พบผลลัพธ์ทั้งหมด 2,100 รายการ
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3146/2516 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การประกอบการยาสูบต้องปฏิบัติตามกฎหมายยาสูบ แม้จะอ้างว่าเป็นยาเส้นพันธุ์พื้นเมือง หรือเป็นยาเส้นผสม ก็ต้องปิดแสตมป์
บริเวณไร่ปลูกต้นยาสูบของจำเลยมีเพิงหมาแหงนกันแดดที่จำเลยปลูกไว้ เพื่อใช้เป็นที่ทำยาอัด ยาเส้น เพื่อการค้าเพิงหมาแหงนรวมตลอดถึงบริเวณสถานที่นี้จึงเป็นโรงอุตสาหกรรมยาสูบ ตามความในมาตรา 4 แห่งพระราชบัญญัติยาสูบ พ.ศ.2509
ยาเส้นทุกชนิดไม่ว่า จะเป็นยาเส้นจากพันธุ์เวอร์ยิเนียแท้หรือเป็นยาเส้นพันธุ์เวอร์ยิเนียผสมกับพันธ์ยาสูบพื้นเมือง หรือยาเส้นจากพันธุ์ยาสูบพื้นเมือง ล้วนต้องถือว่าเป็นยาเส้นตามความหมายในมาตรา 18 วรรคแรก ทั้งสิ้น จำเลยนำออกจากโรงอุตสาหกรรมยาสูบโดยไม่ปิดแสตมป์ยาสูบก่อน จึงมีความผิด ดังนั้น แม้โจทก์จะบรรยายฟ้องว่ายาเส้นนั้นเป็นพันธุ์เวอร์ยิเนีย แต่ทางพิจารณากลับได้ความว่าเป็นยาเส้นพันธุ์เวอร์ยิเนียผสมกับพันธุ์ยาสูบพื้นเมือง จะถือว่าข้อเท็จจริงที่ปรากฏในการพิจารณาแตกต่างกับข้อเท็จจริงดังกล่าวในฟ้องหรือเป็นเรื่องที่โจทก์ไม่ประสงค์ให้ลงโทษจำเลยหาได้ไม่
ยาเส้นทุกชนิดไม่ว่า จะเป็นยาเส้นจากพันธุ์เวอร์ยิเนียแท้หรือเป็นยาเส้นพันธุ์เวอร์ยิเนียผสมกับพันธ์ยาสูบพื้นเมือง หรือยาเส้นจากพันธุ์ยาสูบพื้นเมือง ล้วนต้องถือว่าเป็นยาเส้นตามความหมายในมาตรา 18 วรรคแรก ทั้งสิ้น จำเลยนำออกจากโรงอุตสาหกรรมยาสูบโดยไม่ปิดแสตมป์ยาสูบก่อน จึงมีความผิด ดังนั้น แม้โจทก์จะบรรยายฟ้องว่ายาเส้นนั้นเป็นพันธุ์เวอร์ยิเนีย แต่ทางพิจารณากลับได้ความว่าเป็นยาเส้นพันธุ์เวอร์ยิเนียผสมกับพันธุ์ยาสูบพื้นเมือง จะถือว่าข้อเท็จจริงที่ปรากฏในการพิจารณาแตกต่างกับข้อเท็จจริงดังกล่าวในฟ้องหรือเป็นเรื่องที่โจทก์ไม่ประสงค์ให้ลงโทษจำเลยหาได้ไม่
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3146/2516
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
โรงอุตสาหกรรมยาสูบ-การปิดแสตมป์: การนิยาม 'ยาเส้น' ครอบคลุมทุกพันธุ์ และการกระทำผิดตาม พ.ร.บ.ยาสูบ
บริเวณไร่ปลูกต้นยาสูบของจำเลยมีเพิงหมาแหงนกันแดดที่จำเลยปลูกไว้ เพื่อใช้เป็นที่ทำยาอัด ยาเส้น เพื่อการค้าเพิงหมาแหงนรวมตลอดถึงบริเวณสถานที่นี้ จึงเป็นโรงอุตสาหกรรมยาสูบ ตามความในมาตรา 4 แห่งพระราชบัญญัติยาสูบ พ.ศ.2509
ยาเส้นทุกชนิดไม่ว่า จะเป็นยาเส้นจากพันธุ์เวอร์ยิเนียแท้ หรือเป็นยาเส้นพันธุ์เวอร์ยิเนียผสมกับพันธ์ยาสูบพื้นเมือง หรือยาเส้นจากพันธุ์ยาสูบพื้นเมือง ล้วนต้องถือว่าเป็นยาเส้นตามความหมายในมาตรา 18 วรรคแรก ทั้งสิ้น จำเลยนำออกจากโรงอุตสาหกรรมยาสูบโดยไม่ปิดแสตมป์ยาสูบก่อนจึงมีความผิด ดังนั้น แม้โจทก์จะบรรยายฟ้องว่ายาเส้นนั้นเป็นพันธุ์เวอร์ยิเนีย แต่ทางพิจารณากลับได้ความว่าเป็นยาเส้นพันธุ์เวอร์ยิเนียผสมกับพันธุ์ยาสูบพื้นเมือง จะถือว่าข้อเท็จจริงที่ปรากฏในการพิจารณาแตกต่างกับข้อเท็จจริงดังกล่าวในฟ้อง หรือเป็นเรื่องที่โจทก์ไม่ประสงค์ให้ลงโทษจำเลยหาได้ไม่
ยาเส้นทุกชนิดไม่ว่า จะเป็นยาเส้นจากพันธุ์เวอร์ยิเนียแท้ หรือเป็นยาเส้นพันธุ์เวอร์ยิเนียผสมกับพันธ์ยาสูบพื้นเมือง หรือยาเส้นจากพันธุ์ยาสูบพื้นเมือง ล้วนต้องถือว่าเป็นยาเส้นตามความหมายในมาตรา 18 วรรคแรก ทั้งสิ้น จำเลยนำออกจากโรงอุตสาหกรรมยาสูบโดยไม่ปิดแสตมป์ยาสูบก่อนจึงมีความผิด ดังนั้น แม้โจทก์จะบรรยายฟ้องว่ายาเส้นนั้นเป็นพันธุ์เวอร์ยิเนีย แต่ทางพิจารณากลับได้ความว่าเป็นยาเส้นพันธุ์เวอร์ยิเนียผสมกับพันธุ์ยาสูบพื้นเมือง จะถือว่าข้อเท็จจริงที่ปรากฏในการพิจารณาแตกต่างกับข้อเท็จจริงดังกล่าวในฟ้อง หรือเป็นเรื่องที่โจทก์ไม่ประสงค์ให้ลงโทษจำเลยหาได้ไม่
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3116/2516
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การเพิ่มเติมฟ้องขอริบของกลาง: ศาลไม่สั่งคำร้องถือว่าไม่อนุญาต
โจทก์ยื่นคำร้องเพิ่มเติมฟ้องขอให้ริบของกลาง แต่ศาลชั้นต้นมิได้สั่งคำร้องนั้น จะถือว่าศาลอนุญาตให้เพิ่มเติมฟ้องแล้วไม่ได้ ศาลจึงไม่ริบของกลาง
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2808/2516
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การริบของกลางต้องมีคำขอในฟ้อง หากไม่มีศาลสั่งริบไม่ได้ แม้จำเลยรับสารภาพ
โจทก์ฟ้องว่า จำเลยใช้ปืนยิงพยายามฆ่าผู้เสียหายเจ้าพนักงานจับจำเลยได้ และได้ปืนลูกกระสุนปืน และปลอกกระสุนปืนที่จำเลยใช้ในการกระทำผิดเป็นของกลางขอให้ลงโทษ โดยมิได้ขอให้ริบของกลางด้วยเมื่อศาลพิพากษาลงโทษจำเลย แม้จำเลยจะได้เบิกความรับว่าปืนของกลางเป็นปืนที่ไม่มีเครื่องหมายทะเบียนและจำเลยมีไว้โดยไม่ได้รับอนุญาตศาลก็สั่งริบของกลางไม่ได้ เพราะตามคำฟ้องไม่มีคำขอให้ริบของกลาง
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2667/2516
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ความผิดฐานออกเช็คโดยไม่มีเงินในบัญชี แม้ข้อเท็จจริงต่างจากที่ฟ้องก็ไม่ถึงขนาดเป็นสาระสำคัญ
โจทก์บรรยายฟ้องว่า จำเลยสั่งจ่ายเช็คจำนวนเงินสูงกว่าที่มีในบัญชีแต่ทางพิจารณากลับได้ความว่า จำเลยไม่มีเงินในบัญชีเลยนั้น ข้อแตกต่างดังกล่าวนี้หาใช่ข้อสาระสำคัญในคดีไม่ ที่จำเลยปฏิเสธและนำสืบว่าได้ออกเช็คเพื่อเป็นประกัน เห็นได้ชัดว่าจำเลยไม่ได้หลงข้อต่อสู้ จำเลยจึงมีความผิดตามฟ้อง
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2658/2516
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การลงโทษเกินคำขอในคดีอาญา: ศาลต้องลงโทษตามฟ้องเท่านั้น แม้ข้อเท็จจริงหนักกว่า
โจทก์บรรยายฟ้องว่า จำเลยกับพวกร่วมกันปล้นทรัพย์โดยใช้อาวุธปืนขู่ ไม่ได้บรรยายฟ้องว่า จำเลยกับพวกใช้อาวุธปืนยิงแม้ข้อเท็จจริงจะได้ความว่า จำเลยกับพวกใช้อาวุธปืนยิงในการปล้นทรัพย์ด้วย ก็ลงโทษจำเลยฐานปล้นทรัพย์โดยใช้ปืนยิง ซึ่งมีอัตราโทษจำคุกหนักกว่าอัตราโทษจำคุกฐานปล้นทรัพย์ตามที่โจทก์บรรยายฟ้องไม่ได้เพราะเป็นการเกินคำขอและโจทก์มิได้กล่าวในฟ้อง
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2597/2516
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ความผิดพนักงานเบียดบังทรัพย์กับความผิดสนับสนุน: การลงโทษฐานเดียวตาม พ.ร.บ.พนักงานในองค์การ
คำฟ้องในตอนแรกกล่าวว่า ส. ซึ่งเป็นพนักงานขับรถยนต์ขององค์การ ร.ส.พ. ร่วมกับจำเลยและพวกลักเอาผ้าปูพื้นเต็นท์สนามของรัฐบาลสหรัฐอเมริกาซึ่งอยู่ในความดูแลรับผิดชอบขององค์การ ร.ส.พ. และบรรทุกมาในรถที่ ส. ขับ ในตอนต่อไปกล่าวว่า การกระทำของ ส.ดังกล่าวเป็นการเบียดบังทรัพย์ที่อยู่ในความครอบครองขององค์การ ร.ส.พ.ในขณะที่ ส. มีหน้าที่จัดการและรักษาทรัพย์นี้ตามหน้าที่ไปเป็นประโยชน์ของตนและผู้อื่นโดยทุจริต จำเลยกับพวกเป็นผู้สนับสนุนการกระทำของ ส. เบียดบังเอาทรัพย์นั้นไป กรณีเป็นเรื่องที่โจทก์บรรยายฟ้องประสงค์จะให้ลงโทษจำเลยตามพระราชบัญญัติว่าด้วยความผิดของพนักงานในองค์การหรือหน่วยงานของรัฐ พ.ศ. 2502มาตรา 4 ซึ่งมีอัตราโทษหนักนั่นเอง และในกรณีเช่นนี้การกระทำของจำเลยเป็นความผิดฐานสนับสนุนผู้กระทำความผิดตามพระราชบัญญัติว่าด้วยความผิดของพนักงานในองค์การหรือหน่วยงานของรัฐ พ.ศ. 2502เท่านั้น หาเป็นความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 335 ด้วยไม่
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2495/2516 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
องค์ประกอบความผิดข่มขืนใจ, หน่วงเหนี่ยวกักขัง และการลงโทษตามกระทงความผิดที่หนักที่สุด
โจทก์ฟ้องจำเลย 6 คนโดยมิได้กล่าวหาว่าจำเลยที่ 1, 2, 3, 4ได้ร่วมข่มขืนใจ หรือหน่วงเหนี่ยวกักขังผู้เสียหายให้ปราศจากเสรีภาพตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 309, 310 จึงลงโทษจำเลยที่ 1, 2, 3, 4ฐานนี้ไม่ได้ และตามฟ้องโจทก์ก็มิได้บรรยายว่าจำเลยที่ 5, 6 ได้ข่มขืนใจผู้เสียหายโดยทำให้เกิดความกลัวว่าจะเกิดอันตรายต่อชีวิต ร่างกายเสรีภาพ ชื่อเสียง หรือทรัพย์สินของผู้เสียหายหรือของผู้อื่น หรือโดยใช้กำลังประทุษร้าย อันเป็นองค์ประกอบความผิดตามมาตรา 309ก็ลงโทษจำเลยที่ 5, 6 ตามมาตรา 309 ไม่ได้เช่นกัน แม้จำเลยที่ 1, 3, 4, 5, 6 มิได้ฎีกา แต่เป็นเหตุในลักษณะคดีศาลฎีกามีอำนาจพิพากษาถึงจำเลยที่ 1, 3, 4, 5 และ 6 ได้ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 213 ประกอบด้วยมาตรา 225
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2495/2516
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การพิพากษาคดีข่มขืนกระทำชำเราและค้าประเวณี โดยพิจารณาจากองค์ประกอบความผิดตามฟ้อง
โจทก์ฟ้องจำเลย 6 คนโดยมิได้กล่าวหาว่าจำเลยที่ 1, 2, 3, 4ได้ร่วมข่มขืนใจ หรือหน่วงเหนี่ยวกักขังผู้เสียหายให้ปราศจากเสรีภาพตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 309, 310 จึงลงโทษจำเลยที่ 1,2,3,4ฐานนี้ไม่ได้ และตามฟ้องโจทก์ก็มิได้บรรยายว่าจำเลยที่ 5, 6 ได้ข่มขืนใจผู้เสียหายโดยทำให้เกิดความกลัว ว่าจะเกิดอันตรายต่อชีวิต ร่างกายเสรีภาพ ชื่อเสียง หรือทรัพย์สินของผู้เสียหายหรือของผู้อื่น หรือโดยใช้กำลังประทุษร้าย อันเป็นองค์ประกอบความผิดตามมาตรา 309ก็ลงโทษจำเลยที่ 5, 6 ตามมาตรา 309 ไม่ได้เช่นกัน แม้จำเลยที่ 1, 3, 4, 5, 6 มิได้ฎีกา แต่เป็นเหตุในลักษณะคดี ศาลฎีกามีอำนาจพิพากษาถึงจำเลยที่ 1, 3, 4, 5 และ 6 ได้ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 213 ประกอบด้วยมาตรา 225
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2456/2516
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การพิพากษาเกินคำขอในคดีปล้นทรัพย์และการลงโทษฐานมีอาวุธปืนโดยไม่ได้รับอนุญาต
โจทก์ฟ้องว่า จำเลยทั้งสามคนร่วมกันปล้นทรัพย์โดยใช้มีดและปืนขู่ผู้เสียหายและจำเลยที่ 1 มีปืนพกไม่มีทะเบียนไว้ในครอบครองหนึ่งกระบอกโดยไม่รับอนุญาต ขอให้ลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 340 และพระราชบัญญัติอาวุธปืนฯ ศาลชั้นต้นพิพากษาว่าจำเลยทั้งสามมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญาที่โจทก์ฟ้อง แต่ให้ลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 340 อันเป็นกระทงหนักที่สุด จำเลยทั้งสามอุทธรณ์ ศาลอุทธรณ์เห็นว่าความผิดฐานมีอาวุธปืนนั้นโจทก์ไม่นำสืบให้ชัด ลงโทษจำเลยที่ 1 ฐานนี้ไม่ได้พิพากษาแก้ให้ยกฟ้องสำหรับจำเลยที่ 1 เฉพาะข้อหานี้เสีย โจทก์และจำเลยที่ 1 ที่ 2 ฎีกา ศาลฎีกาเห็นว่ายังฟังไม่ได้ว่าจำเลยที่ 1 ใช้ปืนจี้ผู้เสียหาย และเห็นว่าโจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษเฉพาะจำเลยที่ 1ฐานมีอาวุธปืนโดยไม่รับอนุญาต แต่คำพิพากษาศาลชั้นต้นนั้นแปลได้ว่าจำเลยที่ 2 ที่ 3 มีความผิดฐานนี้ด้วย เป็นการพิพากษาเกินคำขอและศาลอุทธรณ์มิได้วินิจฉัยปัญหาข้อนี้ไว้ คำพิพากษาของศาลล่างยังคลาดเคลื่อนอยู่ ดังนี้ศาลฎีกาพิพากษาแก้เป็นว่า จำเลยทั้งสามมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 340 เท่านั้น