คำพิพากษาที่เกี่ยวข้องกับกฎหมาย
ป.วิ.พ. ม. 88 วรรคสาม

พบผลลัพธ์ทั้งหมด 23 รายการ

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1289/2552 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การรับพยานนอกกรอบเวลาที่กฎหมายกำหนด ศาลมีอำนาจได้หากมีเหตุผลแห่งความยุติธรรม และประเด็นสำคัญในคดี
จำเลยที่ 1 มิได้ยื่นบัญชีระบุพยานจนล่วงเลยกำหนดเวลาตามกฎหมาย หลังจากนั้นได้ยื่นบัญชีระบุพยานเพิ่มเติมรวม 2 ครั้ง โจทก์ยื่นคำแถลงคัดค้านบัญชีระบุพยานเพิ่มเติมครั้งที่ 2 ของจำเลยที่ 1 ศาลชั้นต้นมีคำสั่งตามรายงานกระบวนพิจารณาว่า จำเลยที่ 1 ยื่นบัญชีระบุพยานครั้งแรกเมื่อวันที่ 9 กรกฎาคม 2545 โดยเข้าใจว่า เป็นการยื่นบัญชีระบุพยานเพิ่มเติมครั้งที่ 1 โจทก์รับสำเนาแล้วไม่คัดค้าน ศาลอนุญาตและรับบัญชีระบุพยานจำเลยที่ 1 จึงถือว่าเป็นกรณีที่ศาลอนุญาตให้จำเลยที่ 1 ยื่นบัญชีระบุพยานเมื่อพ้นระยะเวลาตาม ป.วิ.พ. มาตรา 88 วรรคหนึ่ง อันเป็นการใช้ดุลพินิจรับบัญชีระบุพยานจำเลยที่ 1 ตาม ป.วิ.พ. มาตรา 88 วรรคสามแล้ว จำเลยที่ 1 จึงมีสิทธิยื่นบัญชีระบุพยานเพิ่มเติมครั้งที่สองได้ แม้โจทก์จะคัดค้าน และการยื่นบัญชีระบุพยานของจำเลยที่ 1 ไม่เป็นไปตามหลักเกณฑ์ที่บัญญัติไว้ใน ป.วิ.พ. มาตรา 88 วรรคหนึ่งและวรรคสอง แต่เมื่อคดีมีประเด็นต้องวินิจฉัยว่าโจทก์ครอบครองทำประโยชน์ในที่ดินพิพาทอย่างเป็นเจ้าของหรือในฐานะผู้เช่า ดังนี้ บัญชีระบุพยานของจำเลยที่ 1 ที่อ้างพยานบุคคลที่รู้เห็นเหตุการณ์ จึงนับว่าเป็นพยานหลักฐานอันสำคัญซึ่งเกี่ยวกับประเด็นข้อสำคัญในคดี การที่ศาลชั้นต้นมีคำสั่งรับบัญชีระบุพยานจำเลยที่ 1 และอนุญาตให้จำเลยที่ 1 นำพยานบุคคลตามบัญชีระบุพยานเข้าเบิกความ จึงเป็นกรณีที่ศาลชั้นต้นเห็นว่าเพื่อประโยชน์แห่งความยุติธรรมจำเป็นจะต้องสืบพยานหลักฐานอันสำคัญซึ่งเกี่ยวกับประเด็นข้อสำคัญในคดีโดยฝ่าฝืนต่อบทบัญญัติของกฎหมายดังกล่าว ศาลชั้นต้นมีอำนาจรับฟังพยานหลักฐานเช่นว่านั้นได้ตาม ป.วิ.พ. มาตรา 87 (2)

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 9000/2550

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การพิสูจน์ลายมือชื่อในสัญญาซื้อขายที่ดิน และการโอนสิทธิในที่ดิน การพิจารณาพยานหลักฐานเพื่อยืนยันความสมบูรณ์ของสัญญา
จำเลยที่ 2 ยื่นคำร้องขออ้างพยานเอกสารเพิ่มเติม บัญชีระบุพยานเพิ่มเติมครั้งที่ 3 ตาม ป.วิ.พ. มาตรา 88 วรรคสาม ซึ่งศาลชั้นต้นพิจารณาแล้วอนุญาตและสั่งให้จำเลยที่ 2 สำเนาให้แก่โจทก์ด้วยแล้ว เมื่อต้นฉบับเอกสารเป็นเอกสารซึ่งอยู่ในครอบครองของสำนักงานที่ดินจังหวัดเชียงใหม่ สาขาจอมทอง จึงไม่จำต้องส่งสำเนาเอกสารให้โจทก์ตาม ป.วิ.พ. มาตรา 90 (2)
การที่จำเลยที่ 2 ไม่ถามค้านพยานโจทก์เกี่ยวกับเอกสารไว้ก่อนนั้น เมื่อปรากฏว่าเอกสารทั้งสามฉบับนี้เป็นเอกสารที่ตัวโจทก์ได้ยื่นต่อเจ้าพนักงานที่ดินจังหวัดเชียงใหม่ สาขาจอมทอง ซึ่งจำเลยที่ 2 ได้ไปขอคัดสำเนาเอกสารดังกล่าวมายื่นแสดงต่อศาลเพื่อพิสูจน์ลายมือชื่อของโจทก์เท่านั้น ทั้งเรื่องการจำนองที่ดินพิพาทแล้วมีการไถ่ถอนโอนขายให้แก่จำเลยที่ 1 ก็มีหลักฐานปรากฏอยู่ในสารบัญจดทะเบียนหลังหนังสือรับรองการทำประโยชน์ (น.ส.3 ก.) แล้ว ดังนั้น การที่จำเลยที่ 2 ไม่ถามค้านพยานโจทก์ไว้ก่อนถึงเอกสารดังกล่าว ก็สามารถรับฟังเอกสารทั้งสามฉบับดังกล่าวได้ว่ามีอยู่จริงที่สำนักงานที่ดินจังหวัดเชียงใหม่ สาขาจอมทองได้

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 6006/2548

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การอ้างพยานหลักฐานเพิ่มเติมในชั้นอุทธรณ์ต้องเป็นไปตามขั้นตอนของกฎหมาย มิเช่นนั้นศาลไม่มีอำนาจรับพิจารณา
การที่ผู้ร้องอ้างเอกสารเพิ่มเติมโดยอ้างว่าเพิ่งค้นพบภายหลังจากที่ศาลชั้นต้นมีคำพิพากษาแล้วจะต้องทำเป็นคำร้องขออนุญาตอ้างพยานหลักฐานเช่นว่านั้นต่อศาลพร้อมกับบัญชีระบุพยานและสำเนาบัญชีระบุพยานดังกล่าว ตาม ป.วิ.พ. มาตรา 88 วรรคสาม ศาลจึงจะวินิจฉัยได้ว่าสมควรอนุญาตตามคำร้องหรือไม่ แต่คดีนี้ผู้ร้องเพียงอ้างระบุในอุทธรณ์ว่ามีสำเนาสูติบัตร ขอให้ศาลอุทธรณ์พิจารณาเอกสารดังกล่าวและมีคำพิพากษากลับคำพิพากษาของศาลชั้นต้น โดยมิได้ยื่นคำร้องขออนุญาตอ้างพยานหลักฐานดังกล่าวและมิได้ยื่นบัญชีระบุพยานพร้อมสำเนา ศาลอุทธรณ์จึงไม่มีอำนาจอนุญาตให้ผู้ร้องอ้างพยานเพิ่มเติมในชั้นอุทธรณ์ได้ ทำให้คดีไม่มีพยานหลักฐานใหม่ ไม่มีเหตุที่จะย้อนสำนวนไปให้ศาลชั้นต้นพิจารณาพิพากษาใหม่ ตาม ป.วิ.พ. มาตรา 240 (2)

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1379/2546

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ สัญญาค้ำประกัน-การถอนเงินฝาก: สิทธิถอนเงินฝากเมื่อหนี้ลดลง, การยึดถือสมุดคู่ฝากเป็นหลักประกัน
ความในสัญญาข้อ 8 มีว่า เพื่อเป็นหลักประกัน ผู้ค้ำประกันยอมมอบสมุดคู่ฝากประจำตามข้อ 6 และข้อ 7 ให้ธนาคารยึดถือไว้เป็นหลักประกันตลอดไปจนกว่าธนาคารจะได้รับชำระหนี้จากผู้กู้ครบถ้วน มีความหมายว่าธนาคารจำเลยเพียงยึดถือสมุดคู่ฝากประจำไว้เป็นประกัน ไม่ให้โจทก์ผู้ค้ำประกันถอนเงินโดยผิดเงื่อนไขตามสัญญาข้อ 7 เมื่อสัญญาข้อ 7 ระบุให้โจทก์ถอนเงินฝากได้ต่อเมื่อจำนวนหนี้ที่ผู้กู้เป็นหนี้ธนาคารลดลงเหลือไม่เกินราคาของหลักทรัพย์ที่ธนาคารประเมิน ซึ่งข้อเท็จจริงยุติว่าหนี้ของผู้กู้ลดลงดังกล่าวแล้ว ดังนั้น จำเลยจึงไม่อาจกันเงินฝากของโจทก์ไว้จนกว่าลูกหนี้ของจำเลยชำระหนี้หมดสิ้น
จำเลยทราบดีอยู่แล้วว่ามีพยานเอกสารอะไรบ้างที่จะต้องนำมาสืบเพื่อประโยชน์แก่คดีของตน และจำเลยสามารถยื่นบัญชีระบุพยานดังกล่าวได้ การที่จำเลยต้องให้พนักงานของจำเลยค้นหาเอกสารหลายครั้งจึงพบนั้น ย่อมถือเป็นความบกพร่องล่าช้าของพนักงานจำเลย อันเป็นเรื่องภายในของจำเลยเอง จึงไม่ใช่กรณีตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 88 วรรคสาม และตามคำให้การของจำเลยก็ไม่ปรากฏว่ามีประเด็นอันเกี่ยวกับเอกสารดังกล่าวอันจะถือว่าเป็นพยานหลักฐานอันสำคัญเกี่ยวกับประเด็นข้อสำคัญในคดีซึ่งจะต้องนำสืบเพื่อประโยชน์แห่งความยุติธรรมตามความในประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 87(2) กรณีจึงไม่มีเหตุที่จะให้รับบัญชีระบุพยานเพิ่มเติมดังกล่าวของจำเลยได้ตามกฎหมาย

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4331/2544

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การระบุพยานเพิ่มเติมต้องอยู่ในกรอบเวลาและแสดงเหตุผลสมควร กรณีพยานอยู่ในความครอบครองจำเลย
จำเลยยื่นบัญชีระบุพยานเพิ่มเติมเกินกว่าระยะเวลาที่กฎหมายกำหนด และไม่ได้แสดงให้เห็นว่ามีเหตุอันสมควร ที่จำเลยไม่สามารถทราบได้ว่าต้องนำพยานบุคคลและพยานเอกสารดังอ้างมาสืบเพื่อประโยชน์แก่จำเลย หรือไม่ทราบว่า พยานหลักฐานดังกล่าวได้มีอยู่ หรือมีเหตุอันสมควรอื่นใด ในเมื่อพยานบุคคลที่จำเลยอ้างระบุเพิ่มเติมเป็นพนักงานของจำเลยเอง และพยานเอกสารที่อ้างก็เป็นเอกสารที่อยู่ในความครอบครองของจำเลยซึ่งจำเลยควรได้รู้อยู่ก่อนแล้ว กรณีจึงไม่มีเหตุที่ร้องขอระบุพยานเพิ่มเติมตาม ป.วิ.พ. มาตรา 88 วรรคสาม

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 963/2537 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การขอระบุพยานเพิ่มเติมหลังสืบพยานหลักฐานแล้ว และข้อจำกัดการฎีกาในข้อเท็จจริงเมื่อราคาทรัพย์สินไม่สูง
ศาลอุทธรณ์ภาค 2 มีคำสั่งไม่อนุญาตให้จำเลยระบุพยานเพิ่มเติมว่า จำเลยมิได้ระบุเหตุที่ไม่สามารถทราบว่าต้องนำพยานหลักฐานที่มีอยู่แล้วบางอย่างมาสืบเพื่อประโยชน์ของตนตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 88 วรรคสี่ทั้ง ๆ ที่จำเลยอ้างว่าตนเป็นเจ้าของที่พิพาทและจำเลยก็มีทนายความดำเนินคดีแล้ว การที่จำเลยฎีกาว่า จำเลยไม่ทราบว่าต้องนำพยานหลักฐานที่มีอยู่แล้วบางอย่างมาสืบประโยชน์ของตนและพยานหลักฐานบางอย่างก็มิเคยทราบว่ามีอยู่ ทั้งนี้เพราะทนายความคนเดิมมิได้ระบุอ้างว่าไว้ เมื่อทนายความคนใหม่เข้ารับหน้าที่จำเลยเพิ่งทราบว่าเป็นพยานหลักฐานอันสำคัญที่เป็นความจำเป็นนั้น เป็นฎีกาในข้อเท็จจริงจึงต้องห้ามตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 248 วรรคหนึ่ง

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1512/2535

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ผลคำพิพากษาคดีอาญาผูกพันคดีแพ่งเกี่ยวเนื่องกัน ประเด็นความประมาทเป็นเหตุให้เกิดเพลิงไหม้
คดีแพ่งที่โจทก์ฟ้องจำเลยทั้งสามในมูลละเมิด เป็นการกระทำเดียวกันกับคดีอาญาที่อัยการเป็นโจทก์ฟ้องจำเลยที่ 2 ในข้อหาความผิดต่อชีวิต ประมาท และก่อให้เกิดเพลิงไหม้ การที่จำเลยที่ 1ที่ 2 ในคดีแพ่ง ยื่นคำร้องขออ้างคำพิพากษาฎีกาที่ 4531/2532 ของคดีอาญาดังกล่าวเป็นพยานหลักฐานในชั้นฎีกา เมื่อข้อเท็จจริง ปรากฏว่าศาลชั้นต้นพิพากษาคดีแพ่งเมื่อวันที่ 15 พฤศจิกายน 2528 ส่วนคำพิพากษาฎีกาที่ 4531/2532 ได้อ่านให้คู่ความฟังเมื่อวันที่ 19 มีนาคม 2533 จำเลยที่ 1ที่ 2 ในคดีแพ่ง จึงไม่อาจอ้าง คำพิพากษาฎีกาดังกล่าวได้ก่อนนั้น และปรากฏว่าจำเลยที่ 1 ที่ 2 ได้เคยยื่นคำร้องขออ้างคำพิพากษาฎีกาที่4531/2532 ต่อศาลอุทธรณ์ มาแล้ว แต่ศาลอุทธรณ์มิได้มีคำสั่งอย่างใดดังนี้เห็นว่า คำพิพากษาฎีกาที่ 4531/2532 เป็นพยานหลักฐานอันสำคัญซึ่งเกี่ยวกับประเด็น ในคดี เพื่อประโยชน์แห่งความยุติธรรม ศาลฎีกามีอำนาจรับ พยานหลักฐานดังกล่าวเข้าสู่สำนวนความในชั้นฎีกาได้ พนักงานอัยการเคยเป็นโจทก์ฟ้องคดีอาญากล่าวหาจำเลยที่ 2 เป็นจำเลย ว่ากระทำโดยประมาทเป็นเหตุให้เกิดเพลิงไหม้ ซึ่งมี มูลคดีเป็นการกระทำเดียวกันกับคดีแพ่งมาก่อน คดีของโจทก์ใน คดีแพ่งจึงเป็นคดีแพ่งเกี่ยวเนื่องกับคดีอาญา เมื่อผลของคำพิพากษา คดีส่วนอาญา มีคำวินิจฉัยว่า จำเลยที่ 2 มิได้กระทำประมาท เป็นเหตุให้เกิดเพลิงไหม้และคดีถึงที่สุดไปแล้ว ข้อเท็จจริง ดังกล่าวศาลในคดีส่วนแพ่งจึงต้องถือตามที่ ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 46 บัญญัติไว้.

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 5306/2534

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การฟ้องเรียกค่าจ้างตามสัญญา แม้จำเลยอ้างไม่ได้รับประโยชน์จากโควตา ก็ยังต้องรับผิดตามสัญญา
ตามคำร้องขอระบุพยานเพิ่มเติมภายหลังสืบพยานโจทก์เสร็จแล้วของจำเลยที่ 1 และที่ 2 อ้างว่าพยานที่จะขอสืบเพิ่มเติมเป็นพยานสำคัญเพื่อแสดงว่าจำเลยที่ 1 และที่ 2 มีผลประโยชน์เกี่ยวข้องกับโควตาส่งออกตามที่โจทก์ฟ้องหรือไม่ ตามข้ออ้างดังกล่าวเป็นที่เห็นได้ว่ามิใช่เป็นพยานหลักฐานที่จะชี้ขาดข้อสำคัญแห่งประเด็น เพราะโจทก์ฟ้องเรียกค่าตอบแทนหรือค่าจ้างจากสัญญาที่โจทก์ได้จัดการให้จำเลยแล้ว ส่วนจำเลยจะได้รับประโยชน์หรือไม่ จึงมิใช่ข้อสำคัญแห่งประเด็น ศาลล่างทั้งสองให้ยกคำร้องจำเลยที่ 1 และที่ 2ชอบแล้ว
ส่วนที่จำเลยที่ 1 และที่ 2 อ้างว่าพยานดังกล่าวเป็นพยานสำคัญเพราะจะได้สนับสนุนให้เห็นว่าจำเลยที่ 2 มิได้รู้เห็นขณะทำสัญญานั้นจำเลยที่ 1 และที่ 2 ก็มิได้กล่าวอ้างมาแต่ในศาลล่างทั้งสอง เพิ่งจะมากล่าวอ้างในชั้นฎีกาศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัย
ศาลชั้นต้นฟังข้อเท็จจริงว่าจำเลยที่ 1 โดยจำเลยที่ 2 ได้เชิดจำเลยที่ 3 เป็นตัวแทน ในชั้นอุทธรณ์จำเลยที่ 1 และที่ 2 ไม่ได้อุทธรณ์โต้แย้งประเด็นข้อนี้ต่อศาลอุทธรณ์โดยตรง คงอุทธรณ์แต่เพียงว่าโจทก์ไม่ได้ฟ้องเรื่องตัวแทน การที่ศาลชั้นต้นวินิจฉัยว่าจำเลยที่ 1 โดยจำเลยที่ 2 ได้เชิดจำเลยที่ 3เป็นตัวแทนในการทำสัญญา จึงยังคลาดเคลื่อนต่อกฎหมาย ซึ่งศาลอุทธรณ์ก็ได้วินิจฉัยข้ออุทธรณ์ของจำเลยที่ 1 และที่ 2 ดังกล่าวว่าตามคำฟ้องโจทก์ถือได้ว่าเป็นการฟ้องว่าจำเลยที่ 1 โดยจำเลยที่ 2 ได้เชิดจำเลยที่ 3 เป็นตัวแทนแล้วข้อฎีกาของจำเลยที่ 1 และที่ 2 ในข้อนี้จึงเป็นฎีกาในข้อเท็จจริงที่มิได้ว่ากันมาในศาลอุทธรณ์ ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัย
โจทก์ฟ้องว่าจำเลยที่ 1 เป็นนิติบุคคลประเภทห้างหุ้นส่วนจำกัด จำเลยที่ 2 เป็นหุ้นส่วนผู้จัดการ แต่จำเลยที่ 3 อ้างว่าเป็นหุ้นส่วนผู้จัดการของจำเลยที่ 1 ได้ทำสัญญากับโจทก์ ให้โจทก์ช่วยยื่นคำขอและวิ่งเต้นขออนุญาตโควตาสิ่งทอเพื่อส่งไปจำหน่ายยังประเทศสหรัฐอเมริกา โดยให้ค่าตอบแทนโหลละ30 บาท โจทก์ได้จัดการติดต่อให้จำเลยที่ 1 ได้รับโควตา จึงเรียกเงินค่าตอบแทนเป็นการฟ้องเรียกเงินค่าตอบแทนหรือค่าจ้างในการที่โจทก์ได้จัดการให้จำเลยที่ 1ตามสัญญา เมื่อโจทก์ได้ปฏิบัติตามสัญญาเรียบร้อยแล้วย่อมมีสิทธิจะได้รับเงินค่าตอบแทนตามสัญญา
การที่จำเลยที่ 1 อ้างว่าไม่ได้รับประโยชน์จากโควตา และเรียกเก็บเงินจากการขายสินค้าไม่ได้ ทั้งไม่เคยนำเงินตราจากต่างประเทศเข้ามาในประเทศ แม้จะเป็นจริงอย่างจำเลยที่ 1 และที่ 2 อ้างก็ไม่ทำให้พ้นความรับผิด เพราะโจทก์ได้ดำเนินการตามสัญญาให้เรียบร้อยแล้ว ข้ออ้างของจำเลยที่ 1และที่ 2 ดังกล่าวอาจเป็นข้อสนับสนุนว่าจำเลยที่ 1 โดยจำเลยที่ 2 ไม่ได้เชิดจำเลยที่ 3 ให้เป็นตัวแทนเท่านั้น แต่ข้อเท็จจริงนี้ศาลล่างรับฟังเป็นยุติว่าจำเลยที่ 1 โดยจำเลยที่ 2 ได้เชิดจำเลยที่ 3 เป็นตัวแทนทำสัญญากับโจทก์ตามที่โจทก์ฟ้อง จำเลยที่ 1 และที่ 2 จึงไม่พ้นความรับผิดตามสัญญา
การที่โจทก์กับฝ่ายจำเลยได้ตกลงทำสัญญาโดยถ้อยคำในสัญญาใช้คำว่าช่วยยื่นคำขอและวิ่งเต้นขออนุญาตโควตาสิ่งทอเพื่อส่งไปจำหน่ายยังประเทศสหรัฐอเมริกา ซึ่งตัวโจทก์เบิกความว่า ค่าวิ่งเต้นหมายถึงค่าใช้จ่ายในการดำเนินการติดต่อกับเจ้าหน้าที่กรมการค้าต่างประเทศ เช่น ค่ารถ ค่าเสียเวลา เจ้าหน้าที่ไม่เคยเรียกเงินจากโจทก์ ส่วนจำเลยไม่มีพยานสืบให้เห็นว่าเป็นการให้วิ่งเต้นเพื่อให้สินบนแก่เจ้าพนักงานแต่อย่างไร เพียงแต่ในการดำเนินการยื่นคำขอโควตาให้จำเลยที่ 1 โจทก์ได้ให้ ก.ซึ่งเป็นลูกจ้างของกรมการค้าต่างประเทศช่วยติดตามดูแลเรื่องให้และจะแบ่งค่านายหน้าให้ การกระทำของ ก.ทางกรมการค้าต่างประเทศเห็นว่าเป็นการละทิ้งหน้าที่ ประพฤติตนเป็นตัวแทนและนายหน้าให้บุคคลภายนอกโดยมีสินจ้าง เป็นการประพฤติตนไม่เหมาะสมจึงให้ออกจากราชการย่อมเห็นได้ว่า ก.เป็นเพียงลูกจ้างไม่มีอำนาจและหน้าที่ในการพิจารณาให้โควตาสิ่งทอ แต่ช่วยติดตามดูแลเรื่องให้โจทก์ มิใช่เป็นกรณีที่โจทก์กับฝ่ายจำเลยทำสัญญาเพื่อให้โจทก์วิ่งเต้นให้สินบนแก่เจ้าหน้าที่ อันจะเป็นการตกลงกันให้กระทำผิดกฎหมาย สัญญาดังกล่าวจึงไม่เป็นโมฆะ

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 5948-5949/2533

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การฟ้องขับไล่และเพิกถอนสิทธิในที่ดิน: การพิสูจน์สิทธิครอบครองและการอนุญาตให้สืบพยานเพิ่มเติม
โจทก์บรรยายฟ้องว่า โจทก์ได้ขอออกโฉนดที่ดินพิพาทแต่ถูกจำเลยคัดค้านการรังวัด ผู้ว่าราชการจังหวัดมีคำสั่งว่าผู้คัดค้านมีสิทธิดีกว่าโจทก์ โจทก์เห็นว่าคำสั่งดังกล่าวไม่ชอบด้วยกฎหมายเพราะโจทก์เป็นผู้ครอบครองทำประโยชน์ที่ดินพิพาทตลอดมา ขอให้ศาลมีคำสั่งเพิกถอน น.ส.3, น.ส.2 (ใบจอง) ของจำเลยและทะเบียนพัสดุเคลื่อนที่ไม่ได้ของโรงเรียนบ้านน้อยใต้ โดยโจทก์ได้แนบภาพถ่ายคำสั่งของผู้ว่าราชการจังหวัดซึ่งมีข้อความระบุว่า จากการสอบสวนพยานหลักฐานแล้วปรากฏว่าจำเลยเป็นผู้ครอบครองที่พิพาทโดยมี น.ส.3, ใบจองและได้ขึ้นทะเบียนเป็นที่ดินของโรงเรียนมาท้ายฟ้องด้วยนั้นเป็นการฟ้องขับไล่จำเลยและบริวารมิให้เกี่ยว ข้องกับที่ดินพิพาทหาได้ฟ้องขอให้เพิกถอนคำสั่งของผู้ว่าราชการจังหวัดไม่เพียงแต่กล่าวอ้างว่าคำสั่งดังกล่าวไม่ชอบด้วยกฎหมาย ส่วน น.ส.3 และ น.ส.2(ใบจอง) ที่โจทก์ขอให้เพิกถอนก็คือ น.ส.3 และ น.ส.2 (ใบจอง)ที่ดินพิพาทนั่นเอง สำหรับทะเบียนพัสดุเคลื่อนที่ไม่ได้ที่ขอให้เพิกถอนโจทก์ก็อ้างว่าทำขึ้นโดยไม่ถูกต้องเพราะขึ้นทะเบียนที่ดิน มากกว่าที่ดินพิพาทและอาณาเขตที่ดินที่ติดต่อกับที่ดินของบุคคลอื่นก็แตกต่างกับที่ดินพิพาท เป็นคำฟ้องที่แสดงโดยแจ้งชัดซึ่งสภาพแห่งข้อหาของโจทก์และคำขอบังคับ ทั้งข้ออ้างที่อาศัยเป็นหลักแห่งข้อหาเช่นว่านั้นแล้ว ฟ้องโจทก์จึงไม่เคลือบคลุม
โจทก์ยื่นคำร้องขอระบุพยานเพิ่มเติมของโจทก์ภายหลังจากที่โจทก์สืบพยานเสร็จแล้ว โดยมีเหตุอันควรเชื่อได้ว่าโจทก์ไม่สามารถทราบว่าหลักฐานดังกล่าวได้มีอยู่อันจะเป็นประโยชน์แก่คดีของโจทก์ และศาลฎีกาเห็นว่าเพื่อให้การวินิจฉัยชี้ขาดข้อสำคัญแห่งประเด็นเป็นไปโดยเที่ยงธรรมและกรณีมีเหตุจำเป็นจะ ต้องสืบพยานเช่นว่านั้นจึงอนุญาตให้โจทก์อ้างพยานเพิ่มเติมดังกล่าวได้

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3502/2532 เวอร์ชัน 3 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การอ้างพยานเพิ่มเติมในชั้นฎีกาต้องเกี่ยวข้องกับประเด็นที่ฎีกาขึ้นมาเท่านั้น หากไม่เกี่ยวข้อง ศาลฎีกาไม่รับฟัง
เมื่อฎีกาของจำเลยไม่มีประเด็นว่าโจทก์มีสิทธิการเช่าในตึกพิพาทหรือไม่ จึงไม่มีเหตุที่จำเลยจะขออ้างพยานเพิ่มเติมในชั้นฎีกาเพื่อประสงค์จะให้ปรากฏข้อเท็จจริงต่อศาลฎีกาว่าโจทก์ไม่มีสิทธิการเช่าในตึกพิพาทแล้ว และกรณีไม่มีเหตุจำเป็นที่จะต้องสืบพยานต่อไป ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 240 (2) ประกอบด้วยมาตรา 247 และมาตรา 88 วรรคสาม จำเลยจึงอ้างพยานเพิ่มเติมอีกไม่ได้
of 3