พบผลลัพธ์ทั้งหมด 2,100 รายการ
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2124/2520 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การวินิจฉัยนอกฟ้องอุทธรณ์ในคดีลักทรัพย์/รับของโจร ศาลฎีกายกคำพิพากษาศาลอุทธรณ์เพื่อย้อนสำนวน
โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยฐานลักทรัพย์หรือรับของโจรไก่ของกลาง ศาลชั้นต้นพิพากษาว่าจำเลยมีความผิดฐานลักทรัพย์ ส่วนข้อหาฐานรับของโจรให้ยกจำเลยอุทธรณ์ขอให้ยกฟ้องในความผิดฐานลักทรัพย์ ศาลอุทธรณ์ตั้งประเด็นวินิจฉัยว่าจำเลยรับของโจรไถ่ของกลางหรือไม่ แล้วพิพากษากลับให้ยกฟ้อง หาได้วินิจฉัยถึงความผิดฐานลักทรัพย์ตามอุทธรณ์ของจำเลยไม่ ดังนี้ เป็นการวินิจฉัยนอกฟ้องอุทธรณ์ จำเป็นที่จะต้องย้อนสำนวนเนื่องจากศาลอุทธรณ์มิได้ปฏิบัติให้ถูกต้องตามกระบวนพิจารณา และเพื่อให้การวินิจฉัยความผิดของจำเลยเป็นไปตามลำดับศาลตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 208(2), 225 ศาลฎีกาพิพากษาให้ยกคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ให้ศาลอุทธรณ์พิจารณาพิพากษาอุทธรณ์ของจำเลยใหม่ตามรูปคดี
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2124/2520
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การวินิจฉัยนอกฟ้องอุทธรณ์: ศาลต้องพิจารณาประเด็นที่จำเลยอุทธรณ์ตามลำดับชั้น
โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยฐานลักทรัพย์หรือรับของโจรไก่ของกลาง ศาลชั้นต้นพิพากษาว่าจำเลยมีความผิดฐานลักทรัพย์ส่วนข้อหาฐานรับของโจรให้ยกจำเลยอุทธรณ์ขอให้ยกฟ้องในความผิดฐานลักทรัพย์ศาลอุทธรณ์ตั้งประเด็นวินิจฉัยว่าจำเลยรับของโจรไก่ของกลางหรือไม่แล้วพิพากษากลับให้ยกฟ้องหาได้วินิจฉัยถึงความผิดฐานลักทรัพย์ตามอุทธรณ์ของจำเลยไม่ดังนี้เป็นการวินิจฉัยนอกฟ้องอุทธรณ์จำเป็นที่จะต้องย้อนสำนวนเนื่องจากศาลอุทธรณ์มิได้ปฏิบัติให้ถูกต้องตามกระบวนพิจารณาและเพื่อให้การวินิจฉัยความผิดของจำเลยเป็นไปตามลำดับศาลตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 208(2),225 ศาลฎีกาพิพากษาให้ยกคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ ให้ศาลอุทธรณ์พิจารณาพิพากษาอุทธรณ์ของจำเลยใหม่ตามรูปคดี
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2029/2520 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การพรากผู้เยาว์เพื่อการอนาจาร แม้ผู้เยาว์ยินยอมไปด้วย ศาลพิจารณาจากเจตนาของผู้กระทำ
การที่จำเลยพาผู้เสียหายอายุเพียง 16 ปี ไปด้วยความยินยอมของผู้เสียหายแล้วรับจะหาสินสอดไปให้บิดาผู้เสียหาย เมื่อหาเงินไม่ได้ จำเลยก็ให้ผู้เสียหายกลับบ้าน หลังจากนั้นเพียงคืนเดียวจำเลยก็ได้หญิงอื่นเป็นภริยา เช่นนี้แสดงว่าจำเลยไม่ได้ตั้งใจจะพาเอาผู้เสียหายไปเลี้ยงดูเป็นภริยาจริงจังแต่ประการใด ถือได้ว่าจำเลยพรากผู้เยาว์ไปเพื่อการอนาจาร อันเป็นความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 319
โจทก์ฟ้องว่า จำเลยพรากผู้เยาว์โดยผู้เยาว์ไม่เต็มใจไปด้วยมาตรา 318 แต่เมื่อข้อเท็จจริงได้ความว่าผู้เสียหายเต็มใจไปด้วยกับจำเลย อันเป็นกรณีตามมาตรา 319 ซึ่งมีโทษเบากว่า ศาลก็ย่อมลงโทษจำเลยตามมาตรา 319 ได้ เพราะการพรากผู้เยาว์ไปเพื่อการอนาจารจะโดยผู้เยาว์เต็มใจด้วยหรือไม่ก็ตาม ประมวลกฎหมายอาญาก็บัญญัติว่าเป็นความผิดอยู่แล้ว (อ้างฎีกาที่ 1927/2515)
โจทก์ฟ้องว่า จำเลยพรากผู้เยาว์โดยผู้เยาว์ไม่เต็มใจไปด้วยมาตรา 318 แต่เมื่อข้อเท็จจริงได้ความว่าผู้เสียหายเต็มใจไปด้วยกับจำเลย อันเป็นกรณีตามมาตรา 319 ซึ่งมีโทษเบากว่า ศาลก็ย่อมลงโทษจำเลยตามมาตรา 319 ได้ เพราะการพรากผู้เยาว์ไปเพื่อการอนาจารจะโดยผู้เยาว์เต็มใจด้วยหรือไม่ก็ตาม ประมวลกฎหมายอาญาก็บัญญัติว่าเป็นความผิดอยู่แล้ว (อ้างฎีกาที่ 1927/2515)
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2029/2520
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
พรากผู้เยาว์เพื่อการอนาจาร แม้ผู้เยาว์ยินยอม หากไม่ได้มีเจตนาเลี้ยงดูจริงจัง
การที่จำเลยพาผู้เสียหายอายุเพียง 16 ปีไปด้วยความยินยอมของผู้เสียหายแล้วรับจะหาสินสอดไปให้บิดาผู้เสียหาย เมื่อหาเงินไม่ได้จำเลยก็ให้ผู้เสียหายกลับไปบ้านหลังจากนั้นเพียงคืนเดียวจำเลยก็ได้หญิงอื่นเป็นภริยา เช่นนี้แสดงว่าจำเลยไม่ได้ตั้งใจจะพาเอาผู้เสียหายไปเลี้ยงดูเป็นภริยาจริงจังแต่ประการใด ถือได้ว่าจำเลยพรากผู้เยาว์ไปเพื่อการอนาจาร อันเป็นความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 319
โจทก์ฟ้องว่า จำเลยพรากผู้เยาว์โดยผู้เยาว์ไม่เต็มใจไปด้วยตามมาตรา 318 แต่เมื่อข้อเท็จจริงได้ความว่าผู้เสียหายเต็มใจไปด้วยกับจำเลย อันเป็นกรณีตามมาตรา 319 ซึ่งมีโทษเบากว่า ศาลก็ย่อมลงโทษจำเลยตามมาตรา 319 ได้ เพราะการพรากผู้เยาว์ไปเพื่อการอนาจารจะโดยผู้เยาว์เต็มใจไปด้วยหรือไม่ก็ตาม ประมวลกฎหมายอาญาก็บัญญัติว่าเป็นความผิดอยู่แล้ว (อ้างฎีกาที่ 1927/2515)
โจทก์ฟ้องว่า จำเลยพรากผู้เยาว์โดยผู้เยาว์ไม่เต็มใจไปด้วยตามมาตรา 318 แต่เมื่อข้อเท็จจริงได้ความว่าผู้เสียหายเต็มใจไปด้วยกับจำเลย อันเป็นกรณีตามมาตรา 319 ซึ่งมีโทษเบากว่า ศาลก็ย่อมลงโทษจำเลยตามมาตรา 319 ได้ เพราะการพรากผู้เยาว์ไปเพื่อการอนาจารจะโดยผู้เยาว์เต็มใจไปด้วยหรือไม่ก็ตาม ประมวลกฎหมายอาญาก็บัญญัติว่าเป็นความผิดอยู่แล้ว (อ้างฎีกาที่ 1927/2515)
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1484/2520
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ธุระจัดหาหญิงเพื่อการค้าประเวณี แม้หญิงยินยอม ก็เป็นความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา
โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยฐานพาหญิงไปเพื่อการอนาจารตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 283 แม้ทางพิจารณาจะฟังได้ว่า จำเลยรับเอาตัวหญิงเข้าไว้ในสถานการค้าประเวณีของจำเลยเพื่อให้ชายกระทำชำเราด้วยความสมัครใจยินยอมของหญิงเองอันเป็นความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 282 ศาลก็มีอำนาจตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 192 ที่จะลงโทษจำเลยตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 282 ฐานเป็นธุระจัดหาหญิงเพื่อให้สำเร็จความใคร่ของผู้อื่นได้
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1088/2520
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การวิ่งราวทรัพย์ vs. ลักทรัพย์: การแย่งทรัพย์สินและคำขู่ที่ไม่ชัดเจน
จำเลยลูบคลำตามเสื้อกางเกงผู้เสียหาย และพูดขอแว่นตาที่ผู้เสียหายสวมอยู่ ผู้เสียหายไม่ให้จำเลยแย่งแว่นตาไปจากผู้เสียหายผู้เสียหายแย่งคืนมาได้ จำเลยแย่งไปได้อีกแล้วพูดว่าถ้าเอ็งมีอาวุธกูแทงเสียแล้ว และเอามือล้วงใต้เสื้อตรงขอบกางเกงหน้าท้อง ดังนี้เป็นการวิ่งราวแว่นตา แต่ไม่เป็นการขู่ว่าจะทำร้าย โจทก์ไม่ได้บรรยายฟ้องว่าจำเลยฉกฉวยเอาทรัพย์ไปซึ่งหน้า ถือว่าโจทก์ไม่ประสงค์ให้ลงโทษฐานวิ่งราวทรัพย์ ศาลลงโทษแต่ฐานลักทรัพย์
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 973/2520 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การกระทำที่แสดงเจตนาทุจริตหลอกลวงผู้อื่นให้ส่งมอบทรัพย์สินแก่ตน เข้าข่ายความผิดฐานฉ้อโกง ไม่ใช่ลักทรัพย์
โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยฐานลักทรัพย์ ได้ความว่าจำเลยมาเอารถจักรยาน 2 ล้อ ของผู้เสียหายซึ่งฝากไว้กับนายจันทร์ อ้างว่าจะเอาไปให้ผู้เสียหาย นายจันทร์เห็นว่าจำเลยกับผู้เสียหายเป็นเพื่อนกันและมาฝากรถด้วยกันจึงมอบให้ไป แล้วจำเลยนำไปเป็นประโยชน์ของตน หาได้นำไปคืนให้ผู้เสียหายไม่ เห็นได้ว่าจำเลยมีเจตนาทุจริตมาแต่แรกแล้วหลอกลวงให้นายจันทร์หลงเชื่อด้วยการแสดงข้อความอันเป็นเท็จจนได้รถคันนั้นไปจากนายจันทร์ การกระทำของจำเลยจึงเป็นความผิดฐานฉ้อโกงตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 341 ไม่ใช่ความผิดฐานลักทรัพย์ เมื่อข้อเท็จจริงตามที่ปรากฏในการพิจารณาแตกต่างกับข้อเท็จจริงที่กล่าวในฟ้อง ศาลก็ต้องยกฟ้องตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 192 วรรคสอง
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 973/2520
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
เจตนาทุจริตในการหลอกลวงเอาทรัพย์สินไปจากผู้อื่น การกระทำเข้าข่ายความผิดฐานฉ้อโกงมากกว่าลักทรัพย์
โจทก์ฟ้องว่าขอให้ลงโทษจำเลยฐานลักทรัพย์ ได้ความว่าจำเลยมาเอารถจักรยาน 2 ล้อของผู้เสียหายซึ่งฝากไว้กับนายจันทร์อ้างว่าจะเอาไปให้ผู้เสียหายนายจันทร์เห็นว่าจำเลยกับผู้เสียหายเป็นเพื่อนกันและมาฝากรถด้วยกันจึงมอบให้ไปแล้วจำเลยนำไปเป็นประโยชน์ของตน หาได้นำไปคืนให้ผู้เสียหายไม้ เห็นได้ว่าจเลยมีเจตนาทุจริตมาแต่แรกแล้วหลอกลวงให้นายจันทร์หลงเชื่อด้วยการแสดงข้อความอันเป็นเท็จจนได้รถคันนั่นไปจากนายจันทร์ การกระทำของจำเลยจึงเป็นความผิดฐานฉ้อโกงตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 341 ไม่ใช่ความผิดฐานลักทรัพย์ เมื่อข้อเท็จจริงตามที่ปรากฏในการพิจารณาแตกต่างกับข้อเท็จจริงที่กล่าวในฟ้อง ศาลก็ต้องยกฟ้องตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 192 วรรคสอง
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 917/2520
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ข้อแตกต่างรายละเอียดในฟ้องกับข้อเท็จจริงที่พิสูจน์ได้ ศาลลงโทษตามข้อเท็จจริงได้
โจทก์ฟ้องว่าจำเลยใช้มือชกทำร้ายผู้เสียหายถูกที่ขอบตาขวาถึงบาดเจ็บ ทางพิจารณาได้ความว่า จำเลยชกต้นคอผู้เสียหายไม่ถึงบาดเจ็บและใช้สันขวานตีถูกที่ขอบตาขวาของผู้เสียหายถึงบาดเจ็บดังนี้เป็นเพียงข้อแตกต่างในรายละเอียดที่โจทก์ต้องกล่าวบรรยายในฟ้องอันเป็นข้อแตกต่างมิใช่ในข้อสารสำคัญและจำเลยมิได้หลงข้อต่อสู้เพราะจำเลยให้การปฏิเสธศาลย่อมลงโทษจำเลยตามข้อเท็จจริงที่ได้ความได้
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 917/2520 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ความแตกต่างของรายละเอียดการทำร้ายในฟ้อง กับข้อเท็จจริงที่ได้จากการพิจารณา ไม่ทำให้ศาลยกฟ้อง
โจทก์ฟ้องว่าจำเลยใช้มือชกทำร้ายผู้เสียหายถูกที่ขอบตาขวาถึงบาดเจ็บ ทางพิจารณาได้ความว่า จำเลยชกต้นคอผู้เสียหายไม่ถึงบาดเจ็บ และใช้สันขวานตีถูกที่ขอบตาของผู้เสียหายถึงบาดเจ็บ ดังนี้ เป็นเพียงข้อแตกต่างในรายละเอียดที่โจทก์ต้องกล่าวบรรยายในฟ้อง อันเป็นข้อแตกต่างมิใช่ในข้อสารสำคัญ และจำเลยมิได้หลงข้อต่อสู้เพราะจำเลยให้การปฏิเสธ ศาลย่อมลงโทษจำเลยตามข้อเท็จจริงที่ได้ความได้