ทั้งหมด 2,100 รายการ
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1461/2522
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
สถานะลูกจ้างประจำไม่ใช่เจ้าพนักงาน แม้มีหน้าที่เก็บเงินค่าเช่าราชพัสดุ ยักยอกทรัพย์เป็นความผิดต่อทรัพย์
จำเลยเป็นลูกจ้างประจำสังกัดกรมธนารักษ์เบิกเงินค่าจ้างในงบงานจัดทรัพย์สินของรัฐกรมธนารักษ์ โดยได้รับค่าจ้างเป็นรายเดือน มีตำแหน่งเป็นพนักงานเก็บเงินที่มีผู้ชำระต่อราชพัสดุจังหวัดเท่านั้น จึงมิใช่เป็นข้าราชการที่ได้รับการบรรจุและแต่งตั้งตามกฎหมาย คำสั่งจ้างจำเลยระบุเพียงว่าให้จ้างจำเลยเข้าเป็นลูกจ้างประจำสังกัดกรมธนารักษ์ มิได้อ้างว่าแต่งตั้งจำเลยโดยอาศัยอำนาจของกฎหมายใดฉะนั้น แม้จำเลยจะมีหน้าที่เก็บเงินค่าเช่าอาคารราชพัสดุก็มีฐานะเป็นเพียงลูกจ้าง หาใช่เป็นเจ้าพนักงานตามกฎหมายไม่
เงินที่จำเลยยักยอกไปเป็นเงินที่จำเลยเก็บจากผู้เช่าอาคารราชพัสดุแล้ว ยังมิได้ส่งต่อทางราชการ จำเลยมีหน้าที่ครอบครองดูแลรักษาเงินนั้น และต้องส่งมอบให้แก่ทางราชการเงินที่จำเลยรับไว้จึงเป็นของราชการกรมธนารักษ์ไม่ใช่เป็นของประชาชนผู้ชำระค่าเช่าแต่ละราย เพราะกรมธนารักษ์ต้องรับผลในการกระทำของจำเลยในอันที่จะไปเรียกเก็บค่าเช่าจากผู้เช่าให้ชำระอีกไม่ได้ ผู้ว่าราชการจังหวัดซึ่งได้รับมอบอำนาจให้เป็นผู้ครอบครองและควบคุมดูแลที่ราชพัสดุแทนกรมธนารักษ์จึงเป็นผู้เสียหาย
สารสำคัญตามฟ้องของโจทก์ว่าจำเลยยักยอกเอาเงินไป เมื่อทางพิจารณาได้ความว่าจำเลยยักยอกเอาเงินไปจริงก็เป็นอันตรงกับคำฟ้องแล้ว ส่วนที่ตามฟ้องว่าจำเลยเป็นเจ้าพนักงานนั้น แม้ตามทางพิจารณาจะไม่ได้ความว่าจำเลยเป็นเจ้าพนักงาน ก็ยังถือไม่ได้ว่าคดีได้ความตามทางพิจารณาต่างกับฟ้อง และไม่ใช่เป็นเรื่องฟ้องเคลือบคลุมหรือฟ้องไม่สมบูรณ์
เงินที่จำเลยยักยอกไปเป็นเงินที่จำเลยเก็บจากผู้เช่าอาคารราชพัสดุแล้ว ยังมิได้ส่งต่อทางราชการ จำเลยมีหน้าที่ครอบครองดูแลรักษาเงินนั้น และต้องส่งมอบให้แก่ทางราชการเงินที่จำเลยรับไว้จึงเป็นของราชการกรมธนารักษ์ไม่ใช่เป็นของประชาชนผู้ชำระค่าเช่าแต่ละราย เพราะกรมธนารักษ์ต้องรับผลในการกระทำของจำเลยในอันที่จะไปเรียกเก็บค่าเช่าจากผู้เช่าให้ชำระอีกไม่ได้ ผู้ว่าราชการจังหวัดซึ่งได้รับมอบอำนาจให้เป็นผู้ครอบครองและควบคุมดูแลที่ราชพัสดุแทนกรมธนารักษ์จึงเป็นผู้เสียหาย
สารสำคัญตามฟ้องของโจทก์ว่าจำเลยยักยอกเอาเงินไป เมื่อทางพิจารณาได้ความว่าจำเลยยักยอกเอาเงินไปจริงก็เป็นอันตรงกับคำฟ้องแล้ว ส่วนที่ตามฟ้องว่าจำเลยเป็นเจ้าพนักงานนั้น แม้ตามทางพิจารณาจะไม่ได้ความว่าจำเลยเป็นเจ้าพนักงาน ก็ยังถือไม่ได้ว่าคดีได้ความตามทางพิจารณาต่างกับฟ้อง และไม่ใช่เป็นเรื่องฟ้องเคลือบคลุมหรือฟ้องไม่สมบูรณ์
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1461/2522 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
สถานะลูกจ้างประจำไม่ใช่เจ้าพนักงาน แม้มีหน้าที่เก็บเงินค่าเช่าราชพัสดุ ความผิดคือยักยอกทรัพย์
จำเลยเป็นลูกจ้างประจำสังกัดกรมธนารักษ์ เบิกเงินค่าจ้างในงบงานจัดทรัพย์สินของรัฐ กรมธนารักษ์ โดยได้รับค่าจ้างเป็นรายเดือน มีตำแหน่งเป็นพนักงานเก็บเงินที่มีผู้ชำระต่อราชพัสดุจังหวัดเท่านั้น จึงมิใช่เป็นข้าราชการที่ได้รับการบรรจุและแต่งตั้งตามกฎหมาย คำสั่งจ้างจำเลยระบุเพียงว่าให้จ้างจำเลยเข้าเป็นลูกจ้างประจำสังกัดกรมธนารักษ์ มิได้อ้างว่าแต่งตั้งจำเลย โดยอาศัยอำนาจของกฎหมายใด ฉะนั้น แม้จำเลยจะมีหน้าที่เก็บเงินค่าเช่าอาคารราชพัสดุก็มีฐานะเป็นเพียงลูกจ้าง หาใช่เป็นเจ้าพนักงานตามกฎหมายไม่
เงินที่จำเลยยักยอกไปเป็นเงินที่จำเลยเก็บจากผู้เช่าอาคาราชพัสดุแล้วยังมิได้ส่งต่อทางราชการ จำเลยมีหน้าที่ครอบครองดูแลรักษาเงินนั้น และต้องส่งมอบให้แก่ทางราชการเงินที่จำเลยรับไว้ จึงเป็นของราชการกรมธนารักษ์ ไม่ใช่เป็นของประชาชนผู้ชำระค่าเช่าแต่ละราย เพราะกรมธนารักษ์ต้องรับผลในการกระทำของจำเลยในอันที่จะไปเรียกเก็บค่าเช่าจากผู้เช่าให้ชำระอีกไม่ได้ ผู้ว่าราชการจังหวัด ซึ่งได้รับมองอำนาจให้เป็นผู้ครอบครองและควบคุมดูแลที่ราชพัสดุแทนกรมธนารักษ์จึงเป็นผู้เสียหาย
สารสำคัญตามฟ้องของโจทก์ว่าจำเลยยักยอกเอาเงินไป เมื่อทางพิจารณาได้ความว่าจำเลยยักยอกเอาเงินไปจริง ก็เป็นอันตรงกับคำฟ้อง ส่วนที่ตามว่าจำเลยเป็นเจ้าพนักงานนั้น แม้ตามทางพิจารณาจะไม่ได้ความว่าจำเลยเป็นเจ้าพนักงาน ก็ยังถือไม่ได้ว่าคดีได้ความตามทางพิจารณาต่างกับฟ้อง และไม่ใช่เป็นเรื่องฟ้องเคลือบคลุมหรือฟ้องไม่สมบูรณ์
เงินที่จำเลยยักยอกไปเป็นเงินที่จำเลยเก็บจากผู้เช่าอาคาราชพัสดุแล้วยังมิได้ส่งต่อทางราชการ จำเลยมีหน้าที่ครอบครองดูแลรักษาเงินนั้น และต้องส่งมอบให้แก่ทางราชการเงินที่จำเลยรับไว้ จึงเป็นของราชการกรมธนารักษ์ ไม่ใช่เป็นของประชาชนผู้ชำระค่าเช่าแต่ละราย เพราะกรมธนารักษ์ต้องรับผลในการกระทำของจำเลยในอันที่จะไปเรียกเก็บค่าเช่าจากผู้เช่าให้ชำระอีกไม่ได้ ผู้ว่าราชการจังหวัด ซึ่งได้รับมองอำนาจให้เป็นผู้ครอบครองและควบคุมดูแลที่ราชพัสดุแทนกรมธนารักษ์จึงเป็นผู้เสียหาย
สารสำคัญตามฟ้องของโจทก์ว่าจำเลยยักยอกเอาเงินไป เมื่อทางพิจารณาได้ความว่าจำเลยยักยอกเอาเงินไปจริง ก็เป็นอันตรงกับคำฟ้อง ส่วนที่ตามว่าจำเลยเป็นเจ้าพนักงานนั้น แม้ตามทางพิจารณาจะไม่ได้ความว่าจำเลยเป็นเจ้าพนักงาน ก็ยังถือไม่ได้ว่าคดีได้ความตามทางพิจารณาต่างกับฟ้อง และไม่ใช่เป็นเรื่องฟ้องเคลือบคลุมหรือฟ้องไม่สมบูรณ์
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1186/2522
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การลงโทษจำเลยเกินกว่าที่โจทก์ฟ้อง: ศาลฎีกายกฟ้องข้อหาเดิม หากศาลล่างลงโทษเกินกว่าที่ฟ้อง
โจทก์ฟ้องว่าจำเลยเรียกเงินจากผู้เสียหายโดยทุจริต มิได้ฟ้องว่าจำเลยไม่คืนไม้ที่จับไว้จากผู้เสียหายศาลไม่ฟังว่าจำเลยเรียกเงิน จึงลงโทษจำเลยเพราะไม่คืนไม้เป็นความผิดตาม ประมวลกฎหมายอาญามาตรา157 ไม่ได้
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 875/2522
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การปลอมเอกสารสัญญากู้เพื่อฟ้องร้องเรียกเงิน และเบิกความเท็จต่อศาล
กรอกข้อความลงในเอกสารที่มีลายมือชื่อของโจทก์โดยโจทก์มิได้ยินยอมให้กรอก แล้วนำเอกสารมาฟ้องเรียกเงินกู้เป็นการปลอมเอกสารตาม ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 264 วรรค 2 โจทก์ฟ้องว่าเหตุเกิดที่ตำบลมะขามหย่ง แต่โจทก์เบิกความว่าเหตุเกิดที่บ้านจำเลย ตำบลบางปลาสร้อย เมื่อจำเลยรับว่าเป็นผู้กรอกข้อความและตำบลทั้งสองอยู่อำเภอเดียวกัน ไม่ถือว่าจำเลยหลงข้อต่อสู้ ลงโทษจำเลยตามฟ้องได้
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 471/2522
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การสิ้นสุดความผิดตามกฎหมายเดิมหลังมีกฎหมายเฉพาะใหม่ และขอบเขตการลงโทษที่จำกัดตามคำฟ้อง
พระราชบัญญัติวิชาชีพเวชกรรม 2511 ยกเลิก พระราชบัญญัติควบคุมการประกอบโรคศิลปะ 2479 ในส่วนที่เกี่ยวกับเวชกรรมเหตุผลในการตรากฎหมายว่าด้วยวิชาชีพเวชกรรม เพื่อแยกควบคุมสาขาเวชกรรมโดยเฉพาะต่างหากจากการประกอบโรคศิลปะสาขาอื่นเมื่อปรากฏตามฟ้องว่าจำเลยเป็นผู้ขึ้นทะเบียนและรับใบอนุญาตให้ประกอบโรคศิลปะแผนโบราณ สาขาเวชกรรม แต่จำเลยกระทำการประกอบโรคศิลปะแผนปัจจุบันสาขาเวชกรรม จำเลยจึงไม่ได้ประกอบโรคศิลปะสาขาอื่นผิดไปจากสาขาที่จำเลยได้ขึ้นทะเบียนและรับใบอนุญาตตามพระราชบัญญัติควบคุมการประกอบโรคศิลปะ 2479 มาตรา 16 แก้ไขเพิ่มเติม (ฉบับที่ 8) พ.ศ.2511 มาตรา 6 ที่โจทก์ขอให้ลงโทษ การที่จำเลยประกอบโรคศิลปะแผนปัจจุบัน สาขาเวชกรรมชั้นหนึ่งโดยมิได้ขึ้นทะเบียนและรับใบอนุญาตเป็นความผิดตามพระราชบัญญัติวิชาชีพเวชกรรม พ.ศ.2511 มาตรา 21ซึ่งศาลจะลงโทษจำเลยตามบทกฎหมายนี้ไม่ได้เพราะเกินคำขอ ต้องยกฟ้อง
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 264/2522
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การสนับสนุนการกระทำความผิดฐานทำลายสาธารณสมบัติ แม้ฟ้องไม่ชัดแจ้ง ศาลลงโทษฐานสนับสนุนได้
ฟ้องว่าเป็นตัวการร่วมกระทำผิด ได้ความว่าเป็นผู้ใช้ให้คนเอารถแทรกเตอร์ไปขุดดินทำลายสาธารณสมบัติของแผ่นดินลงโทษฐานเป็นผู้ใช้ให้ทำผิดไม่ได้ แต่ลงโทษฐานเป็นผู้สนับสนุนได้ เป็นความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา360 ซึ่งเป็นบทหนักกว่าความผิดตาม ประมวลกฎหมายที่ดินมาตรา 9,108 อันเป็นความผิดกรรมเดียวกัน
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 36/2522
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ขอบเขตคำฟ้องอาญา: การลงโทษกรรมเดียวแต่ผิดหลายบท vs. ลงโทษทุกกรรมเป็นกระทง
โจทก์บรรยายฟ้องว่า จำเลยกับพวกบังอาจร่วมกันใช้ด้ามปืนยาวเป็นอาวุธ ตีทำร้ายร่างกายนายเจ๊กนายพวง และนายจันทร์หลายครั้งโดยเจตนาจะฆ่าคนทั้งสามให้ตาย ฯลฯ ขอให้ลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 288,80,288,83 เป็นฟ้องที่ขอให้ลงโทษจำเลยกรรมเดียวแต่ผิดกฎหมายหลายบทเท่านั้น ศาลจะลงโทษจำเลยทุกกรรมเป็นกระทงความผิดไม่ได้ เพราะเกินคำฟ้อง
ปัญหาเรื่องลงโทษเกินคำฟ้องเป็นปัญหาข้อกฎหมายเกี่ยวกับความสงบเรียบร้อย แม้คู่ความมิได้ยกขึ้นว่ากล่าวในชั้นฎีกา ศาลฎีกาก็มีอำนาจยกขึ้นวินิจฉัยเองได้
ศาลอุทธรณ์พิพากษาว่าจำเลยกระทำความผิด 3 กระทง ให้ลงโทษจำคุกกระทงละ 15 ปี 2 กระทง ส่วนอีกกระทงหนึ่งจำคุก 10 ปี รวมจำคุก 40 ปี ศาลฎีกาเห็นว่าตามคำฟ้องของโจทก์เป็นฟ้องที่ขอให้ลงโทษจำเลยกรรมเดียวแต่ผิดกฎหมายหลายบทเท่านั้น ดังนี้ แม้โจทก์จะมิได้ฎีกาขอให้เพิ่มเติมโทษจำเลย ศาลฎีกาจะพิพากษาให้ลงโทษจำเลยตามกฎหมายบทที่มีโทษหนักที่สุดให้จำคุกจำเลยมีกำหนด20 ปีได้ โดยไม่ถือว่าเป็นการพิพากษาเพิ่มเติมโทษจำเลยตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 212
ปัญหาเรื่องลงโทษเกินคำฟ้องเป็นปัญหาข้อกฎหมายเกี่ยวกับความสงบเรียบร้อย แม้คู่ความมิได้ยกขึ้นว่ากล่าวในชั้นฎีกา ศาลฎีกาก็มีอำนาจยกขึ้นวินิจฉัยเองได้
ศาลอุทธรณ์พิพากษาว่าจำเลยกระทำความผิด 3 กระทง ให้ลงโทษจำคุกกระทงละ 15 ปี 2 กระทง ส่วนอีกกระทงหนึ่งจำคุก 10 ปี รวมจำคุก 40 ปี ศาลฎีกาเห็นว่าตามคำฟ้องของโจทก์เป็นฟ้องที่ขอให้ลงโทษจำเลยกรรมเดียวแต่ผิดกฎหมายหลายบทเท่านั้น ดังนี้ แม้โจทก์จะมิได้ฎีกาขอให้เพิ่มเติมโทษจำเลย ศาลฎีกาจะพิพากษาให้ลงโทษจำเลยตามกฎหมายบทที่มีโทษหนักที่สุดให้จำคุกจำเลยมีกำหนด20 ปีได้ โดยไม่ถือว่าเป็นการพิพากษาเพิ่มเติมโทษจำเลยตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 212
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 36/2522 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การลงโทษจำเลยเกินคำฟ้องและขอบเขตการพิจารณาโทษในศาลฎีกา
โจทก์บรรยายฟ้องว่า จำเลยกับพวกบังอาจร่วมกันใช้ด้ามปืนยาวเป็นอาวุธตีทำร้ายร่างกายนายเจ๊ก นายพวง และนายจันทร์หลายครั้งโดยเจตนาจะฆ่าคนทั้งสามให้ตาย ฯลฯ ขอให้ลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 288, 80, 288, 83 เป็นฟ้องที่ขอให้ลงโทษจำเลยกรรมเดียวแต่ผิดกฎหมายหลายบทเท่านั้น ศาลจะลงโทษจำเลยทุกกรรมเป็นกระทงความผิดไม่ได้ เพราะเกินคำฟ้อง
ปัญหาเรื่องลงโทษเกินคำฟ้องเป็นปัญหาข้อกฎหมายเกี่ยวกับความสงบเรียบร้อยแม้คู่ความมิได้ยกขึ้นว่ากล่าวในชั้นฎีกา ศาลฎีกาก็มีอำนาจยกขึ้นวินิจฉัยเองได้
ศาลอุทธรณ์พิพากษาว่าจำเลยกระทำความผิด 3 กระทง ให้ลงโทษจำคุกกระทงละ 15 ปี 2 กระทง ส่วนอีกกระทงหนึ่งจำคุก 10 ปี รวมจำคุก 40 ปี ศาลฎีกาเห็นว่าตามคำฟ้องของโจทก์เป็นฟ้องที่ขอให้ลงโทษจำเลยกรรมเดียวแต่ผิดกฎหมายหลายบทเท่านั้น ดังนี้ แม้โจทก์จะมิได้ฎีกาขอให้เพิ่มเติมโทษจำเลย ศาลฎีกาจะพิพากษาให้ลงโทษจำเลยตามกฎหมายบทที่มีโทษหนักที่สุดให้จำคุกจำเลยมีกำหนด 20 ปีได้ โดยไม่ถือว่าเป็นการพิพากษาเพิ่มเติมโทษจำเลยตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 212
ปัญหาเรื่องลงโทษเกินคำฟ้องเป็นปัญหาข้อกฎหมายเกี่ยวกับความสงบเรียบร้อยแม้คู่ความมิได้ยกขึ้นว่ากล่าวในชั้นฎีกา ศาลฎีกาก็มีอำนาจยกขึ้นวินิจฉัยเองได้
ศาลอุทธรณ์พิพากษาว่าจำเลยกระทำความผิด 3 กระทง ให้ลงโทษจำคุกกระทงละ 15 ปี 2 กระทง ส่วนอีกกระทงหนึ่งจำคุก 10 ปี รวมจำคุก 40 ปี ศาลฎีกาเห็นว่าตามคำฟ้องของโจทก์เป็นฟ้องที่ขอให้ลงโทษจำเลยกรรมเดียวแต่ผิดกฎหมายหลายบทเท่านั้น ดังนี้ แม้โจทก์จะมิได้ฎีกาขอให้เพิ่มเติมโทษจำเลย ศาลฎีกาจะพิพากษาให้ลงโทษจำเลยตามกฎหมายบทที่มีโทษหนักที่สุดให้จำคุกจำเลยมีกำหนด 20 ปีได้ โดยไม่ถือว่าเป็นการพิพากษาเพิ่มเติมโทษจำเลยตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 212
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2554/2521
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การประกอบการขนส่งโดยไม่ได้รับอนุญาตตาม พ.ร.บ.การขนส่ง พ.ศ.2497
จำเลยจัดให้มีการเดินรถยนต์โดยสารที่เรียกว่ารถทัวร์โดยไม่ได้รับอนุญาตให้ประกอบการขนส่ง วิ่งรับส่งผู้โดยสารโดยเก็บค่าโดยสารจากต้นทางถึงปลายทางเป็นรายบุคคล มีกำหนดเวลาออกรถแน่นอนทุกวันเป็นประจำ ผู้โดยสารที่มากับรถยนต์จำเลยต่างมาธุรกิจส่วนตัว มิใช่มาท่องเที่ยว และมิได้มีการนำเที่ยวแต่อย่างใด พฤติการณ์แสดงชัดว่าจำเลยดำเนินกิจการรับขนส่งผู้โดยสารเพื่อสินจ้างธรรมดา หาใช่เป็นการจัดให้มีการทัศนาจรโดยจ้างเหมาเป็นเที่ยวๆ การกระทำของจำเลยจึงเป็นการประกอบการขนส่งเพื่อสินจ้างอันเป็นกิจการที่จะต้องได้รับอนุญาตจากนายทะเบียน ตามพระราชบัญญัติการขนส่ง พ.ศ.2497 มาตรา 10 เมื่อจำเลยไม่ได้รับอนุญาต ต้องมีความผิดตามมาตรา 59 ไม่ว่ารถยนต์ที่จำเลยนำมาใช้เพื่อกิจการของจำเลยดังกล่าวจะเป็นของจำเลยหรือของผู้อื่น
บทบัญญัติมาตรา 10 ว่าด้วยการประกอบการขนส่งโดยไม่ได้รับอนุญาตกับมาตรา 14 ว่าด้วยผู้ได้รับอนุญาตขนส่งสาธารณะทำการขนส่งแข่งขันในเส้นทางของผู้ได้รับใบอนุญาตการขนส่งประจำทางในเส้นทางนั้น เป็นกรรมความผิดแยกต่างหากจากกันเมื่อจำเลยเข้าใจข้อหาตามฟ้องและมิได้หลงข้อต่อสู้ แม้โจทก์จะฟ้องรวมกันมา ก็ไม่เป็นฟ้องเคลือบคลุม
โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษตามพระราชบัญญัติการขนส่งพ.ศ.2497มาตรา 10,14,59,60 ศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้อง โจทก์อุทธรณ์โต้แย้งเฉพาะข้อประกอบการขนส่งโดยมิได้รับอนุญาต และระบุเจาะจงขอให้ศาลอุทธรณ์ลงโทษจำเลยตามมาตรา 10,59 แสดงว่าโจทก์ไม่ติดใจอุทธรณ์โต้แย้งในข้อหาความผิดตามมาตรา 14,60 ศาลอุทธรณ์พิพากษาลงโทษจำเลยตามมาตรา 14,60 ไม่ได้ เป็นการเกินคำขอ
บทบัญญัติมาตรา 10 ว่าด้วยการประกอบการขนส่งโดยไม่ได้รับอนุญาตกับมาตรา 14 ว่าด้วยผู้ได้รับอนุญาตขนส่งสาธารณะทำการขนส่งแข่งขันในเส้นทางของผู้ได้รับใบอนุญาตการขนส่งประจำทางในเส้นทางนั้น เป็นกรรมความผิดแยกต่างหากจากกันเมื่อจำเลยเข้าใจข้อหาตามฟ้องและมิได้หลงข้อต่อสู้ แม้โจทก์จะฟ้องรวมกันมา ก็ไม่เป็นฟ้องเคลือบคลุม
โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษตามพระราชบัญญัติการขนส่งพ.ศ.2497มาตรา 10,14,59,60 ศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้อง โจทก์อุทธรณ์โต้แย้งเฉพาะข้อประกอบการขนส่งโดยมิได้รับอนุญาต และระบุเจาะจงขอให้ศาลอุทธรณ์ลงโทษจำเลยตามมาตรา 10,59 แสดงว่าโจทก์ไม่ติดใจอุทธรณ์โต้แย้งในข้อหาความผิดตามมาตรา 14,60 ศาลอุทธรณ์พิพากษาลงโทษจำเลยตามมาตรา 14,60 ไม่ได้ เป็นการเกินคำขอ
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2473/2521
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ความผิดพยายามฆ่าและการยิงปืนในเมือง: การพิเคราะห์เจตนาและองค์ประกอบความผิด
เมื่อได้ยินเสียงปืนดังทางบ้านจำเลย ผู้เสียหายโผล่หน้าต่างดู เห็นจำเลยเล็งปืนมาทางผู้เสียหาย ผู้เสียหายหลบเข้าภายใน ก็มีเสียงปืนดังมาอีก 1 นัด กระสุนถูกขอบหน้าต่างที่ผู้เสียหายโผล่ ออกไปดู หากไม่หลบเข้าไปกระสุนปืนอาจถูกผู้เสียหายได้จำเลยจึงต้องมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 288,80 จะอ้างว่ายิงปืนโดยความมึนเมา ไม่มีเจตนายิงเพื่อฆ่าผู้เสียหายนั้นไม่ได้
แม้คำขอท้ายฟ้องจะระบุประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 376 ไว้ด้วย แต่โจทก์มิได้กล่าวบรรยายมาในฟ้องถึงองค์ประกอบความผิดของมาตรา 376 ดังนี้ ศาลจะพิพากษาลงโทษจำเลยตามมาตรานี้ไม่ได้
แม้คำขอท้ายฟ้องจะระบุประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 376 ไว้ด้วย แต่โจทก์มิได้กล่าวบรรยายมาในฟ้องถึงองค์ประกอบความผิดของมาตรา 376 ดังนี้ ศาลจะพิพากษาลงโทษจำเลยตามมาตรานี้ไม่ได้